เที่ยวจังหวัดวาคายามะแบบอิสระ! บริการรถนำเที่ยวพร้อมล่ามไกด์สำหรับชาวต่างชาติกับ “Hoppin’ KINOKAWA”
จังหวัดวาคายามะ (Wakayama) ตั้งอยู่บนคาบสมุทรคิอิในภูมิภาคคันไซ (Kansai) ของประเทศญี่ปุ่น ที่นี่เป็นที่ตั้งของสถานที่ที่ได้รับเลือกให้เป็นแหล่งมรดกโลก สมบัติประจำชาติ รวมถึงสถานที่ทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญทางประวัติศาสตร์มากมาย อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่คุณสามารถสัมผัสเรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของญี่ปุ่นไปพร้อมกับการเพลิดเพลินกับธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้อีกด้วย วาคายามะนั้นเป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากแวะมาเยือนทุกปี เนื่องจากมีรถบัสสายตรงที่สามารถเดินทางได้ง่ายจากสนามบินนานาชาติคันไซ อย่างไรก็ตาม ยังมีสถานที่หลายแห่งในญี่ปุ่นที่ไม่รองรับภาษาอื่น โดยเฉพาะบริเวณนอกเมืองใหญ่ ซึ่งนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากรู้สึกไม่สบายใจในการเดินทางไปยังพื้นที่ชนบทเพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจและกังวลเรื่องภาษาญี่ปุ่น แต่ไม่ต้องห่วงค่ะ! เพราะบทความนี้เราจะมาแนะนำบริการรถนำเที่ยวพร้อมล่ามไกด์สำหรับชาวต่างชาติกับ “Hoppin’ KINOKAWA” ดังนั้น ใครพูดญี่ปุ่นไม่ได้ก็สามารถท่องเที่ยวจังหวัดวาคายามะได้อย่างไร้กังวลเลยล่ะ!
*บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมการท่องเที่ยวเมืองผลไม้คิโนะคาวะ (Kinokawa Fruits Tourism Bureau)
จังหวัดวาคายามะ (Wakayama) เป็นสถานที่แบบไหนกันนะ
จังหวัดวาคายามะ (Wakayama) เป็นจังหวัดที่มีพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นเทือกเขา และอยู่ทางใต้สุดของเกาะฮนชู เนื่องจากเป็นจังหวัดที่ทอดยาวเหนือจรดใต้ ทำให้สภาพภูมิอากาศทั้งบริเวณภาคเหนือและภาคใต้มีความแตกต่างกัน เช่น ในพื้นที่ทางตอนเหนืออย่างเมืองวาคายามะมักจะมีสภาพอากาศและความชื้นจะคงที่ตลอดทั้งปี รวมไปถึงมีปริมาณฝนต่ำ
ในทางกลับกันหากเป็นทางตอนใต้ของจังหวัดวาคายามะล่ะก็จะมีอากาศอบอุ่นเนื่องจากอิทธิพลของกระแสน้ำคุโรชิโอะ (Kuroshio) และยังได้ชื่อว่าเป็นพื้นที่ที่เสี่ยงต่อพายุไต้ฝุ่นและมีฝนตกหนักมาก จึงกล่าวได้ว่าพื้นที่บริเวณนี้ในช่วงกลางวันมีแสงแดดอันยาวนาน โดยในช่วงฤดูร้อนจะมีอากาศค่อนข้างเย็น และในทางกลับกันเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวจะมีอากาศค่อนข้างอบอุ่น
จังหวัดวาคายามะนั้นสามารถแบ่งออกเป็น 5 พื้นที่หลักๆ ได้แก่ เมืองวาคายามะ (Wakayama City) ภูเขาโคยะ (Mt.Koya) คุมาโนะ(Kumano) ชิราฮามะและคุชิโมโตะ (Shirahama and Kushimoto) และพื้นที่อะริดะและฮิดะกะ (Arida and Hidaka)
วาคายามะนั้นไม่เพียงแต่เป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องของสถานที่สำคัญทางธรรมชาติ ประวัติศาสตร์เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแต่ที่นี่ยังคงมีผลไม้แสนอร่อย ไม่ว่าจะเป็นลูกพีชหรือผลส้ม นอกจากนี้ยังมีอาหารที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นแสนอร่อยที่ควรค่าแก่การลิ้มลองเป็นอย่างมาก จังหวัดวาคายามะจึงเป็นสถานที่ Unseen ที่หากใครได้เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นแล้วควรแวะมาท่องเที่ยวให้ได้สักครั้ง เพราะคุณจะได้สัมผัสญี่ปุ่นในบรรยากาศที่แตกต่างไปจากการท่องเที่ยวแบบเดิมๆ
สำหรับการเดินทางไปจังหวัดวาคายามะครั้งนี้ เรามีโอกาสได้ไปเยือนเมืองคิโนะคาวะ (Kinokawa) ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดวาคายามะ แถมยังเป็นที่อยู่ของนายสถานีแมวอันโด่งดังอย่าง “ทามะ” อีกด้วย และทุกคนทราบไหมคะว่าเมืองคิโนะคาวะนั้นมีเสน่ห์และสถานที่ท่องเที่ยวลับอื่นๆ อีกมากมาย ที่พิเศษยิ่งไปกว่านั้นคือทางเมืองคิโนะคาวะยังได้มีบริการถนำเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับ พร้อมล่ามไกด์ท้องถิ่นที่คอยให้บริการนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ!
ใครที่สนใจอยากทราบข้อมูลเรื่องราวเกี่ยวกับจังหวัดวาคายามะ และบริการใหม่อันแสนเป็นมิตรต่อชาวต่างชาตินี้ล่ะก็อ่านบทความนี้ให้จบกันนะคะ
วิธีการเดินทางสู่เมืองคิโนะคาวะ (Kinokawa) จังหวัดวาคายามะ
ตามที่เราได้เอ่ยไปข้างต้นแล้วว่าจังหวัดวาคายามะนั้นสามารถเดินทางไป-กลับได้ง่ายจากสนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport) ในจังหวัดโอซาก้า (Osaka) โดยคุณสามารถขึ้นรถบัสตรงมาจากสนามบินได้เลย
หากเริ่มต้นจากสนามบินนานาชาติคันไซ เทอร์มินัล 2 (Terminal 2) ซึ่งเป็นต้นสายล่ะก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้นในการไปถึงสถานีเจอาร์วาคายามะ (JR Wakayama Station) ค่าโดยสารไป-กลับ ราคา 2,200 เยน (เด็กและผู้ใหญ่ราคาเดียวกัน สามารถใช้งานได้ภายใน 14 วันนับจากวันที่ขึ้นรถ) หรือค่าโดยสารแบบเที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ ราคา 1,200 เยน และเด็ก ราคา 600 เยน สามารถตรวจสอบตารางรถได้จากหน้าเว็บไซต์ https://www.kate.co.jp/en/timetable/detail/WK (ภาษาอังกฤษ)
คุณยังสามารถเดินทางไปยังจังหวัดวาคายามะด้วยรถไฟได้เช่นเดียวกัน เนื่องจากรอบเวลารถบัสในหนึ่งวันมีไม่มากเท่าไหร่นัก โดยเริ่มจากการนั่งรถไฟเจอาร์สาย Kansai Airport Rapid ที่สนามบินนานาชาติคันไซไปลงที่สถานีฮิเนะโนะ (Hineno Station) แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถไฟเจอาร์สาย Kishuji Rapid ตรงไปยังสถานีเจอาร์วาคายามะได้เช่นเดียวกัน ใช้โดยรวมเวลาประมาณ 50 นาที ค่าโดยสารเที่ยวละ 900 เยน
และหลังจากที่เราเดินทางมาจนถึงสถานีเจอาร์วาคายามะแล้ว เราจะต้องนั่งรถไฟท้องถิ่นต่อเพื่อไปยังเมืองคิโนะคาวะ (Kinokawa) โดยจุดนัดพบครั้งนี้ก็คือที่สถานีแมวเหมียวคิชิ (Kishi Station) นั่นเอง
เราต้องเริ่มต้นจากสถานีเจอาร์วาคายามะ โดยให้ขึ้นรถไฟฟ้าวาคายามะ สายคิชิกาวะ (Wakayama Electric Railway Kishigawa Line) ไปลงที่สถานีคิชิซึ่งเป็นสถานีสุดสาย ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่าโดยสาร 1-Day Ticket ผู้ใหญ่ราคา 400 เยน และเด็กราคา 200 เยน หรือค่าโดยสารเที่ยวเดียว ผู้ใหญ่ราคา 410 เยน และเด็กราคา 210 เยน
รู้จักกับบริการรถนำเที่ยวแบบไปเช้า-เย็นกลับ พร้อมล่ามไกด์กันดีกว่า!
ครั้งนี้เราก็ได้มีโอกาสมาลองใช้บริการรถนำเที่ยว “Hoppin’ KINOKAWA” (อ่านว่า “ฮอปปิ้ง คิโนะคาวะ”) จริงด้วยค่ะ บริการนี้ทำให้การท่องเที่ยวชมเมืองคิโนะคาวะเต็มไปด้วยความสะดวกสบายสุดๆ ไปเลย ว่าแต่บริการรถนำเที่ยวพร้อมล่ามไกด์นี้มีข้อดีหรือจุดเด่นอะไรอีกไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า
ข้อดีของบริการรถนำเที่ยวนี้คือไกด์ท้องถิ่นจะทำหน้าที่เป็นล่ามคอยดูแลผู้ใช้บริการอย่างใกล้ชิดตลอดทริป ซึ่งปัจจุบันภาษาที่รองรับได้แก่ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาจีน โดยผู้ที่สนใจใช้บริการสามารถจองล่วงหน้าได้ผ่านทางเว็บไซต์ (หน้าเว็บไซต์มีให้บริการภาษาต่างประเทศ) และผู้ใช้บริการยังสามารถกำหนดสถานที่ที่ต้องการไป รวมไปถึงวางแผนเที่ยวได้อย่างอิสระ
สำหรับใครที่ไม่รู้ว่าจะไปท่องเที่ยวที่ไหนดีก็สามารถพูดคุยหรือปรึกษาไกด์ได้ในวันที่เริ่มใช้บริการเช่นเดียวกันค่ะ จุดเด่นไม่เพียงแต่บริการรับส่งด้วยรถยนต์ส่วนตัวอย่างเดียวเท่านั้นนะคะ เพราะล่ามไกด์ที่คอยดูแลและอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวนั้นยังเป็นชาวเมืองคิโนะคาวะ จึงกล่าวได้ว่าเป็นไกด์ที่สามารถให้คำแนะนำและความรู้ผ่านมุมมองแบบคนท้องถิ่นจริงๆ เรียกได้ว่าเป็นบริการที่สะดวกสบายตอบโจทย์ทุกเพศทุกวัยมากเลยค่ะ
ใครที่เดินทางมาพร้อมเด็กหรือผู้สูงอายุ เดินทางพร้อมบุคคลที่ไม่สะดวกกับการเดินระยะไกล หรือเดินทางมาเป็นกลุ่มใหญ่ก็สามารถใช้บริการนี้ได้อย่างไร้กังวล เพราะรถคันนี้สามารถบรรจุผู้โดยสารได้สูงสุด 6 คนเลยทีเดียว
และครั้งนี้เราก็จะมาแนะนำแพลนเที่ยวแบบเช้า-เย็นกลับที่เราเลือกพร้อมกับเพื่อนร่วมทริปและไกด์ชาวไทยที่คอยดูแลอย่างใกล้ชิด ตัวอย่างทริปในครั้งนี้จะมีที่ไหนน่าสนใจบ้าง เราไปชมพร้อมๆ กันเลยดีกว่า!
หลังคารูปน้องเหมียว! เริ่มต้นทริปกันที่ “สถานีคิชิ (Kishi Station)” นายสถานีแมวสุดน่ารัก
จุดเริ่มต้นของบริการรถนำเที่ยวนี้คือ “สถานีคิชิ (Kishi Station)” ที่เราได้เอ่ยไปข้างต้น โดยเรามาถึงที่สถานีตั้งแต่เวลา 9 โมงครึ่ง เนื่องจากวันที่เราเดินทางไปเป็นวันหยุด ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติจำนวนมากเดินทางมายังสถานีคิชิเช่นเดียวกัน
ความพิเศษของรถไฟฟ้าวาคายามะนั้นไม่พูดถึงไม่ได้เลย เพราะเป็นรถไฟที่มีคอนเซ็ปต์ไม่เหมือนใคร ด้วยการดีไซน์แสนน่ารัก ปัจจุบันแบ่งเป็น 4 ธีมด้วยกัน ได้แก่ ธีมน้องเหมียวทามะเด็น (Tamaden) ที่ตกแต่งด้วยลายแมวตลอดทั้งขบวน ใครที่เป็นทาสแมวจะต้องหลงรักอย่างแน่นอน ธีมอิจิโกะอีซี (iCHiGo EC) หรือรถไฟสตรอว์เบอร์รีแสนน่ารักซึ่งเป็นสินค้าพิเศษบริเวณสถานีคิชิ ธีมอุเมะโบชิ (Umeboshi) หรือรถไฟบ๊วยดองสีแดงน่ารักซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของวาคายามะ และธีมทามะเด็นฉะมิวเซียม (Tama Densha Museum) ที่เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ปี 2021 ที่ผ่านมานั่นเอง
โชคดีทีครั้งนี้เรามีโอกาสได้นั่งรถไฟธีมใหม่อย่างทามะเด็นฉะมิวเซียม ซึ่งด้านนอกรถไฟตกแต่งด้วยสีดำอันหรูหรา ส่วนด้านในตกแต่งด้วยที่นั่งหลากหลายรูปแบบ ผสมผสานด้วยดีไซน์น้องเหมียวแสนน่ารักทั้งขบวนตั้งแต่พื้นจรดเพดานสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นพิพิธภัณฑ์รถไฟทามะจริงๆ
ขอเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับนายสถานีแมวขวัญใจใครหลายๆ คนกันก่อน “ทามะ (Tama) เป็นชื่อของน้องแมวสามสีที่เดิมทีเคยอาศัยอยู่ใกล้ๆ กับสถานี ด้วยความน่ารักและขี้เล่นของน้องที่ตกใครหลายๆ คน รวมไปถึงประธานบริษัทของรถไฟฟ้าวาคายามะเข้า ทำให้ทามะได้รับการแต่งตั้งเป็นนายสถานีประจำสถานีคิชิ
หลังจากนั้นสถานีนี้ก็ได้รับความนิยมอย่างสูง และเป็นที่รู้จักมากขึ้นไปจนถึงระดับต่างประเทศเลย แต่เมื่อปี 2015 ทามะจังได้เดินทางกลับดาวแมวไป จึงมีน้องแมวที่เข้ามารับช่วงต่อแทนชื่อว่า “นิทามะ (Nitama)” และผู้ช่วยอย่างน้องแมว “ยนทามะ (Yontama)” ที่จะคอยสลับกันประจำการที่สถานีคิชิ และสถานีอิดะคิโสะ (Idakiso Station)
นอกจากนี้ บริเวณใกล้เคียงกับสถานีมีจุดถ่ายรูปเล็กๆ สุดน่ารัก และยังมีทามะคาเฟ่กับพิพิธภัณฑ์ของทามะจังเปิดให้บริการอีกด้วย ใครที่เป็นทาสแมวและมีเวลาขอแนะนำให้ซื้อของที่ระลึกเกี่ยวกับทามะจังเก็บไว้เลยค่ะ หรือระหว่างรอรถไฟรอบต่อไปก็สามารถนั่งพักที่คาเฟ่ได้ด้วยนะ
ถ้าพูดถึงวาคายามะต้องนึกถึงลูกพีชอาราคาวะ! สนุกไปกับการทำแยมลูกพีชกันเถอะ
ทุกคนทราบไหมคะว่าที่จังหวัดวาคายามะเองก็มีผลผลิตลูกพีชมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศกันเลยทีเดียว โดยเฉพาะลูกพีชสายพันธุ์ "อาราคาวะ (Arakawa Peach)" ที่ผลิตในพื้นที่โมโมยามะโจ เมืองคิโนะคาวะแห่งนี้เป็นสายพันธุ์อันมีชื่อเสียงและคุณภาพสูงที่มีจุดเด่นคือรสชาติหอมหวานชุ่มฉ่ำและน้ำจากผลลูกพีชอันเข้มข้น ซึ่งสวนลูกพีชของจังหวัดวาคายามะส่วนใหญ่ก็ตั้งอยู่ในเขตเมืองคิโนะคาวะที่เราได้ไปเยือนมาในครั้งนี้นั่นเองค่ะ
ครั้งนี้เราจะไปทำแยมลูกพีชกันกันที่ศูนย์พัฒนาศิลปาชีพโมโมะเรียนเสะ ยูเมะ โคโบะ (Momoryanse Yume Kobo) โดยลูกพีชของที่นี่ใช้สายพันธุ์อาราคาวะ 100% และเมื่อทำเสร็จแล้วสามารถนำแยมของเรากลับบ้านได้อีกด้วยค่ะ การทำเวิร์คช็อปในครั้งนี้ ปริมาณสำหรับ 1 คนจะสามารถทำแยมได้ประมาณ 200 กรัม ซึ่งภายในขวดอัดแน่นไปด้วยลูกพีช 2-3 ลูกเลยทีเดียว
ความสนุกของกิจกรรมนี้ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้นะคะ เพราะเราจะได้ทำขนมปุยฝ้ายรสพีชด้วยค่ะ ขั้นตอนก็ง่ายมาก แค่นำวัตถุดิบทั้งหมดมาผสมกันให้เรียบร้อยและคนจนเป็นเนื้อเดียวกัน จากนั้นก็นำไปใส่ในแม่พิมพ์และนำไปนึ่งใช้เวลาไม่นาน
เมื่อเราทำแยมเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตักใส่ขวดให้เรียบร้อย จากนั้นนำแยมส่วนที่เหลืออยู่ไปรับประทานคู่กับขนมปุยฝ้ายได้ ความหอมหวานของแยมลูกพีชอาราคาวะเมื่อรับประทานคู่กับขนมปุยฝ้ายแล้วได้รสชาติที่กลมกล่อมลงตัวเป็นอย่างดีเลยค่ะ อีกทั้งเราสามารถนำแยมกลับไปเป็นของที่ระลึกได้อีกด้วยนะ เป็นกิจกรรมที่สามารถสนุกได้ทุกเพศและทุกวัยเลยค่ะ
คาเฟ่ในบ้านสไตล์ญี่ปุ่นอันเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปี “ฮาจิเมะ คาเฟ่ (-hajime Cafe-)”
ฮาจิเมะ คาเฟ่ (-hajime Cafe-) เป็นคาเฟ่สไตล์เรโทรที่เปิดให้บริการในบ้านญี่ปุ่นอันเก่าแก่ที่มีอายุกว่า 100 ปีชื่อว่า "อดีตบ้านพักของตระกูลยามาซากิ (Former Yamazaki Family Residence)" โดยอาคารหลักสร้างขึ้นในปี 1917 บ้านหลังนี้เป็นอาคารทรัพย์สินทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า ได้รับการเรียกขานว่าเป็นสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ และปัจจุบันยังคงอนุรักษ์โครงสร้างทั้งหมดของบ้านไว้เป็นอย่างดี
เมื่อเข้ามาภายในคาเฟ่จะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันอบอุ่นที่ตกแต่งด้วยไม้ มีทั้งที่นั่งแบบเคาน์เตอร์ไปจนถึงห้องเสื่อแบบญี่ปุ่นเลย แถมยังมีของที่ระลึกน่ารักๆ จำหน่ายอีกด้วย สำหรับเมนูของฮาจิเมะ คาเฟ่นั้นมีหลากหลายตั้งแต่เมนูเครื่องดื่ม อาหารคาวไปจนถึงอาหารหวานที่ใช้วัตถุดิบหลักจากผักและผลไม้ตามฤดูกาล ซึ่งเมนูหลักมื้อกลางวันจะมี 2 เมนูให้ได้เลือก ได้แก่ แกงกะหรี่เอ็นเนื้อและเมนูเซ็ตอาหารกลางวันตามฤดูกาล
ในวันนี้เราก็มีโอกาสได้ลิ้มลองเมนูเซ็ตอาหารกลางวันดังกล่าว ภายในเซ็ตประกอบไปด้วยข้าวสามสีราดไก่ฮินาโดริสับ สลัดผัก ผักชุบแป้งทอดเท็มปุระ เครื่องเคียงและซุปมิโสะ ซึ่งผ่านการปรุงรสมาอย่างพิถีพิถันให้ได้รสชาติอร่อยกลมกล่อมและดีต่อสุขภาพ อีกทั้งยังรู้สึกได้ถึงความสดใหม่ของวัตถุดิบที่ใช้เลยค่ะ
หลังจากอิ่มท้องกันแล้วเราก็แวะไปเยี่ยมชมอดีตบ้านพักของตระกูลยามาซากิที่อยู่ด้านข้าง ข้อดีคือไม่เสียค่าเข้าชมด้วยค่ะ ภายในบ้านแบ่งเป็น 2 ชั้นตกแต่งด้วยเสื่อทาทามิ ซุ้มไม้ ฝ้าเพดานอันหรูหราและอีกมากมายที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกและญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว บรรยากาศทุกรายละเอียดของภายในอาคารนั้นได้รับออกแบบอย่างพิถีพิถันและมีรสนิยม
อีกทั้งช่วงที่เราไปยังเป็นช่วงใกล้กับวันเด็กผู้หญิงของญี่ปุ่น (วันที่ 3 มีนาคม) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเป็นวันที่มีเทศกาลตุ๊กตาจัดขึ้นทุกปี เพื่ออธิษฐานขอให้เด็กผู้หญิงมีสุขภาพแข็งแรง ดังนั้น ไม่ว่าเราจะเยี่ยมชมที่ห้องไหนก็จะเห็นตุ๊กตาฮินะเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก ใครที่เป็นคนชื่นชอบสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์หรือบ้านเก่าสไตล์ญี่ปุ่นควรค่าแก่การแวะมาเยี่ยมชมที่นี่เลยค่ะ
สถาปัตยกรรมและสวนอันน่าทึ่งจากสมัยเอโดะ (ปีค.ศ.1603-1868) ประวัติศาสตร์อันยาวนานกับวัดโคคาวะเดระ (Kokawadera Temple)
หลังจากที่อิ่มท้องกับมื้อเที่ยงแสนอร่อยกันไปแล้ว อันดับต่อไปเราจะพาทุกคนไปยัง "วัดโคคาวะเดระ (Kokawadera Temple)" ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน สร้างขึ้นตั้งแต่ประมาณปี ค.ศ.770 จากนั้นได้มีการปรับปรุงใหม่อยู่หลายครั้ง และในปี 1720 ที่ผ่านมามีการสร้างห้องโถงหลักที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน ที่นี่เป็นวัดอันดับสามจากวัดแสวงบุญเจ้าแม่กวนอิมไซโกะกุ โดยวัดแสวงบุญเจ้าแม่กวนอิมไซโกะกุนั้นเป็นชื่อเรียกรวมของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์วัดจาริกแสวงบุญ 33 แห่งในภูมิภาคคิงกิ (คันไซ) นั่นเอง
จุดเด่นของวัดแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการปัดเป่าสิ่งชั่วร้าย และให้พรสมตามปรารถนาเท่านั้น สวนญี่ปุ่นของวัดโคคาวะเดระที่อยู่หน้าห้องโถงหลักยังประดับตกแต่งไปด้วยก้อนหินขนาดใหญ่ที่เรียงตัวกันอย่างหนาแน่นในแนวตั้ง สลับคู่กับพุ่มไม้สีเขียวชอุ่มที่จัดวางอย่างพิถีพิถันอีกด้วย เป็นทิวทัศน์ที่ค่อนข้างแปลกตาและหาได้ยากในบรรดาสวนญี่ปุ่นทั่วไป จึงได้รับการกำหนดให้เป็นจุดชมวิวระดับชาติ
ด้วยเรื่องราวและความงดงามทั้งหมดนี้ทำให้วัดแห่งนี้มีนักท่องเที่ยว รวมไปถึงนักแสวงบุญจำนวนมากแวะเวียนมาสักการะอยู่ตลอดทั้งปี
ต้องลองให้ได้สักครั้ง! ไอศกรีมสไตล์อิตาเลียนกับเจลาโตของชาวสวนพีช "โทโทอัน (Toutouan)"
โทโทอัน (Toutouan) เป็นร้านคาเฟ่ที่ให้บริการโดยชาวสวนพีชในเมืองคิโนะคาวะ จึงสามารถมั่นใจกับลูกพีชอันสดใหม่และปลอดภัยไร้สารพิษซึ่งเก็บจากสวนโดยตรงได้ เมนูแนะนำของทางร้านที่พลาดไม่ได้เลยก็คือไอศกรีมสไตล์อิตาเลียนหรือที่นิยมเรียกกันว่า "เจลาโต" แบบโฮมเมด
ด้วยการให้บริการโดยชาวสวนพีชที่มากประสบการณ์ ทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถอิ่มอร่อยไปกับเมนูเจลาโตซึ่งทำจากผลไม้และช็อคโกแลตที่ผ่านการคัดสรรมาอย่างพิถีพิถันให้ได้รสชาติอันหรูหราและหอมหวานนุ่มลิ้นถูกใจทุกเพศทุกวัย นอกจากเจลาโตซึ่งเป็นเมนูชูโรงของที่นี่แล้ว คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับเมนูอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีมพาร์เฟต์แสนน่ารักหรือเครื่องดื่มออริจินัลของคาเฟ่นี้ได้อีกด้วย
บรรยากาศภายในร้านก็กว้างขวาง มีการตกแต่งอย่างสวยงามโดยใช้กระจกบานใหญ่รอบทิศ และยังมีทั้งที่นั่งโซนด้านในและระเบียงด้านนอกจึงให้ความรู้สึกเปิดโล่ง คาเฟ่แห่งนี้ถือเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการพูดคุยพบปะหรือพักผ่อนแวะรับประทานของหวานเป็นอย่างแท้จริง
และวันนี้เราก็ได้ลองเมนูเจลาโต้ 3 รสด้วยกัน ได้แก่ รสช็อคโกแลต รสนมและที่ขาดไม่ได้เลยก็คือรสพีชนั่นเอง ซึ่งรสชาติก็ไม่ผิดหวังเลยค่ะ เจลาโตเนื้อเนียนนุ่มลิ้นและมีความหนืดกำลังดี ไม่ว่าจะลองชิมรสชาติไหนก็มีความหอมหวานมันและเข้มข้นไม่แพ้กัน โดยเฉพาะรสชาติที่ได้รับความนิยมอันดับหนึ่งอย่างพีช เพียงแค่ลองชิมคำแรกก็รู้สึกได้ถึงความสดชื่นและรสชาติผลไม้จริงๆ ยิ่งถ้าวันไหนอากาศร้อนๆ เจลาโตเป็นเมนูที่เหมาะที่สุดเลยค่ะ
รถพร้อมบริการล่ามไกด์! วิธีจองบริการรถนำเที่ยวรอบเมืองคิโนะคาวะ
เป็นอย่างไรบ้างคะกับบริการรถนำเที่ยวพร้อมล่ามไกด์สำหรับชาวต่างชาติกับ “Hoppin’ KINOKAWA” ในครั้งนี้ แต่ละที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยใช่ไหมคะ ใครที่สนใจสามารถจองบริการดังกล่าวได้จากเว็บไซต์ด้านล่างนี้เลย ทางเว็บไซต์ยังมีให้บริการภาษาต่างประเทศด้วย เพราะฉะนั้นขั้นตอนการจองไม่ยากเลยค่ะ!
เว็บไซต์สำหรับจอง:https://www.hoppin.jp
บทส่งท้าย
ครั้งหน้าถ้าเรามีโอกาสได้มาใช้บริการนี้อีกก็อยากลองทำแพลนไปยังสถานที่ใหม่ๆ ดูด้วย เพราะในบทความนี้เป็นเพียงสถานที่ท่องเที่ยวบางส่วนเท่านั้น ภายในเมืองคิโนะคาวะยังมีสถานที่ที่เต็มไปด้วยเสน่ห์รอให้นักท่องเที่ยวมาค้นพบอีกมากมาย ยิ่งมีไกด์ท้องถิ่นคอยดูแลแบบนี้แล้วเรียกได้ว่าสะดวกสุดๆ
และสำหรับใครที่ยังไม่มีไอเดียหรือไม่รู้จะไปไหนก็ไม่ต้องกังวลค่ะ เพราะทางผู้ให้บริการเองก็มีแพลนสนุกๆ อีกเพียบที่พร้อมนำเสนอนักท่องเที่ยว รับรองว่าจะต้องประทับใจทุกการเดินอย่างแน่นอน สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมตรวจสอบได้จากหน้าเว็บไซต์อย่างเป็นทางการ สุดท้ายนี้ เดินทางมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งถัดไป อย่าลืมใส่ “เมืองคิโนะคาวะ จังหวัดวาคายามะ” ลงไปในแพลนของคุณกันนะคะ!
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่