10 ที่เที่ยวน่าตื่นตาตื่นใจในจังหวัดโทคุชิมะ ภูมิภาคชิโคคุ!
โทคุชิมะ (徳島) เป็นจังหวัดหนึ่งทางตอนเหนือของภูมิภาคชิโคคุ ที่ขึ้นชื่อเลยว่ามีธรรมชาติที่สวยงามไม่ว่าจะเป็นทิวเขาเรียงรายยาว หรือจะทะเลในเซโตะ ช่องแคบคีอิ รวมไปถึงมหาสมุทรแปซิฟิก นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เช่น การแสดงหุ่นญี่ปุ่นโบราณ รวมถึงวัดทั้ง 88 แห่งก็สามารถตามหาได้ในภูมิภาคชิโคคุแห่งนี้ และในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับ 10 ที่เที่ยวที่น่าประทับในจังหวัดโทคุชิมะกันนะคะ!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
1.น้ำวนช่องแคบนารูโตะ - เรือชมน้ำวน (เมืองนารูโตะ)
น้ำวนช่องแคบนารูโตะอยู่ระหว่างเมืองมินามิ อิวาจิ ในจังหวัดเฮียวโกะ กับเมืองนารูโตะ ในจังหวัดโทคุชิมะ เป็นช่องแคบที่เชื่อมระหว่างฮาริมะ นาดะ หรือทะเลในเซโตะ(瀬戸内海) กับช่องแคบคีอิในมหาสมุทรแปซิฟิก เป็นทะเลที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารทะเล รวมไปถึงปลากะพงและสาหร่าย
ความกว้างประมาณ 1.3 กิโลเมตรและลึกราวๆ 200 เมตรในจุดที่ลึกที่สุด ขนาดของน้ำวนนั้นจะใหญ่ที่สุดในช่วงฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง ซึ่งมีการกล่าวกันว่า เป็นขนาดที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว!
นักท่องเที่ยวสามารถชมวิวของน้ำวนได้ผ่านทางเรือชมวิวที่มี 2 ประเภทด้วยกัน ประเภทแรกก็คือ เรือ Wonder Naruto ที่จะขับผ่าตรงกลางน้ำวนไปเลยในเวลา 30 นาที! จากห้องโดยสารแรกของเรือ คุณจะสามารถมองเห็นวิวที่สวยสุดลูกหูลูกตาได้
เรืออีกประเภทก็คือ เรือ Aqua Eddy ที่เป็นเรือเร็วลำเล็ก มีบริเวณชมวิวที่อยู่ใต้น้ำภายในเรือ! จุดชมวิวใต้น้ำนี้อยู่ลึกจากผิวน้ำประมาณ 1 เมตร บอกเลยว่าการดูน้ำวนจากใต้น้ำเนี่ย จะให้ทั้งความรู้สึกที่แปลกใหม่และวิวที่ถือว่าต่างกันโดยสิ้นเชิงกับการมองปกติค่ะ!
2.สะพานเถาวัลย์คู่ ที่โอคุ-อิยะ (เมืองมิโยชิ)
สะพานเถาวัลย์คู่แห่งนี้ สร้างขึ้นในสมัยเฮอันโดยตระกูลเฮอิเคะ เมื่อประมาณ 800 ปีก่อน มีจุดประสงค์เพื่อใช้เดินเข้าสนามม้าของตระกูลเฮอิเคะ สะพานคู่นี้ถูกแบ่งเป็นสะพานชายและสะพานหญิง เรียกอีกอย่างว่าสะพานคู่รัก ข้างๆ สะพานหญิงนั้น มีทางเชือกใช้ข้ามแม่น้ำ ที่คุณสามารถได้ไปได้ด้วยตนเอง! นอกจากนี้ นักท่องเที่ยวยังสามารถเดินเขาและพักค้างแรมที่นี่ได้เช่นกัน
สะพานชายมีความยาว 42 เมตร กว้าง 2 เมตรและสูง 12 เมตรจากผิวน้ำ ในขณะที่สะพานหญิงยาว 22 เมตร กว้าง 1.2 เมตรและสูง 4 เมตรจากผิวน้ำ
3. พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะ (เมืองนารูโตะ)
พิพิธภัณฑ์ศิลปะโอสึกะ (The Otsuka Museum of Art) เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่อุทิศให้แก่ผลงานชิ้นโบว์แดงต่างๆ ที่นี่มีนิทรรศการถาวรที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น (ขนาดใหญ่ 29,412 ตารางเมตร) และตั้งอยู่ในพื้นที่ของเมืองนารูโตะ จังหวัดโทคุชิมะ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปีของบริษัทโอสึกะ มีงานแสดงศิลปะมากกว่า 1,000 ชิ้นจากทั่วโลกที่ถูกจัดทำใหม่ให้มีขนาดเต็มพื้นที่ อยู่บนบอร์ดเซรามิกที่เป็นเทคโนโลยีพิเศษจากบริษัทโอสึกะ
แนวคิดของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ก็คือการนำเอาผลงานจำลองมาจัดแสดงด้วยเทคโนโลยีแทนที่จะแสดงภาพต้นฉบับแบบทั่วไป ถือเป็นเป็นไอเดียที่แปลกใหม่และเป็นเอกลักษณ์อย่างมากในหมู่พิพิธภัณฑ์ศิลปะของเอกชนแถมยังเป็นการแสดงทางวัฒนธรรมที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งด้วย
โบสถ์ซิซทีน (The Sistine Chapel) เป็นโบสถ์ในประเทศวาติกัน สร้างในช่วงปลายศตวรรษที่ 15 ถูกจำลองมาอยู่ในห้องในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ด้วยขนาดเทียบเท่าของจริง (รูปด้านบน) บริษัทโอสึกะพัฒนาเทคโนโลยีพิเศษเพื่อการแสดงห้องนี้โดยเฉพาะ เช่นเดียวกับการแสดงผลงานของ Michelangelo Botticelli Perugino Pinturicchio และเหล่าศิลปินเอกจากยุคเรเนซองส์อีกหลายท่านที่ทำงานในด้านการตกแต่งภายใน
4.วัดเรียวเซนจิ (เมืองนารูโตะ)
วัดเรียวเซนจิ เป็นหนึ่งใน 88 วัดในเส้นทางแสวงบุญของภูมิภาคชิโคคุ ที่มีความเกี่ยวข้องกับพระภิกษุชาวญี่ปุ่น นามว่า Kukai หรือ Kobo Daishi จุดสังเกตของวัดแห่งนี้ ก็คือเจดีย์ทะโฮโตะ (多宝塔) เจดีย์ดังกล่าวนี้ เป็นเจดีย์สูง 2 ชั้น สร้างในช่วงปี 1394 ถึง 1428 มีรูปปั้น Gochi-nyorai (五智如来) ประดิษฐานอยู่ นอกจากนี้ยังมีสวนเมจิตั้งอยู่ทางเหนือของตัวอาคารหลัก เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นของเส้นจาริกบุญนี้ แถมยังมีรูปปั้นของ Kobo Daishi ตั้งอยู่อีกด้วย
ตั้งแต่ยุคเอโดะเป็นต้นมา การละจากชีวิตทางโลกสักช่วงหนึ่งมาแสดงบุญในเส้นทางจาริกบุญชิโคคุนี้ถือเป็นวัฒนธรรมที่ชาวญี่ปุ่นนิยมกันมากเลยทีเดียว แม้กระทั่งในปัจจุบัน ชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งก็ยังคงยึดถือประเพณีนี้ไว้ รวมระยะทางทั้งหมดของเส้นทางนี้แล้ว อยู่ที่ประมาณ 1,460 กิโลเมตร โดยวัดเรียวเซนจิถือเป็นจุดแรกของเส้นทาง นอกจากนี้ ยังมีวัดอีก 88 วัดบนสายจาริกบุญนี้ที่คุณสามารถเลือกลำดับการไปเยือนได้ตามใจชอบ
5. ศาลเจ้า Oasahiko (เมืองนารูโตะ)
ศาลเจ้า Oasahiko ตั้งอยู่ห่างจากวัดเรียวเซนจิเพียงระยะเดิน 10 นาทีเท่านั้น แถมทางระหว่างทั้ง 2 สถานที่ก็ยังร่มรื่น เต็มไปด้วยแมกไม้อีกด้วย ศาลเจ้าแห่งนี้ถือเป็นศาลเจ้าที่มีคุณค่าและเป็นศาลเจ้าหลักของเขตอิวะ (ชื่อในอดีตของภูมิภาคชิโคคุ) แถมยังมีบุคคลสำคัญและผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญต่างๆ มาเยี่ยมเยียนจำนวนมากในอดีต ผู้คนเชื่อกันว่าเทพเจ้าที่สถิต ณ ศาลเจ้าแห่งนี้นั้นจะช่วยบันดาลให้การเดินทางและการขับขี่ปลอดภัย รวมถึงช่วยปกป้องตัวเราจากสิ่งชั่วร้ายอีกด้วย ที่นี่จึงมีผู้คนแวะมากราบไว้กันทั้งปีเลยทีเดียว
สะพานเมกาเนะ (眼鏡橋) เป็นสะพานโค้ง 2 ท่อนที่ตั้งอยู่ในบริเวณศาลเจ้า ด้วยความที่รูปลักษณ์ของสะพานคล้ายคลึงกับรูปแว่นตา ผู้คนจึงนิยมเรียกสะพานนี้ว่าสะพานเมกาเนะ เพราะเมกาเนะ(眼鏡) แปลว่าแว่นตาในภาษาญี่ปุ่นนั่นเอง
สะพานแห่งนี้ถือเป็นอนุสรณ์สถานของนักโทษเยอรมันในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์อันดีงามของนักโทษเหล่านั้นกับชาวญี่ปุ่นที่อาศัยในบริเวณนี้อีกด้วย ถือว่าเป็นอีก 1 จุดที่แนะนำให้ไปเลยค่ะ
6.อาวะ โอโดริ (เมืองโทคุชิมะ)
อาวะ โอโดริ (阿波踊り) เป็นการเต้นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่คิดค้นขึ้นในจังหวัดโทคุชิมะ และมีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 400 ปี เทศกาลสำหรับอาวะ โอโดริ จะจัดขึ้นทุกๆ ช่วงฤดูร้อน โดยมีระยะเวลา 4 วัน จะเริ่มในช่วง 6 โมงเย็น ถนนก็จะเต็มไปด้วยความน่าตื่นเต้นและเสียงจังหวะดนตรีสำหรับการเต้น เช่น จังหวะโยชิโกะ ทุกๆ อย่างจะเริ่มเข้มข้นขึ้นจนถึงช่วงประมาณสี่ทุ่มครึ่ง เทศกาลเหล่านี้จะจัดเป็นหลักอยู่ที่สวนสาธารณะและถนนกลางเมืองนารูโตะ
หอประชุมอาวะ โอโดริ ไคคัง (เมืองโทคุชิมะ)
อาวะ โอโดริ ไคคัง (阿波踊り会館) เป็นสถานที่ที่คุณสามารถดูการแสดงอาวะ โอโดริได้ตลอดปี กิจกรรมหลักของที่นี่ก็คือ การเต้นอาวะโอโดรินั่นเอง โดยนักท่องเที่ยวสามารถไปเต้นกับนักแสดงได้เลย!
นอกจากนี้ ยังมีพิพิธภัณฑ์อาวะ โอโดริ ที่คุณสามารถเรียนรู้ประวัติศาสตร์การแสดงอาวะโอโดริได้ รวมไปถึงอาคารท่องเที่ยวที่คุณสามารถจับจ่ายซื้อของฝากน่ารักๆ แบบท้องถิ่นได้ที่นี่ บนชั้น 5 ของตึก จะเป็นสถานีโรปเวย์ยอดเขาบิซาน (眉山ロープウェイ) หากขึ้นโรปเวย์ไปแล้ว ก็ใช้เวลาเพียง 6 นาทีเท่านั้นก็ถึงยอดเขา ที่คุณจะเห็นวิวที่แสนยิ่งใหญ่ของที่ราบโทคุชิมะ
7. คฤหาสน์ Awa Jurobe Yashiki (เมืองโทคุชิมะ)
The Tokushima Prefectural Awa Jurobe Yashiki (阿波十兵衛屋敷)เป็นโรงละครหุ่นและพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในจังหวัดโทคุชิมะ เป็นการแสดงเล่าเรื่องโดยใช้หุ่นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม เรียกว่า นินเกียว โจรุริ (人形浄瑠璃) การแสดงดังกล่าว จะมีผู้แสดง 3 คน ได้แก่ ทายุ หรือผู้เล่าเรื่อง นักดนตรีที่เล่นชามิเซ็น หรือเครื่องดนตรี 3 สายของญี่ปุ่นเพื่อให้เสียงแก่การแสดง และผู้เชิดหุ่น การแสดงที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่อง Keisei Awa no Naruto(傾城阿波の鳴門) ที่เปิดการแสดงทุกวัน
Keisei Awa no Naruto เป็นเรื่องราวของชายหนุ่มนามว่า โชยะ ที่ถูกประหารตามนโยบายของแคว้นอาวะ ในช่วงยุคเซ็นโคคุและอะสึจิ โมโมยามะ ในปี 1698 ตัวละครโชยะนั้นมีที่มาจาก Bando Jurobe ขุนนางในระบบศักดินาคนหนึ่ง โรงละครและพิพิธภัณฑ์นั้น แท้จริงแล้วก็เคยเป็นบ้านที่พำนักของเขา การแสดงเรื่องนี้ถือเป็นหนึ่งในมรดกทางวัฒนธรรมท้องถิ่นเชิงนามธรรมชิ้นหนึ่งของประเทศญี่ปุ่นเลยทีเดียว
"Toto-sama no na ha Jurobe to moshimasu" (ととさまの名は十郎兵衛と申します) หรือประโยคที่แปลเป็นไทยได้ว่า นามของข้าคือจิโระเบะ เป็นหนึ่งในประโยคดังจากการแสดงเรื่องนี้ ในการแสดงหุ่นนั้น มักมีการใช้ภาษาที่ผู้คนเคยใช้ในอดีต ซึ่งอาจเข้าใจยากในปัจจุบัน ดังนั้นเจ้าหน้าที่จึงจะมาเล่าบรรยายสถานการณ์ประวัติศาสตร์ที่เข้าใจได้ยากบางฉากก่อนการแสดงจะเริ่มขึ้น การแสดงหุ่นเป็นที่นิยมอย่างมากก็เพราะว่าการอธิบายเรื่องราวเช่นนี้ แสนจะเข้าใจง่ายและน่าสนใจ ดังนั้นไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็สามารถรับชมได้อย่างเพลิดเพลิน
8.Forest Adventure Iya Valley (เมืองมิโยชิ)
Forest Adventure เป็นสวนกลางแจ้งที่ตั้งอยู่ในหุบเขาอิยะ (祖谷渓) และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่ได้รับ 2 ดาวมิชลิน จาก Michelin Green Guide Japan อีกด้วย นักท่องเที่ยวสามารถสัมผัสประสบการณ์ที่แปลกใหม่มากมายได้ที่นี่ โดยเฉพาะจากโปรแกรมผจญภัยหลักทั้ง 4 ได้แก่ Adventure Discovery Canopy และโปรแกรมเด็ก
โปรแกรม Adventure เป็นโปรแกรมที่ท้าทายและตื่นเต้นที่สุด โดยทำกิจกรรมหลักกับผืนป่าล้วนๆ ในขณะที่โปรแกรม Discovery จะคล้ายๆ กับโปรแกรม Adventure แต่จะมีอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ เช่น เชือก ที่จะให้ความปลอดภัยและเพิ่มความมั่นใจให้กับคุณ ส่วนโปรแกรม Canopy จะเป็นโปรแกรมที่ปลอดภัยและง่าย แม้กระทั่งสำหรับเด็กเล็กก็ตาม และสุดท้ายโปรแกรมสำหรับเด็ก คุณจะสามารถเล่น zip-line และ harness จากความสูงเพียง 1-2 เมตรได้ ที่นี่เป็นอีกที่ที่เราแนะนำสำหรับครอบครัวที่มาท่องเที่ยวเลยค่ะ
9.ภูเขาบิซัง (เมืองโทคุชิมะ)
ภูเขาบิซัง (眉山) เป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองโทคุชิมะแห่งนี้ ด้วยความสูง 290 เมตร จากบนยอดเขา คุณจะสามารถมองเห็นเทือกเขาอะซัง ทะเลในเซโตะ ที่แสนสวยงามได้ในวันที่แดดออก นอกจากนี้ที่นี่ยังเป็นหนึ่งในจุดที่ดีที่สุดของการชมวิวกลางคืนของภูมิภาคชิโคคุ บนยอดเขาบิซัง มีทั้งสวนสาธารณะ ร้านอาหารและโรปเวย์ หากคุณชื่นชอบการปีนเขาแล้ว ก็ยังมีเส้นทางธรรมชาติมากมายให้เลือกอีกด้วย
ภูเขาบิซัง มีชื่ออยู่ในบทกลอนญี่ปุ่นโบราณที่แสนโด่งดังนามว่า มังโยชู ในศตวรรษที่ 8 Funanookimi ผู้ประพันธ์ท่านหนึ่งของบทกลอนนี้ เขียนถ่ายทอดรูปร่างของภูเขา และบรรยายว่าคล้ายกับคู่ของคิ้ว หลังจากนั้นผู้คนจึงได้นำคำว่าคิ้ว(眉) มาตั้งเป็นชื่อของภูเขาลูกนี้ เรียกได้ว่า ภูเขาบิซังนี้เป็นที่รักของชาวญี่ปุ่นมาตั้งแต่อดีตเลยทีเดียว
10.วัดไทริวจิ (เมืองอันนัน)
วัดไทริวจิ (太龍寺) ถูกสร้างขึ้นในสมัยนาระและตั้งอยู่บนยอดเขาไทริวจิ ภูเขาทางตะวันออกเฉียงใต้ของภูมิภาคชิโคคุ ในบริเวณวัดมีต้นไม้ที่อายุกว่า 100 ปีมากมาย ทำให้มีบรรยากาศที่เงียบสงบและดั้งเดิมมากๆ วัดแห่งนี้เป็นที่นิยมของราชวงศ์และตระกูลซามูไร ดังนั้นจึงถูกบูรณะมาเป็นอย่างดีอย่างไรก็ตาม ที่วัดไทริวจิแห่งนี้ถูกทำลายและสร้างใหม่หลายต่อหลายครั้งด้วยอิทธิพลของการต่อสู้ในบริเวณนี้ ทุกครั้งที่ถูกบูรณะ วัดจะได้รับการดูแลจากผู้ปกครองท้องถิ่น และยังเป็น 1 ใน 88 วัดของเส้นทางแสวงบุญชิโคคุอีกด้วย
เป็นยังไงบ้างคะ กับ 10 สถานที่เที่ยวแนะนำในจังหวัดโทคุชิมะ มีที่ไหนอยากไปบ้างมั้ยคะ ในจังหวัดโทคุชิมะนี้มีที่สวยๆ และธรรมชาติอันงดงามมากมาย อย่าลืมมาเที่ยวที่นี่และรู้จักประเทศญี่ปุ่นไปให้มากขึ้นด้วยกันนะคะ!
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่