17 สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำในชินจูกุที่น่าสนใจ ควรแวะไปให้ได้!
ชินจูกุ (新宿) เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางโตเกียว ที่มีสถานีรถไฟขนาดใหญ่ตั้งอยู่ และเป็นเมืองที่มีผู้คนสัญจรไปมามากมายในทุกๆ วัน ถึงจะบอกว่าที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อแต่ก็อาจจะมีหลายคนที่นึกภาพไม่ค่อยออกว่ามีอะไรให้เที่ยวได้บ้าง แต่ถ้าจะเปลี่ยนขบวนแล้วนั่งรถไฟฟ้าผ่านไปเฉยๆ มันก็น่าเสียดายแย่!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
ชินจูกุ มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่มากมายหลายแห่ง และได้รับความนิยมจากทั้งในและต่างประเทศ ที่นี่มีทั้งย่านจอแจที่คึกคัก และสวนสาธารณะที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ที่ต่างกันจนคิดว่าใช่เมืองเดียวกันจริงๆ รึเปล่า ก็ถือเป็นมนต์เสน่ห์ที่ซ่อนเร้นในชินจูกุ ถ้าอย่างนั้นแล้วก็มาดูแหล่งท่องเที่ยวแนะนำกันเถอะ! ลืมไป! ก่อนไปชมชินจูกุสามารถนั่งรถบัสลีมูซีนตรงมาจากสนามบินนาริตะ หรือ ฮาเนดะได้เลย ใครที่ต้องการจะมาพักโรงแรมแถวชินจูกุก็สามารถจองรถบัสได้ที่ลิ้งก็ด้านล่างเลยนะคะ
1. ถนนชินจูกุโกลเด้นไก ย่านคาบูกิโจ (新宿ゴールデン街)
เมื่อพูดถึงชินจูกุ หลายคนอาจนึกถึงย่านคาบูกิโจ (Kabukicho 歌舞伎町) ที่รู้จักกันดีในฐานะย่านความบันเทิงสำหรับผู้ใหญ่ ซึ่งหากคุณกำลังมองหาสถานที่สังสรรค์และกินดื่มในยามค่ำคืน บอกได้เลยว่ามองข้ามย่านชินจูกุโกลเด้นไก (Shinjuku Golden Gai 新宿ゴールデン街) ไปไม่ได้เลย ถนนแคบๆ ไม่กี่เส้นที่ทอดตัวอยู่ในย่านนี้ เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายและเสน่ห์ย้อนยุคของสมัยโชวะ (Showa 昭和) ที่ดึงดูดให้คนในวงการบันเทิงแวะเวียนมาอย่างสม่ำเสมอ
ย่านแห่งนี้มีทั้งบาร์และอิซากายะเล็กใหญ่ซุกซ่อนอยู่กว่า 200 แห่ง โดยเราขอแนะนำบาร์ยอดนิยมหลายสไตล์อย่าง OPEN BOOK (บาร์เล็กบรรยากาศอบอุ่น เน้นขายเหล้า Lemon Sour และตกแต่งด้วยหนังสือหลายร้อยเล่ม) Albatross G (บาร์เก่าแก่ที่ผสมผสานการตกแต่งสไตล์กอธิคและอังกฤษโบราณ) ไปจนถึง Pitou (ไวน์บาร์เล็กๆ ที่มีระดับ คุณผู้หญิงเองจะมานั่งดื่มคนเดียวก็ไม่ต้องเป็นห่วง) ด้วยมุมมืดและบรรยากาศเปลี่ยวๆ ที่มาพร้อมกับกลิ่นอายความลึกลับ อาจทำให้บางท่านรู้สึกว่าย่านนี้มีความน่ากลัว แต่ไม่ต้องกังวลใจไป เพราะย่านชินจูกุโกลเด้นไกนี้มีกล้อง CCTV ที่คอยตรวจตราความปลอดภัยอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่เป็นย่านสังสรรค์ยามค่ำคืน เราก็ขอแนะนำให้ท่านคอยระมัดระวังตัวและไม่ประมาทอยู่เสมอ
2. จอแมวสามมิติที่ Cross Shinjuku Vision (クロス新宿ビジョン)
ในฐานะที่เป็นย่านแห่งความบันเทิงและแหล่งช็อปปิ้งขนาดใหญ่ จึงไม่น่าแปลกใจที่ชินจูกุจะมีทางแยกและถนนใหญ่ที่แน่นไปด้วยผู้คนอยู่ตลอดเวลา แต่จะดีแค่ไหนหากคุณสามารถชมความน่ารักของน้องแมว 3 มิติขนาดยักษ์ขณะรอข้ามถนนไปด้วยได้
เพียงคุณก้าวเท้าออกสถานีชินจูกุฝั่งประตูตะวันออก คุณจะได้พบกับป้ายแมวยักษ์ 3 มิติที่ขยับตัวอย่างมีชีวิตชีวา มีลูกอ้อนทั้งกระดิกหูและหางอย่างน่ารักน่าเอ็นดู ราวกับกำลังทักทายผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่จริงๆ โดยไอเดียสุดล้ำนี้เป็นของบริษัท Cross Shinjuku Vision ที่ยกระดับพื้นที่โฆษณาทั่วๆ ไป ผ่านการใช้จอโค้ง LED 3 มิติขนาดใหญ่มานำเสนอลูกเล่นแมวสามสีอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดีสำหรับคนญี่ปุ่น ทำให้ปัจจุบันจอแมวแห่งนี้ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์และจุดนัดพบสำคัญของย่านชินจูกุ แน่นอนว่าคนที่แวะมาเพื่อรอดูน้องแมวอย่างเดียวก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน โดยน้องจะปรากฎตัวสี่ครั้งต่อชั่วโมง (ทุกๆ นาทีที่ 00, 15, 30 และ 45) รวมถึงแอบโผล่มาให้เห็นระหว่างโฆษณาด้วย หากทาสแมวคนไหนมีโอกาสได้แวะไป เราขอบอกเลยว่าห้ามพลาด
3. หุ่นก็อดซิลล่ายักษ์เหนือโรงแรม Hotel Gracery Shinjuku (ホテルグレイスリー新宿)
หากเดินต่อมาจากแยกแมวยักษ์ 3 มิติเพียงไม่กี่นาที รับรองว่าต้องได้สะดุดตากับหุ่นก็อดซิลล่าขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรม Hotel Gracery Shinjuku (ホテルグレイスリー新宿) ที่ได้กลายเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คแห่งใหม่ของย่านชินจูกุในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยใครที่เป็นแฟนหนังก็อดซิลล่าและอยากสัมผัสประสบการณ์ก็อดซิลล่าบุกเมืองด้วยตัวเอง ก็สามารถมาใช้บริการห้องพักพิเศษของทางโรงแรมได้ โดยที่นี่มีทั้งห้องแบบ Godzilla Room ที่ภายในตกแต่งด้วยโปสเตอร์และชิ้นส่วนของเจ้าก็อดซิลล่า ให้ความรู้สึกราวกับหลุดไปอยู่ในหนัง และห้องแบบ Godzilla View ที่สามารถมองเห็นวิวของเจ้าก็อดซิลล่ายักษ์ภายนอกได้อย่างใกล้ชิด
ใครที่ไม่ได้ใช้บริการห้องพักของโรงแรม ก็สามารถแวะมาชมเจ้าหุ่นก็อดซิลล่าอย่างใกล้ชิดที่คาเฟ่ Caféterasse Bonjour (カフェテラス ボンジュール) ที่อยู่ชั้น 8 ของทางโรงแรมได้เช่นกัน โดยภายในมีเมนูขนมที่ได้แรงบันดาลใจจากตัวหนัง และตกแต่งด้วยโปสเตอร์และหุ่นก็อดซิลล่าจิ๋วนับไม่ถ้วนทั่วร้าน ไม่เพียงเท่านี้ ทางคาเฟ่ยังมีระเบียงที่เปิดให้ลูกค้าออกไปถ่ายรูปกับหัวก็อดซิลล่าขนาดใหญ่อย่างใกล้ชิดได้อีกด้วย แอบกระซิบว่าเจ้าหุ่นก็อดซิลล่ายักษ์นี้จะส่งเสียงคำรามทุกชั่วโมงด้วยนะ เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ที่ถ้าใครได้แวะมาคงต้องถูกใจกับความมีชีวิตชีวาของย่านชินจูกุอย่างแน่นอน
4. ย่านร้านค้าโอโมอิเดะโยโกโจ (思い出横丁)
ท่ามกลางบรรยากาศทันสมัยของย่านชินจูกุ หากคุณเดินออกจากประตูทางออกทิศตะวันตกของสถานีชินจูกุมาเพียงเล็กน้อย คุณจะได้พบกับตรอกร้านอาหารเล็กๆ ที่คึกคักไปด้วยเสียงพ่อค้าแม่ค้าจากร้านอาหารริมทาง อบอวลไปด้วยกลิ่นของยากิโทริ (ไก่เสียบไม้ย่าง) และบรรยากาศเก่าๆ ที่ชวนให้ย้อนนึกถึงสมัยโชวะ จึงได้ชื่อว่า "โอโมอิเดะโยโกโจ (Omoide Yokocho 思い出横丁)" ที่หมายถึงตรอกแห่งความทรงจำนั่นเอง
ตรอกเล็กๆ แห่งนี้ มีร้านอาหารและร้านเหล้าสไตล์อิซากายะให้บริการกว่า 60 แห่ง มีเมนูยอดนิยมคือยากิโทริและเครื่องในย่าง ให้บรรยากาศสบายๆ บ้านๆ สามารถมากินมาดื่มในราคาถูกได้โดยไม่ต้องคอยระวังท่าที ตรอกแห่งนี้จึงเป็นที่รู้จักในชื่อ ยากิโทริโยโกโจ (Yakitori Yokocho やきとり横丁) และ Shomben Yokocho (ションベン横丁) ที่สะท้อนความรู้สึกสบายๆ ของตรอกนี้ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นที่ชื่นชอบทั้งในหมู่คนท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวที่แสวงหาบรรยากาศเก่าๆ และเป็นกันเอง โดยร้านส่วนใหญ่มีเมนูภาษาอังกฤษรองรับ สามารถแวะมาได้โดยไม่ต้องกังวล ทั้งนี้บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของตรอกแห่งนี้มีแผนที่แต่ละร้านและคำอธิบายรองรับอยู่ด้วย สามารถศึกษาก่อนไปได้เลย
5. ย่านกล้องชินจูกุ ทางออกตะวันตก (新宿西口カメラ街)
ใครที่เป็นสายเล่นกล้อง เราขอแนะนำให้หาเวลามาย่านกล้องชินจูกุ (Shinjuku West Exit Camera Town) เพียงเดินทางมาลงสถานีรถไฟ JR ชินจูกุและออกทางออกตะวันตก โดยย่านนี้เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมของอุปกรณ์และอะไหล่กล้องทั้งใหม่และเก่า เริ่มตั้งแต่ร้าน Yodabashi Camera (ヨドバシカメラ) ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์กล้องไปจนถึงผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ อย่างครบครัน หรือหากใครเป็นสายกล้องวินเทจ กล้องมือสองแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำร้าน Shinjuku used camera market (新宿中古カメラ市場) ที่มีทั้งกล้องฟิล์มและกล้อง DSLR รุ่นเก่าให้เลือกอย่างจุใจ และร้าน Lemon (レモン社) ที่จำหน่ายสินค้ากล้องมือสองราคาประหยัดจำนวนมาก นอกจากนี้แล้ว บริเวณโดยรอบยังมีร้านอาหารดีๆ อยู่จำนวนไม่น้อยด้วยนะ หากมากับเพื่อนที่ไม่ใช่สายกล้อง ก็สามารถแวะเติมพลังหลังช็อปปิ้งได้ทันทีเลยล่ะ
6. ย่านชินโอคุโบะ โคเรียนทาวน์ (新大久保コリアンタウン)
หากคุณนั่งรถไฟมาลงที่สถานี JR ชินโอคุโบะ (JR 新大久保駅) บรรยากาศที่อยู่ตรงหน้าจะชวนให้รู้สึกราวกับได้หลุดมายังประเทศอื่น เพราะที่นี่คือ โคเรียนทาวน์ หรือชุมชนคนเกาหลีในโตเกียว ซึ่งเป็นศูนย์รวมของชาวเกาหลีที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานในโตเกียวตั้งแต่ปีค.ศ. 1980 เป็นต้นมา ย่านนี้จึงเต็มไปด้วยอิทธิพลและวัฒนธรรมจากเกาหลี ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารเกาหลี ตั้งแต่ร้านยากินิคุ (เนื้อย่าง) แบบเกาหลีแท้ๆ อาหารสตรีทฟู้ดเกาหลีอย่างโฮต็อก (ขนมทานเล่นที่มีลักษณะคล้ายแพนเค้ก) และคอร์นด็อก (ไส้กรอกชุบแป้งทอด) ไปจนถึงคาเฟ่และร้านขนมหวานสไตล์เกาหลี
นอกจากนี้ ย่านนี้ยังมีร้านสินค้าความงามสไตล์เกาหลีอย่าง Skin Garden ตลอดจนซูเปอร์มาร์เก็ตเอเชียอย่าง Shinokubo Asian Market Halal Food ที่สามารถหาซื้อวัตถุดิบหายาก อย่างอาหารอินเดียหรือเนปาลได้ด้วยนะ เรียกได้ว่าเป็นย่านแนะนำสำหรับผู้ที่ชื่นชอบอาหารและวัฒนธรรมเกาหลีเป็นอย่างยิ่งเลย
7. สวนสาธารณะเมจิจิงกุไกเอ็น (明治神宮外苑)
สวนเมจิจิงกุไกเอ็น (Meiji Jingu Gaien Park 明治神宮外苑) เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ตั้งแต่เขตชินจูกุไปจนถึงเขตมินาโตะ (港区) ของกรุงโตเกียว โดยนอกจากจะเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยมที่คนโตเกียวเลือกมาเดินเล่นแล้ว ภายในยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับกิจกรรมต่างๆ ให้สามารถเพลิดเพลินได้ตามรสนิยมและช่วงอายุที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมด้านการกีฬาอย่างสนามเบสบอล Meiji Jingu Stadium ลานสเก็ตน้ำแข็ง และสนามเทนนิส ไปจนถึงกิจกรรมด้านศิลปะวัฒนธรรม อย่างพิพิธภัณฑ์ศิลปะ Meiji Memorial Picture Gallery และศูนย์วัฒนธรรมที่ให้บริการห้องเรียนด้านวัฒนธรรมอย่างเช่นพิธีชงชาแบบญี่ปุ่น การจัดดอกไม้แบบญี่ปุ่น และการเต้นรำแบบญี่ปุ่น นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีมีร้านอาหารและคาเฟ่ให้พักผ่อนหย่อนใจหลังเดินชมสวน ตลอดจนโซนสวนหย่อมสำหรับเด็กจัดไว้ให้ด้วย เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่สามารถใช้เวลาดีๆ ได้ตลอดทั้งวันเลยทีเดียว
8. สวนชินจูกุเกียวเอ็น (新宿御苑)
สวนชินจูกุเกียวเอ็น (Shinjuku Gyoen National Garden 新宿御苑) เป็นอีกหนึ่งสวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางกรุงโตเกียวที่กินพื้นที่จากเขตชินจูกุไปถึงเขตชิบูย่า ตั้งอยู่ห่างจากสถานีชินจูกุในระยะเดินเท้าเพียงไม่กี่นาที โดยครั้งหนึ่งสวนแห่งนี้เคยอยู่ใต้การครอบครองของขุนนาง ก่อนจะกลายมาเป็นสวนหลวงในราชวงศ์ญี่ปุ่นในภายหลัง
ด้วยพื้นที่กว่า 364 ไร่ คุณสามารถแวะมาพักผ่อน ออกกำลังกาย ออกเดท ไปจนถึงชื่นชมแมกไม้นานาพันธุ์ที่ผสมผสานความงามอย่างตะวันออกและตะวันตกได้อย่างลงตัว ภายในสวนมีการแบ่งโซนระหว่างสวนสามสไตล์ ได้แก่สวนแบบญี่ปุ่นดั้งเดิม สวนทางการสไตล์ฝรั่งเศส และสวนภูมิทัศน์แบบอังกฤษ นอกจากนี้ภายในสวนยังมีเรือนกระจก โซนร้านอาหารและคาเฟ่ ตลอดจนซุ้มจัดงานนิทรรศกาลในช่วงต่างๆ รับรองได้ว่าไม่ว่าจะมาฤดูไหนก็จะสามารถสัมผัสเสน่ห์ที่แตกต่างกันไปอย่างเฉพาะตัว ทั้งนี้เวลาเปิดและปิดอาจแตกต่างกันไปในแต่ละฤดู อย่าลืมตรวจสอบจากเว็บไซต์ทางการของสวนชินจูกุเกียวเอ็นก่อนแวะมานะ
9. ศาลเจ้าฮานะโซโนะ (花園神社)
ศาลเจ้าฮานะโซโนะ (Hanazono Shrine 花園神社) ที่ตั้งอยู่ใกล้กับที่ว่าการเขตชินจูกุนั้น เป็นอีกหนึ่งศาลเจ้าเก่าแก่ที่ได้รับความเคารพนับถือจากชาวญี่ปุ่นมาอย่างยาวนาน โดยศาลเจ้าที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานแห่งนี้ ถูกก่อตั้งโดยตระกูลฮานะโซโนะในสมัยเอโดะ เพื่อแสดงความนับถือแก่เทพอินาริ ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งพืชพรรณธัญญาหารและความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อของคนญี่ปุ่น จึงมีนักธุรกิจและนักแสดงที่แวะเวียนมาขอพรเรื่องการค้าขายและความสำเร็จในหน้าที่การงานอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้แล้ว ที่นี่ยังมียังมีเทพเจ้าที่ช่วยเรื่องการมีลูกและจับคู่ผูกสัมพันธ์ รวมถึงเทพเจ้าที่ช่วยระงับความโกรธอยู่ด้วย ดังนั้นแล้วที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งที่ขอพรยอดนิยมในโตเกียวเลยทีเดียว
เทศกาลสำคัญของศาลเจ้าฮานะโซโนะที่พลาดไม่ได้ ได้แก่ เทศกาลศาลเจ้าฮานะโซโนะประจำปี (Hanazono Shrine Grand Festival) ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ที่จะมีการแห่เกี้ยวมิโคชิอย่างครื้นเครงตามถนนชินจูกุ รวมถึงงานเทศกาล Tori no Ichi (酉の市) ในเดือนพฤศจิกายน ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองความรุ่งเรืองทางการค้า ซึ่งศาลเจ้าฮานะโซโนะแห่งนี้ก็เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของงานเทศกาลด้วย
10. ศาลเจ้าคุมาโนะ (熊野神社)
ท่ามกลางย่านชินจูกุตะวันตก (Nishi-Shinjuku 西新宿) ที่คลาคลั่งด้วยผู้คนอยู่เสมอนั้น มีศาลเจ้าคุมาโนะตั้งอยู่ อันเป็นศาลเจ้าเก่าแก่ที่ตัวอาคารทำจากไม้ และมีต้นไม้หนาทึบปกคลุมอยู่โดยรอบ ให้ความรู้สึกเงียบสงบราวกับเป็นโอเอซิสใจกลางเมือง โดยเชื่อกันว่าในสมัยมุโรมาจิ (Muromachi 室町) (1333-1573) เทพทั้งสิบสององค์ได้ย้ายจากสามศาลเจ้าคุมาโนะ (three great shrines of Kumano 熊野三山) ในคิชู (Kishu 紀州) มาประดิษฐานที่นี่ จนในปัจจุบันก็ได้กลายมาเป็นเทพคุ้มครองแห่งชินจูกุ นอกจากนี้แล้ว ศาลเจ้าแห่งนี้ยังมี "อีกาสามขายาตะการาสึ" (Yatagarasu 八咫烏) ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในฐานะทูตแห่งเทพเจ้าอีกด้วย โดยศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่รู้จักขึ้นมาเนื่องจากทีมชาติฟุตบอลหญิงของญี่ปุ่นเคยมานมัสการแล้วแข่งชนะ เรียกได้ว่าเป็นพาวเวอร์สปอต (จุดรวมพลังบวก) กลางเมืองที่คาดหวังได้ถึงผลบุญที่ช่วยเรื่องโชคในการแข่งขันได้อย่างดี
11. ศาลเจ้าไรเด็นอินาริ (雷電稲荷神社)
ศาลเจ้าไรเด็นอินาริ (Raiden Inari Shrine 雷電稲荷神社) เป็นศาลเจ้าขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บริเวณชินจูกุหมู่ที่ 4 โดยแม้จะไม่มีประวัติความเป็นมาที่ชัดเจน แต่มีคำบอกเล่าที่เชื่อต่อกันมาว่าในช่วงที่ Minamoto no Yoshiie (ซามูไรคนสำคัญจากตระกูลมินาโมโตะในยุคเรอัน) ได้ออกเดินทางทำสงครามแห่งโอชูนั้น ได้พบพานกับพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรงจนต้องมาพักอยู่หน้าศาลเจ้าเล็กๆ แห่งนี้ ขณะนั้นได้มีสุนัขจิ้งจอกสีขาวปรากฎตัวขึ้น และโค้งคำนับให้โยชิเอะ 3 ครั้ง ทำให้พายุฝนฟ้าคะนองสงบลงในทันใด ศาลเจ้าแห่งนี้จึงได้ชื่อว่าไรเด็น (ศาลเจ้าแห่งฟ้าร้องและฟ้าผ่า) ตั้งแต่นั้นมา และมีการประดิษฐานเทพสายฟ้าเอาไว้เพื่อเป็นการปกป้องตัวเองจากฟ้าผ่าอีกด้วย
แม้ว่าในปัจจุบันศาลเจ้าแห่งนี้จะได้รับการนมัสการร่วมกันกับศาลเจ้าฮานะโซโนะ (Hanazono Shrine 花園神社) และสิ้นสุดสถานะการเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาแล้ว แต่ก็ยังคงมีประตูโทริอิตั้งอยู่ และตัวศาลเจ้าก็ยังเปิดให้เข้าไปสักการะได้ ซึ่งถึงแม้จะตั้งอยู่ในพื้นที่แคบๆ ด้านหลังโรงเรียนมัธยมปลายชินจูกุ แต่ประตูโทริอิสีแดงโดดเด่นจะเป็นจุดสังเกตให้หาได้ไม่ยากแน่นอน
12. ศาลเจ้าอานะฮาจิมังงู (穴八幡宮)
"ศาลเจ้าอานะฮาจิมังงู (Anahachimangu Shrine 穴八幡宮)" เป็นศาลเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ที่ย่านนิชิวาเซดะ (Nishi-Waseda 西早稲田) ในชินจูกุ โดยศาลเจ้านี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการที่ Minamoto no Yoshiie (ซามูไรคนสำคัญจากตระกูลมินาโมโตะในยุคเรอัน) ได้ชนะศึกหลังจากออกปราบปรามโอชู แล้วได้นำดาบและหมวกซามูไรกลับมาเก็บไว้ที่ดินแดนแห่งนี้ ต่อมาในสมัยเอโดะ ได้เกิดปาฏิหารย์ขึ้นบ่อยครั้ง เช่น การขุดค้นพบทรัพย์สมบัติและรูปปั้นเทพทองคำ จึงมีการสันนิษฐานว่าที่นี่เคยเป็นสุสานโบราณมาก่อน สถานที่แห่งนี้จึงได้กลายเป็นสถานที่สวดอธิษฐานของตระกูลโชกุน และตัวศาลเจ้าเองก็ได้รับการบูรณะด้วยความวิจิตรบรรจงเรื่อยมา
ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนินสูงเล็กๆ โดยทางเดินตั้งแต่ประตูโทริอิสีแดงไปจนถึงอาคารประดิษฐานพระประธานของศาลเจ้าต่างก็ตั้งอยู่บนบันไดหินสูงชัน ทว่าก็โอบล้อมด้วยพื้นที่สวดอธิษฐานขนาดใหญ่อันเงียบสงบ และด้วยความที่เป็นศาลเจ้าขนาดค่อนข้างใหญ่ที่ตั้งอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยวาเซดะ จึงมีความเชื่อว่าที่นี่มีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องความสำเร็จ เชื่อกันว่าเครื่องรางอิชิโย ไรฟุคุ (ichiyou raifuku omamori 陽来復御守) เครื่องรางที่มีแจกจ่ายในช่วงฤดูหนาวของที่นี่จะนำมาซึ่งโชคลาภและความสำเร็จด้านการงาน โดยต้องอธิษฐานในช่วงสิ้นวันของวันโทจิ (วันเริ่มต้นของฤดูหนาว โดยมากมักตรงกับวันที่ 22 ธันวาคม) วันสิ้นปี หรือวันเซทสึบุน (โดยมากมักตรงกับวันที่ 3 กุมภาพันธ์) เท่านั้นคำอธิษฐานจึงจะเป็นจริง
13. หอชมวิว ศาลาว่าการกรุงโตเกียว (東京都庁舎 展望室)
ภาพของสองยอดตึกสูงของศาลาว่าการกรุงโตเกียว (Tokyo Metropolitan Government Building 東京都庁舎) หรือที่รู้จักกันในชื่อสั้นๆ ว่า โทะโจ (Tocho 都庁) นับเป็นทิวทัศน์ที่คุ้นเคยกันดีของผู้คนในพื้นที่ และเป็นอีกหนึ่งจุดทัศนศึกษาสำหรับคนญี่ปุ่นที่ไม่ได้อยู่ในภูมิภาคคันโตเองด้วย โดยแม้อาคารแห่งนี้จะเป็นสถานที่ราชการ แต่หอชมวิวบนชั้น 45 ของอาคารทั้งสองนั้นเปิดให้สาธารณชนเข้ามาชมวิวได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้วยความสูงกว่า 202 เมตรจากพื้นดิน ทำให้คุณสามารถมองเห็นแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงโตเกียวได้โดยรอบ ไม่ว่าจะเป็น Tokyo Skytree, Tokyo Tower, Tokyo Dome และในวันที่อากาศดี สามารถมองเห็นได้ไกลถึงภูเขาฟูจิเลยทีเดียว
โดยนอกจากจุดชมวิวแล้ว ที่ชั้น 45 ยังมีทั้งศูนย์ข้อมูลสำหรับนักท่องเที่ยว ร้านคาเฟ่ และมุมขายของที่ระลึกอยู่ด้วย หากคุณต้องการหาจุดชมวิวโตเกียวโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และหามุมพักผ่อนระหว่างการเดินทางอยู่ล่ะก็ เราขอแนะนำที่นี่เลย เพียงคุณแวะมาลงที่สถานี Tochomae ก็จะพบกับตึกศาลาว่าการได้อย่างง่ายดาย
14. ประติมากรรม LOVE ที่ชินจูกุไอแลนด์ทาวเวอร์ (新宿アイランドタワー)]
ใครที่เคยเดินผ่านย่าน Nishi-shinjuku คงต้องเคยสะดุดตากับประติมากรรมตัวอักษรสีแดงสดที่สะกดเป็นคำว่า "LOVE" ชิ้นนี้มาบ้าง โดยประติมากรรมลอยตัวชิ้นนี้ตั้งอยู่หน้าอาคารชินจูกุไอแลนด์ทาวเวอร์ (Shinjuku Island Tower 新宿アイランドタワー) รังสรรค์ขึ้นโดย Robert Indiana ศิลปินชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียงในด้านศิลปะการออกแบบตัวอักษร ภายใต้โปรเจกต์ศิลปะสาธารณะเพื่อการพัฒนาเมืองของทางอาคารชินจูกุไอแลนด์ ที่ได้เชิญศิลปินชั้นแนวหน้ามาร่วมออกแบบและจัดแสดงงานศิลปะร่วม 10 ชั้นรอบตัวอาคาร และเปิดให้สาธารณชนเข้าชมได้อย่างทั่วถีงกัน
โดยประติมากรรม LOVE ชิ้นนี้ นอกจากจะปรากฎให้เห็นอยู่บ่อยครั้งทางโทรทัศน์แล้ว ยังถูกใช้เป็นสถานที่นัดพบอยู่บ่อยครั้ง อีกทั้งยังมีความเชื่อที่ว่า หากคุณสามารถลอดตัวผ่านตัวอักษร V และ E ไปได้โดยไม่สัมผัสตัวอักษรใดเลย ก็จะได้พบกับความรักที่ราบรื่น และหากคู่รักจับมือและลอดผ่านไปด้วยกันได้ก็จะลงเอยได้แต่งงานกันในที่สุด ฟังแล้วอาจทำให้ใครหลายคนรู้จึกเคอะเขินที่จะมาที่นี่กับคนรัก แต่หากมีโอกาสผ่านมาแถวนี้ล่ะก็ แวะมาเยี่ยมชมจุดนัดพบแห่งความรักนี้ก็คงเป็นความคิดที่ดีไม่น้อย
15. Robot Restaurant (ロボットレストラン)
ใครที่มองหาความบันเทิงยามค่ำคืนในย่านคาบูกิโจ และชอบชมโชว์แสงสีเสียงอย่างครบรส ร้าน Robot Restaurant คือคำตอบของคุณเลย ไฮไลท์ของที่นี่คือการแสดงโชว์โดยหุ่นยนต์หลากหลายประเภท ตั้งแต่พาเหรดไดโนเสาร์ไปจนถึงหุ่นยนต์รถถัง ประกอบกับลวดลายของบรรดานักเต้นนักแสดงมากฝีมือ ทั้งเสียงดนตรีที่สนุกสนานและแสงไฟดิสโก้ที่สาดส่องไปมาจะพาให้คุณได้เพลิดเพลินตลอดทั้งค่ำคืนอย่างแน่นอน
โดยแม้ว่า Robot Restaurant สาขาแรกจะได้ปิดตัวไปแล้วอย่างถาวรในช่วงโควิด แต่ก็ได้เปิดตัวสาขาปัจจุบันในละแวกเดียวกันเมื่อปีค.ศ. 2023 ที่ผ่านมา โดยที่สาขาใหม่นี้มีการขยายเวทีให้ใหญ่และเห็นได้ชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการขยายชุดการแสดงให้ยาวนานถึง 2 ชั่วโมงต่อคืน และเพิ่มเมนูอาหารให้หลากหลายครอบคลุมทั้งราเมง อุด้ง ซูชิ ไปจนถึงข้าวหน้าเนื้อ เรียกได้ว่าเป็นการยกระดับคุณภาพให้พร้อมต้อนรับลูกค้าอย่างจัดเต็ม โดยส่วนมากแล้วที่นี่จะได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากกว่าญี่ปุ่น หากมีโอกาสได้แวะมาย่านนี้ เราขอแนะนำให้คุณมาสนุกกับค่ำคืนในย่านคาบูกิโจที่นี่ รับรองว่าได้ความทรงจำสุดพิเศษแบบไม่รู้ลืมแน่นอน
16. พิพิธภัณฑ์โรงละครอนุสรณ์ Tsubouchi แห่งมหาวิทยาลัยวาเซดะ (早稲田大学坪内博士記念演劇博物館)
เมื่อพูดถึงมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ในเขตชินจูกุ หลายคนคงเคยได้ยินชื่อมหาวิทยาลัยวาเซดะ (Waseda Univeristy 早稲田大学) ที่ตั้งอยู่ในย่านทาคาดะโนะบาบะ (Takadanobaba 高田馬場) โดยภายในเขตมหาวิทยาลัยนั้นมีพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการละครตั้งอยู่ และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ด้วย โดยมีชื่อเรียกสั้นๆ ว่าเอ็นปาคุ (Enpaku 演博) ซึ่งถือเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี 1928 เพื่อเป็นอนุสรณ์สถานแก่การครบรอบอายุ 70 ปีของศาสตราจารย์ Tsubouchi Shoyo (坪内逍遙) นักวรรณคดีอังกฤษผู้มีคุณูปการต่อนิตยสาร "Waseda Bungaku (早稲田文学)"
โดยที่พิพิธภัณฑ์นี้มีทั้งการจัดนิทรรศการ อีเวนต์ ตลอดจนเวิร์กช็อปต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับศิลปะการละครในหลากหลายแขนง ทั้งจากโลกตะวันตกและตะวันออกจัดแสดงอยู่เสมอ อีกท้ังยังมีห้องสมุดที่รวบรวมหนังสือเก่าแก่หายากเกี่ยวกับการละคร ภาพยนตร์ การแสดงพื้นบ้าน ไปจนถึงดนตรีสมัยโบราณ ให้บริการทั้งในภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย ผู้ที่ชื่นชอบศิลปะการละครตั้งแต่เชกสเปียร์ไปจนถึงละครหุ่นญี่ปุ่น รับรองว่าต้องถูกใจพิพิธภัณฑ์แห่งนี้แน่นอน
17. พิพิธภัณฑ์ซามูไร (サムライミュージアム)
พิพิธภัณฑ์ซามูไร (The Samurai Museum サムライミュージアム) ที่จัดแสดงสิ่งของต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับซามูไร ไม่ว่าจะเป็นหมวกซามูไรและดาบญี่ปุ่นแห่งนี้ ไม่น่าเชื่อว่าจะตั้งอยู่ในย่านคาบูกิโจ ชินจูกุ! ที่นี่เป็นสถานที่ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติแวะมาเยือนมากมาย จึงคึกคักไปด้วยผู้คนจำนวนมากจากทั้งในและต่างประเทศ อีกทั้งผู้ชมยังสามารถรับบทเป็นซามูไรโดยการสวมหมวกและเกราะซามูไรแล้วถือดาบได้ด้วย นับเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เหมาะจะพาคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมาเป็นอย่างมาก โดยแม้บางคนอาจรู้สึกว่าสถานที่อาจคับแคบไปบ้าง แต่ด้วยค่าเข้าชม 1,800 เยน เทียบกับคุณค่าของงานสะสมและชิ้นงานที่จัดแสดง นับว่าคุ้มค่าแน่นอน ใครที่ชื่นชอบเรื่องประวัติศาสตร์ไม่ควรพลาดเด็ดขาด
※ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์นี้ปิดทำการชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19
การท่องเที่ยวที่สมกับความเป็นชินจูกุที่ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนขบวนรถไฟ
เป็นอย่างไรกันบ้าง หลังอ่านบทความนี้แล้วคุณอาจรู้สึกว่ามีสถานที่ขึ้นชื่อใหม่ๆ ในชินจูกุที่ยังไม่รู้จัก รวมถึงสถานที่ชื่อดังแต่ยังไม่เคยแวะไปอยู่ด้วย ทั้งทัศนียภาพสไตล์ของเมืองใหญ่ และพื้นที่กว้างใหญ่แผ่กว้างไปทั่วนั้นถือเป็นมนต์เสน่ห์ของชินจูกุ ตอนที่มาเปลี่ยนขบวนรถไฟก็ลองลงรถไฟระหว่างทาง แล้วมาค้นหาสถานที่ที่ถูกใจกันเถอะ
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทาง เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
บทความนี้ได้รับอนุญาตให้ทำการแปลและเผยแพร่จาก SPIRA (ในอดีตคือ Relux Magazine)
คุณสามารถจองโรงแรมผ่าน Relux (บริหารจัดการโดย SPIRA) ได้ ที่นี่!!
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่