รวม 20 กิจกรรมในญี่ปุ่นที่ทำได้ฟรีๆ แม้แต่คนญี่ปุ่นยังแนะนำ
ไม่ว่าครั้งนี้จะเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อวันหยุดพักผ่อนครั้งแรกในญี่ปุ่น หรือสำหรับผู้ที่เคยเดินทางมาหลายครั้งแล้วก็ตาม การวางแผนการเดินทางเพื่อให้ทริปนี้เป็นที่น่าจดจำนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างมาก แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัด หากมีสถานที่ที่สามารถเพลิดเพลินได้โดยที่ไม่ต้องใช้งบมากก็คงดีไม่น้อย และในบทความนี้เราจะมาแนะนำ 20 สถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ที่สามารถเข้าร่วมได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้ได้ใดๆ ที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็ยังแนะนำให้ลองไปดูสักครั้ง
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
1. บ่อออนเซ็นเท้าที่อาริมะออนเซ็น (โกเบ)
ออนเซ็นแห่งนี้ตั้งอยู่แถบชานเมืองโกเบ ซึ่งใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงในการเดินทางด้วยรถยนต์จากโอซาก้า ที่อาริมะออนเซ็นแห่งนี้เป็นหนึ่งในเมืองออนเซ็นที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น บ่อน้ำร้อนทั้งหมดถูกสร้างขึ้นจากแหล่งน้ำร้อนธรรมชาติ เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การแวะมาใช้เวลาผ่อนคลายสบายๆ สัก 2-3 วัน และเพลิดเพลินไปกับวิวทิวทัศน์ของภูเขาอันสวยงาม นอกจากนี้ที่อาริมะออนเซ็นยังขึ้นชื่อในเรื่องแหล่งน้ำร้อนสีเงินและสีทองที่รู้จักกันในชื่อ Kinsen (金泉) และ Ginsen (銀泉) ซึ่งเกิดขึ้นจากปริมาณธาตุเหล็กและเกลือเข้มข้นสูงจนทำให้น้ำมีสีที่เป็นเอกลักษณ์ ทั้งยังสามารถช่วยบำรุงผิวพรรณให้สวยงาม นอกจากนี้บริเวณรอบๆ เมืองยังมีบ่อน้ำพุร้อนสำหรับแช่เท้าให้ใช้บริการได้แบบฟรีๆ ให้สามารถมาแช่และผ่อนคลายเท้าสบายๆ หลังจากที่เมื่อยล้าไปกับการท่องเที่ยวมาทั้งวัน
2. ศาลเจ้าเมจิ (โตเกียว)
ถึงแม้ว่าพอพูดถึงเมืองโตเกียว ทุกคนก็จะนึกถึงภาพของเมืองหลวงที่เต็มไปด้วยตึกรามและคนพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลา แต่แท้จริงแล้วในใจกลางเมืองโตเกียวยังมีพื้นที่ที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวที่สามารถช่วยหลบหนีจากความวุ่นวายในเมืองได้ ซึ่งสถานที่ดังกล่าวคือศาลเจ้าเมจิซึ่งตั้งอยู่ถัดจากสวนโยโยงิ สวนสาธารณะขนาดใหญ่ของโตเกียว พื้นที่บริเวณศาลเจ้าเมจิจะถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้สูงสวยงามตลอดแนวทางเดิน ราวกับหลุดเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่งที่ห่างไกลจากตัวเมืองด้านนอก เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การเดินเล่นใช้เวลาผ่อนคลายยามบ่าย
3. เยี่ยมชมรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ (โตเกียว)
ในวันที่อากาศร้อน เราอาจจะมีโอกาสได้เห็นหลายคนพาสุนัขที่ตนเองรักไปเดินเล่นโดยการให้นั่งบนรถเข็นสำหรับสุนัขแทนการให้อุ้งเท้าต้องสัมผัสกับพื้นคอนกรีตร้อนๆ เรียกได้ว่าคนญี่ปุ่นเองก็เอ็นดูสุนัขกันเป็นอย่างมาก และสุนัขที่มีชื่อเสียงตัวหนึ่งในญี่ปุ่นก็คือสุนัขพันธุ์อากิตะ ที่มีชื่อว่าเจ้าฮาจิโกะ ที่ถึงแม้ว่าจะเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว แต่ชื่อเสียงในเรื่องความรักและความซื่อสัตย์ต่อเจ้าของก็ยังคงเป็นที่กล่าวถึงจนถึงในปัจจุบัน
เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ฮาจิโกะต่างก็เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในหมู่คนในท้องถิ่นเพราะมันจะเดินทางมารอรับคุณฮิเดซาบุโระ อุเอโนะ (Hidesaburo Ueno) ผู้เป็นเจ้าของที่สถานีชิบูย่าทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งคุณอุเอโนะเกิดเสียชีวิตกะทันหันในที่ทำงาน แต่ถึงแม้ว่าคุณอุเอโนะจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เจ้าฮาจิโกะก็ยังคงเดินทางมาที่สถานีชิบูย่าทุกวันเพื่อเฝ้ารอให้เจ้าของกลับมาจนกระทั่งวันสุดท้ายของชีวิต ซึ่งผู้คนสามารถเยี่ยมชมรูปปั้นสุนัขฮาจิโกะและแสดงความเคารพต่อสุนัขที่แสนซื่อสัตย์ได้ที่บริเวณด้านหน้าสถานีชิบูย่าในโตเกียวได้
4. เดินเล่นชมวิวที่สะพานสายรุ้ง (โตเกียว)
เกาะโอไดบะที่มนุษย์สร้างขึ้นในอ่าวโตเกียว เป็นศูนย์กลางแฟชั่นและความบันเทิงอันแสนทันสมัยที่สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันตระการตาของเส้นขอบฟ้าเมืองโตเกียวได้ คุณสามารถเดินทางมายังเกาะโอไดบะแห่งนี้ได้ด้วยรถไฟสาย Monorail จากใจกลางเมือง หรือจะขับรถข้ามสะพานสายรุ้ง (Rainbow Bridge) ที่มีแสงไฟสีรุ้งส่องสว่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของโอไดบะในเวลากลางคืนก็ได้เช่นกัน ซึ่งสะพานข้ามที่มีความยาวกว่าครึ่งไมล์นี้สามารถเดินเท้าได้จนถึงเวลา 21:00 น. ในช่วงหน้าร้อน และ 18:00 น. ในช่วงหน้าหนาว ใช้เวลาเดินเพียงแค่ 20-30 นาทีเท่านั้น เป็นอีกหนึ่งวิธีในการชมวิวทิวทัศน์ของเมืองโตเกียวที่ไม่เลวเลยทีเดียวล่ะ
5. เข้าร่วมงานเทศกาลฤดูร้อน
การเปลี่ยนฤดูในแต่ละปีถือว่าเป็นช่วงที่ได้รับความสนใจมากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น การเปลี่ยนฤดูในแต่ละครั้งไม่ใช่เปลี่ยนแค่อุณหภูมิเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนสไตล์การใช้ชีวิตในแต่ละวันอีกด้วย อย่างเช่นเมื่อถึงฤดูร้อน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นฤดูกาลของงานเทศกาล ที่บนท้องถนนขนาดใหญ่จะเต็มไปด้วยเหล่าผู้คน เสียงกลองตีเป็นจังหวะ พร้อมการแสดงร่ายรำ และที่สำคัญที่สุดคือร้านอาหารอร่อยๆ ที่มีอยู่เต็มทั้ง 2 ข้างทาง
ไม่ว่าอยู่ที่ไหนส่วนในญี่ปุ่น ก็มักจะมีงานเทศกาลในบริเวณใกล้ๆ ให้ได้เข้าร่วมได้แทบทุกสัปดาห์ ซึ่งที่ถนน Koenji Awa-Odori จะเป็นงานเทศกาลฤดูร้อนที่ใหญ่ที่สุดของโตเกียว จะจัดขึ้นในเดือนสิงหาคมของทุกปี
6. งานประดับไฟฤดูหนาว Winter Illuminations
หากได้มีโอกาสมาท่องเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงประมาณเดือนพฤศจิกายนหรือธันวาคม ก็จะสามารถเข้าร่วมชมความมหัศจรรย์ของ Winter Illuminations หลายๆ คนอาจจะคุ้นเคยกับการประดับไฟในงานเทศกาลต่างๆ ในไทยหรือที่ต่างประเทศ แต่สำหรับที่ญี่ปุ่นงานประดับไฟจะมีขนาดใหญ่ครอบคลุมหลายบริเวณ และแต่ละที่ต่างก็จะมีธีมที่แตกต่างกันช่วยเพิ่มความน่ามหัศจรรย์และน่าหลงใหลให้กับยามค่ำคืนของทริปญี่ปุ่นของคุณ สถานที่ที่ได้รับความนิยมมากคืองานประดับไฟที่ Tokyo Midtown ซึ่งจะประดับไฟด้วยหลอด LED กว่า 100,000 ดวงในจุดแสดงไฟหลักเลยทีเดียว
7. ชมวิวจากเกาะเอโนชิมะ (คานากาว่า)
เกาะเอโนชิมะเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางใต้ของตัวเมืองโตเกียว สามารถเดินทางถึงได้ในเวลาเพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น ที่นี่จะให้ความรู้สึกราวกับว่าคุณกำลังอยู่ในเมืองทางแถบร้อนชื้น เนื่องจากต้นปาล์มที่เรียงรายและทิวทัศน์ริมหาดที่เชื่อมต่อกับญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ด้วยสะพานเล็กๆ สะพานหนึ่ง นอกจากนี้ที่เกาะเอโนชิมะยังขึ้นชื่อในเรื่องอาหารทะเลสดใหม่ ศาลเจ้าสามชั้น และถ้ำอันซับซ้อน ซึ่งนักเที่ยวสามารถเดินขึ้นบันไดไปบนภูเขาของเกาะแห่งนี้หรือจ่ายเงินเพียงเล็กน้อยเพื่อใช้บริการบันไดเลื่อนของเกาะเพื่อชมทิวทัศน์อันงดงามจากด้านบน
8. ปิคนิคพร้อมสูดอากาศสดชื่นที่สวนอิโนคาชิระ (โตเกียว)
เราสามารถเพลิดเพลินไปกับการปิคนิคอย่างผ่อนคลาย ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ได้ที่สวยสาธาระณะอิโนคาชิระในเขตคิชิโอจิของโตเกียว หรือจะนั่งบริเวณริมสระน้ำที่สามารถปั่นเรือหงส์เล่นได้ ในฤดูใบไม้ผลิจะมีต้นซากุระเบ่งบานเป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ทุกคนประทับใจไม่รู้ลืมได้อย่างแน่นอน
9. เยี่ยมชมกวางที่เกาะมิยาจิมะ (ฮิโรชิม่า)
ไม่ไกลจากชายฝั่งของเมืองฮิโรชิม่า มีเกาะเล็กๆ ชื่อเกาะมิยาจิมะ ซึ่งเป็นที่ตั้งของผืนป่าอันสวยงาม ศาลเจ้าโบราณ และฝูงประชากรกวางท้องถิ่นที่แสนเป็นมิตร ที่นี่มีประตูโทริอิลอยน้ำ ซึ่งเป็นประตูสีส้มขนาดยักษ์ที่เป็นเครื่องหมายของทางเข้าประตูศาลเจ้าที่เราสามารถเห็นได้ทั่วไป แต่พิเศษตรงที่ตัวประตูโทริอิของเกาะมิยาจิมะแห่งนี้จะถูกตั้งอยู่ในน้ำ
นักท่องเที่ยวหลายๆ คนอาจจะแปลกใจที่เห็นกวางอยู่ทั่วทั้งเกาะ ซึ่งในลัทธิชินโตมีความเชื่อว่า กวางคือร่างอวตารของเทพเจ้าจึงควรได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพอย่างสูงสุด ด้วยเหตุนี้ชาวเมืองมิยาจิมะจึงอาศัยอยู่ร่วมกับกวางอย่างสงบสุขเป็นเวลาหลายร้อยปี
10. ชมกระบวนการผลิตลูกอมสุดน่ารักที่ฮาราจูกุ (โตเกียว)
ฮาราจูกุเป็นย่านที่รู้จักกันดีในด้านของกุ๊กกิ๊กน่ารักๆ เริ่มตั้งแต่แฟชั่นไปจนถึงอาหารการกิน ซึ่งร้าน Candy Showtime ที่ฮาราจูกุนั้นมีชื่อเสียงในเรื่องลูกอมเม็ดเล็กหวานอร่อยที่มีลวดลายเหมือนรูปวาดในแต่ละชิ้น ถ้าลูกอมเหล่านี้ผลิตด้วยเครื่องจักรก็ดูจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไร แต่ลูกอมของที่นี่ทุกเม็ดได้รับการสร้างสรรค์มาจากการทำด้วยมือทั้งหมด
คุณสามารถใช้เวลาในช่วงบ่ายเพื่อชมสาธิตขั้นตอนการทำลูกอมแบบสดๆ ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งไม่เพียงแค่ชมเท่านั้น แต่ทางร้านอาจจะมอบตัวอย่างลูกอมที่พึ่งทำเสร็จใหม่ๆ ให้ผู้ที่กำลังเยี่ยมชมได้ชิมอีกด้วย
11. น้ำตกฟุคุโรดะ (อิบารากิ)
น้ำตกฟุคุโรดะในเมืองไดโกะ จังหวัดอิบารากิแห่งนี้มีความสูงถึง 120 เมตร และไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งในน้ำตกที่สวยที่สุดในญี่ปุ่น แต่ยังเป็นหนึ่งในน้ำตกที่สูงที่สุดในญี่ปุ่นเช่นกัน ด้วยเมืองที่ล้อมรอบและบ่อน้ำพุร้อนที่ช่วยให้ผ่อนคลาย พร้อมทั้งร้านค้าขนาดเล็กที่ขายสินค้าของฝากและขนมอร่อยๆ ที่นี่จึงให้ความรู้สึกราวกับเป็นบรรยากาศที่หลุดมาจากภาพยนตร์อนิเมชั่นของญี่ปุ่นเลยทีเดียว ส่วนของน้ำตกและตัวเมืองไดโกะนั้นสามารถเพลิดเพลินได้โดยไม่มีค่าเยี่ยมชม ในขณะที่จุดชมวิวด้านในจะต้องเสียค่าบริการในการเข้าชม แต่ทัศนียภาพที่คุณจะได้เห็นนั้นจะไม่ทำให้คุณรู้สึกเสียดายกับค่าเข้าที่จ่ายไปอย่างแน่นอน
ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมตลอดทั้งปี แต่จะยิ่งสวยงามเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาว ในฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ที่เรียงรายอยู่สองข้างทางจะถูกย้อมไปด้วยสีแดงและสีส้มราวกับกำลังถูกแผดเผา ในขณะที่ในฤดูหนาว เมื่ออุณหภูมิเริ่มต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง คุณจะสามารถเริ่มต้นการผจญภัยสุดตื่นเต้นด้วยการปืนภูเขาน้ำตกอันเย็นเฉียบที่ถูกแช่แข็งเนื่องจากอาการที่เย็นจัด
12. ปราสาทโอซาก้า (โอซาก้า)
ที่นี่เป็นจุดท่องเที่ยวที่โด่งดังที่สุดของโอซาก้าและเป็นปราสาทที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของญี่ปุ่น ดังนั้นการเดินทางไปเที่ยวชมปราสาทแห่งนี้จึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาดเด็ดขาดหากได้เดินทางมาโอซาก้า ผู้ที่สนใจสามารถจ่ายค่าเข้าชม 600 เยน เพื่อเข้าชมด้านในปราสาทอย่างใกล้ชิด แต่ถ้าเยี่ยมชมเพียงบริเวณรอบๆ ปราสาทและสวนด้านนอกก็ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมใดๆ หากย้อนไปเมื่อปี 1597 ที่ปราสาทโอซาก้าแห่งนี้ถือว่าเป็นสถานที่ที่โดดเด่นที่สุดในประเทศญี่ปุ่นเลยเชียวล่ะ!
13. ศาลากลางประจำกรุงโตเกียว (โตเกียว)
ด้วยความที่เป็นหนึ่งในเมืองที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก จึงทำให้โตเกียวมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรจะมาเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งระหว่างที่มาเที่ยวพักผ่อนอยู่มากมาย และก็คงดีไม่น้อยหากสามารถชมวิวทิวทัศน์ของเมืองโตเกียวในมุมสูงแบบ birds-eye view ถึงแม้ที่ Tokyo Skytree จะมีจุดชมวิวอันแสนยอดเยี่ยม แต่ก็มาพร้อมกับค่าบริการที่ค่อนข้างสูงจนทำให้นักท่องเที่ยวที่มีงบประมาณจำกัดอาจจะรู้สึกลังเล
อาคารศาลากลางประจำกรุงโตเกียวซึ่งตั้งอยู่ที่ชินจูกุนั้น ชื่ออาจจะดูเป็นอาคารสำหรับปฏิบัติงานทางราชการธรรมดา แต่แท้จริงแล้วเราสามารถขึ้นไปชมวิวมุมสูงของโตเกียวที่บริเวณหอชมวิวด้านบนได้ฟรี ถือเป็นจุดที่แสนวิเศษในการบันทึกภาพโตเกียวในมุมสูงเก็บไว้เป็นความทรงจำ
14. ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ (เกียวโต)
ศาลเจ้าที่ตั้งอยู่ในจังหวัดเกียวโตซึ่งเป็นที่ตั้งของโทริอิหรือเสาประตูศาลเจ้าสีส้มจำนวนมากมายแห่งนี้ เป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่เป็นที่นิยมมากที่สุดเมื่อค้นหาภาพถ่ายสถานที่ท่องเที่ยวในญี่ปุ่น ทางเดินที่คดเคี้ยวที่มีเสาสีส้มเรียงรางตัดกับสีเขียวของต้นไม้ที่ขนาบ 2 ข้างทาง เป็นภาพที่สวยงามจนไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมที่แห่งนี้จึงเป็นที่นิยมนักในหมู่นักท่องเที่ยว
15. สวนสันติภาพฮิโรชิม่า (ฮิโรชิม่า)
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณพื้นที่ของสวนสันติภาพฮิโรชิม่าในปัจจุบันเคยเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่คึกคักเป็นอย่างมาก แต่หลังจากการทำลายล้างในช่วงสงคราม บริเวณนี้ได้ถูกรับเลือกให้เป็นอุทยานอนุสรณ์สำหรับรำลึกถึงผู้ประสบภัยจากการทิ้งระเบิดปรมาณู ถึงส่วนด้านในพิพิธภัณฑ์สวนสันติภาพฮิโรชิม่าจะต้องเสียค่าบริการในการเข้าชม แต่เราสามารถเดินชมพื้นที่รอบๆ อุทยานได้ฟรีโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ
16. เพลิดเพลินไปกับการแสดงกลองไทโกะบนเกาะซาโดะ (นีงาตะ)
แต่เดิมที่นี่คือสถานที่สำหรับลี้ภัยของเหล่าชนชั้นสูงญี่ปุ่น แต่ในปัจจุบัน เกาะซาโดะที่ตั้งอยู่นอกชายฝั่งของจังหวัดนีงาตะได้พัฒนากลายเป็นสถานที่พักผ่อนจากความวุ่นวายของญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่ เกาะแห่งนี้อุดมไปด้วยความงามจากธรรมชาติและความโดดเด่นทางศิลปะ โดยเฉพาะเรือสำราญซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของเกาะแห่งนี้ อีกทั้งที่นี่ยังเป็นแหล่งบุกเบิกด้านละครเวทีและหุ่นกระบอกที่ไม่สามารถหาชมได้จากที่อื่นในญี่ปุ่น โดยในช่วงเทศกาลวันคุ้มครองโลก (Earth Day, 22 เมษายนของทุกปี) นักท่องเที่ยวจะสามารถชมการแสดงกลองไทโกะที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นได้จากที่นี่
17. วิ่งจอกกิ้งยามเช้าที่พระราชวังหลวง
สำหรับคนที่ต้องการออกกำลังกายเบาๆ ในระหว่างท่องเที่ยวในโตเกียว สามารถมุ่งหน้าไปยังพระราชวังหลวงได้เลย ภายในบริเวณพระราชวังจะประกอบด้วยสวนสไตล์ผสมผสานระหว่างญี่ปุ่นและอังกฤษ มีเส้นทางความยาวกว่า 5 กิโลเมตรที่นำไปสู่คูน้ำและสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ในอดีตอันสวยงาม ที่นี่จึงเป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับการออกมาวิ่งจอกกิ้งในยามเช้า โดยสวนจะเปิดให้บริการทุกวันยกเว้นวันจันทร์และศุกร์ ตั้งแต่เวลา 09:00 – 16:00 น.
18. ชมการประมูลปลาสดๆ ที่ตลาดปลาโทโยซุ (โตเกียว)
ถ้าหากคุณบังเอิญตื่นเช้ากว่าปกติ ก็สามารถมาใช้เวลาในช่วงก่อนหัวรุ่งที่ตลาดปลาโทโยซุที่พึ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ได้ ที่นี่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมการประมูลปลาทูน่าได้ แต่พื้นที่สำหรับรับชมในแต่ละวันนั้นมีจำกัดและต้องเรียงตามลำดับการมาก่อนหลัง ซึ่งการประมูลจะเริ่มขึ้นในเวลา 05:30 น. ดังนั้นขอแนะนำให้เดินทางมาถึงก่อนเวลาเนิ่นๆ เพื่อความปลอดภัย
19. เที่ยวชมโรงงานผลิตของ Suntory Brewery
Suntory Brewery เป็นหนึ่งในผู้ผลิตเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ที่เพียงแค่เดินเข้าไปในร้านสะดวกซื้อก็สามารถพบกับเครื่องดื่มของแบรนด์นี้ได้ไม่ยาก โรงบ่มเบียร์ที่โตเกียวได้เปิดให้นักท่องเที่ยวสามารถเข้าชมได้ฟรีเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของเบียร์ Suntory และชมขั้นตอนต่างๆ ในการผลิตได้อย่างใกล้ชิด และยังสามารถทดลองชิมเบียร์หลากหลายชนิดที่กำลังได้รับความนิยมได้อีกด้วย มีเงื่อนไขเพียงอย่างเดียวคือก่อนที่จะเข้าเยี่ยมชมจะต้องจองเวลามาจากเว็บไซต์ภาษาญี่ปุ่นก่อนเท่านั้น
20. นั่งเรือญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม (โตเกียว)
ในระหว่างที่คุณมาท่องเที่ยวในญี่ปุ่น คุณจะเห็นได้เลยว่าการอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติเป็นหนึ่งในความสำคัญสูงสุดของชาวญี่ปุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตโคโตะของจังหวัดโตเกียว ที่สวนสาธารณะชินซุยแห่งนี้จะมีกลุ่มอาสาสมัครท้องถิ่นให้บริการนั่งเรือญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมได้ฟรี เรือเหล่านี้จะล่องไปตามแม่น้ำ Yokojukken รอบๆ สวน สำหรับกลุ่มที่มีจำนวนน้อยกว่า 10 คนไม่จำเป็นต้องจองล่วงหน้า แต่จะเปิดให้บริการเพียงแค่อาทิตย์ละ 1 วันเท่านั้น ดังนั้นอย่าลืมเช็กตารางการให้บริการจาก >เว็บไซต์ของเมืองโคโตะ< ก่อนเดินทางไปใช้บริการทุกครั้ง
แม้จะมีงบประมาณจำกัด แต่ก็มีหลายวิธีที่คุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับการท่องเที่ยวในญี่ปุ่นได้ หวังว่าสถานที่และกิจกรรมที่เราได้แนะนำไปในบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนสามารถท่องเที่ยวญี่ปุ่นได้อย่างเต็มที่ในงบประมาณที่ตั้งไว้!
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่