คิวต่อไป คิวชู!! แพลนเที่ยวคิวชู 3 วันแบบโคตรละเอียด ฟุกุโอกะ-โออิตะ-คุมาโมโตะ กิน ช็อป ถ่ายรูป ครบ!!
"ภูมิภาคคิวชู" ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของญี่ปุ่น อุดมไปด้วยธรรมชาติอันน่ามหัศจรรย์ ออนเซ็นฟินๆ ไปจนถึงสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์มากมาย เรียกได้ว่ามีที่เที่ยวเด็ดๆ รอให้คุณไปสัมผัสมากมายเต็มไปหมด! ในครั้งนี้ขอเอาใจทั้งขาประจำและนักท่องเที่ยวมือใหม่ จัดแพลนเที่ยว 3 จังหวัดเด็ด ฟุกุโอกะ-โออิตะ-คุมาโมโตะ 3 วัน 2 คืน ให้ไปเที่ยวกันแบบเต็มอิ่ม! แนะนำที่เที่ยวเด็ดๆ อาหารอร่อย จุดถ่ายรูปชิคๆ ไปจนถึงที่พัก ครบทุกรายละเอียดทั้งวิธีเดินทางที่แสนง่ายดาย รวมไปถึงเกร็ดความรู้ต่างๆ จบครบในบทความเดียว!!
【Day 3 แบบที่ 1】ธรรมชาติสุดอลังการในคุมาโมโตะ「อะโซะ」
สำหรับวันสุดท้ายในทริปนี้ เราจะพาทุกคนไปชมธรรมชาติของจังหวัดคุมาโมโตะที่ "เมืองอะโซะ" (Aso・阿蘇) กันค่ะ อะโซะอยู่ห่างจากตัวเมืองคุมาโมโตะออกมาเล็กน้อย เป็นเมืองที่โด่งดังเรื่องธรรมชาติอันสวยงาม โดยเฉพาะภูเขาไฟอะโซะ (阿蘇山) กลุ่มภูเขาไฟขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของโลกซึ่งอยู่ในเขตอุทยานเห่งชาติอุโซะคุจู (Aso Kuju National Park) ที่เราจะได้ไปชมความอลังการกันในวันนี้ค่ะ
การเดินทางไปยังเมืองอะโซะสามารถไปได้โดยรถบัสด่วน Sanko Bus หรือ Kyushu Odan Bus ตรงถึงสถานี Aso จากสถานี Kumamoto ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หรือจากสนามบิน Aso-Kumamoto Airport ใช้เวลาประมาณ 50 นาที และหากขับรถยนต์จากตัวเมืองคุมาโมโตะไป ก็จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งค่ะ
เนื่องจากวิธีเดินทางที่สะดวกที่สุดคือการเช่ารถขับ วันนี้เราจึงขอแนะนำแพลนเที่ยวโดยขับรถชมวิวธรรมชาติชิลล์ๆ เริ่มต้นร้านเช่ารถหน้าสถานี Kumamoto กันค่ะ
แต่สำหรับใครที่ไม่สะดวกขับรถก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะเรายังมีแผนสำหรับเที่ยวโดยรถรางในตัวเมืองคุมาโมโตะเช่นกัน สามารถเลื่อนไปอ่านข้างล่างได้เลยค่ะ
สำหรับเส้นทางขับรถ เราขอแนะนำให้ขับรถชมวิวผ่านถนนมิลค์โร้ด เมื่อเริ่มเข้าสู่เขตเมืองอะโซะ ทิวทัศน์รอบๆ ก็จะเริ่มเป็นวิวธรรมชาติแสนสวยงาม ให้เพลินได้ตลอดทางเลยค่ะ
→แพลนเที่ยวในตัวเมืองคุมาโมโตะ คลิก!
[9:30 น.] ชมวิวเมืองอะโซะที่จุดชมวิว Daikanbo
และเราก็มาถึงที่แรกกันแล้ว ซึ่งก็คือ "จุดชมวิวไดคังโบ" (大観峰展望所) จุดชมวิวเมืองอะโซะสุดอลังการ เข้าชมได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายโดยบริเวณทางเข้าจะเป็นที่จอดรถและจุดแวะพัก จากบริเวณนั้นให้เดินเข้ามาประมาณ 10 นาทีก็จะถึงจุดชมวิวค่ะ
ระหว่างที่เดินไปยังจุดชมวิวก็จะได้เพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ภูเขาแสนสวยงามของอุทยานแห่งชาติตลอดสองฝั่งข้างทาง ทั้งเนินเขา ภูเขาที่ซ้อนสลับกันไปจนลิบตา และทุ่งหญ้าเขียวขจีที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม
และเมื่อถึงจุดชมวิวแล้วก็ต้องตะลึงกับทัศนียภาพแสนงดงามของเมืองอะโซะ จากจุดนี้จะสามารถชมวิวยอดเขาทั้ง 5 แห่งภูเขาอะโซะ (阿蘇五岳) เรียงรายเหมือนพระพุทธรูปปางไสยาสน์ ที่ล้อมรอบทุ่งหญ้าผืนใหญ่ ไกลสุดลูกหูลูกตา และยังสามารถชมวิวของหุบเขาอะโซะ (阿蘇谷) ที่อยู่เบื้องล่างได้อีกด้วย นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีย่านที่อยู่อาศัยให้เห็นอยู่เป็นระยะๆ มองจากบนนี้ บ้านแต่ละหลังดูเล็กลงไปเลยล่ะค่ะ
วิวพาโนรามาของท้องฟ้าสีสด ตัดกับสีเขียวของภูเขาและทุ่งหญ้าหลากสีที่งดงามจนสะกดทุกสายตา แถมในแต่ละฤดูกาลก็จะมีทิวทัศน์ที่แตกต่างกันไปอีกด้วยนะคะ
ในหน้าร้อนจะเป็นวิวภูเขาที่เขียวชอุ่ม แต่เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวก็จะเห็นภาพภูเขาสีน้ำตาลที่ทรงพลังไปอีกแบบ แถมอีกนิดว่าหากมาตอนเช้าในช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงก็อาจได้เห็นทะเลหมอกแสนสวยด้วยล่ะค่ะ ดังนั้นไม่ว่าจะมาฤดูไหนก็จะเห็นวิวสวยๆ แน่นอน
ที่นี่ค่อนข้างกว้าง มีจุดถ่ายรูปอยู่หลายมุม จะย้ายไปถ่ายมุมไหนก็สวยไปเสียหมด เผลอแป๊ปเดียวถ่ายรูปไปหลายชั่วโมง ได้ภาพสวยๆ เก็บกลับบ้านมาเพียบ แต่ก็อย่ามัวแต่ถ่ายรูปเพลินจนลืมดูเวลากันนะคะ เดี๋ยวจะไม่ได้เที่ยวที่อื่นต่อ
ก่อนขึ้นรถก็หยุดแวะที่บริเวณร้านค้าหน้าลานจอดรถสักหน่อย ที่นี่มีจุดนั่งพักรวมถึงร้านอาหารให้ได้คลายเหนื่อยกัน และยังสามารถลิ้มลองอาหารอร่อยประจำจังหวัดคุมาโมโตะอย่างเนื้อวัวอะโซะหรือคาราชิเรนคง (รากบัวสอดไส้คาราชิ) ได้อีกด้วย
แน่นอนว่ามีของฝากวางขายมากมายเช่นกัน ทั้งขนม ของที่ระลึก ของดีประจำเมืองอะโซะ รวมถึงสินค้าเจ้าหมีคุมะมงสุดน่ารักที่มีละลานตากันจนเลือกไม่ถูกเลยทีเดียว
แวะช็อปของฝากกันเสร็จแล้ว ต่อไปจะพาไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านเด็ดประจำเมืองอะโซะกันค่ะ
[11:00 น.] ชิมเนื้อวัวแห่งเมืองอะโซะที่ Imakin Shokudo
ขับรถมาจากจุดชมวิวไดคังโบแค่ 15 นาทีก็จะมาถึงร้านเด็ดของเราในวันนี้กันแล้ว "อิมะคินโชคุโด" (いまきん食堂) ร้านข้าวหน้าเนื้อสูตรเด็ดขวัญใจทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่มักจะมีคนต่อคิวยาวล้นอยู่ตลอด เห็นว่าเคยมีสมาชิกวง BNK มาที่นี่ด้วยล่ะ (มีเขียนไว้ที่เมนูเลยทีเดียว) ก่อนเข้าร้านก็ลองดูเมนูอาหารหน้าร้านก่อนได้เลยนะคะ
ได้เข้ามาแล้วก็ไม่รอช้าสั่งอาหารกันเลยดีกว่า เมนูแนะนำของเรา คือ "ข้าวหน้าเนื้ออะคะอุชิ" (あか牛丼) (1,760 เยนรวมภาษี) เป็นชุดข้าวหน้าเนื้อโปะด้วยไข่ออนเซ็นเยิ้มๆ พร้อมซุปและเครื่องเคียง ปริมาณนับว่าเยอะพอสมควรและให้เนื้อเยอะแบบไม่หวงเลยล่ะ
เคล็ดลับความอร่อยของเมนูนี้คือเนื้ออะคะอุชิ ซึ่งเป็นเนื้อวัววากิวพันธุ์พิเศษของเมืองอะโซะ ซึ่งมีแค่ 1% ของวากิวเท่านั้น! อะคะอุชิโด่งดังจากส่วนเนื้อแดงที่จะอร่อยเป็นพิเศษ ตามชื่อของมันนั่นเอง (อะคะแปลว่าสีแดง อุชิแปลว่าวัว)
เมนูนี้ใช้ส่วนน่องของอะคะอุชิหมักกับมิโซะทำเองและเครื่องปรุงต่างๆ มองไปจะเห็นมันแทรกอยู่ด้านนอก และนุ่มสุดๆ ไม่เหนียวเหมือนเนื้อแดงทั่วไป แถมยังได้รสมิโซะหอมหวานกำลังดี
ยิ่งกินกับไข่ออนเซ็นและซุปก็ยิ่งอร่อยกลมกล่อมขึ้นไปอีก ส่วนผักดองและซุปก็เป็นเมนูทำเองเช่นกัน ตัวซุปจะเป็นซุปเลมอนที่ใช้น้ำสต็อกจากเนื้ออะคะอุชิ และปรุงโดยใช้โชยุเท่านั้น! อร่อยสุดๆ และรับรองว่าไม่ซ้ำที่อื่นแน่นอน
นอกจากเมนูข้าวหน้าเนื้อแล้วก็ยังมีเมนูเส้นให้เลือกอร่อยกันได้อีกด้วย และจะปิดท้ายมื้ออาหารด้วยนมหรือโยเกิร์ตจากฟาร์มในเมืองอะโซะก็เด็ดดีเหมือนกัน
เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ออกเดินทางกันต่อเลย! ขณะขับรถไปยังที่ต่อไป บอกเลยว่าทิวทัศน์ข้างทางสวยมากจนอยากจะแวะถ่ายรูปเรื่อยๆ เลยค่ะ ทั้งทุ่งหญ้าและภูเขาที่ค่อยๆ เข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกันแล้วหรือยังคะ!?
[12:30 น.] ชมธรรมชาติสุดตระการตา เดินเล่นถ่ายรูปที่ทุ่ง Kusasenrigahama
ขับรถจากอิมะคินโชคุโดประมาณครึ่งชั่วโมงก็จะมาถึง "ทุ่งคุซะเซนริ" (草千里ヶ浜) ทุ่งหญ้ากว้างไกลสุดลูกหูลูกตา พร้อมวิวภูเขาสุดอลังการ มีบึงน้ำขนาดใหญ่อยู่ 2 แห่งใกล้ๆ กัน นับเป็นหนึ่งจุดท่องเที่ยวในอะโซะที่พลาดไม่ได้เป็นอันขาด
หลังจากจอดรถที่ลานจอดรถขนาดใหญ่หน้าทุ่งคุซะเซนริแล้ว ใกล้ๆ ที่จอดรถจะมีบันไดสำหรับเดินขึ้นมาจุดมาชมวิว แวะถ่ายรูปทุ่งคุซะเซนริจากมุมสูงอย่างในภาพนี้ก่อนได้เลยค่ะ
ส่วนบริเวณลานจอดรถหน้าทุ่งคุซะเซนริก็จะมีจุดแวะพัก ร้านอาหาร พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟ รวมถึงศูนย์บริการข้อมูลท่องเที่ยวอยู่ด้วย จอดรถแล้วลงไปเดินเล่นชมความยิ่งใหญ่ของทุ่งหญ้าแห่งนี้กันได้เลย! บอกเลยว่ากว้างใหญ่สุดๆ เดินเล่นได้เป็นชั่วโมง เลนส์ไวด์แค่ไหนก็เก็บไม่หมด!
กระซิบว่าที่นี่บางทีจะมีลมแรงสักหน่อย อย่าลืมเอาเสื้อกันหนาวไปเผื่อกันด้วยนะคะ
ยิ่งเดินเข้าไปก็จะยิ่งสัมผัสได้ถึงความยิ่งใหญ่ของภูเขา ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่มีปากปล่องในรูปแบบใหม่ คือ มีปากปล่องสองปากซ้อนกันอยู่นั่นเองค่ะ และหากมาในช่วงฤดูหนาว ก็จะเป็นวิวทุ่งหญ้าและภูเขาสีน้ำตาลแซมหิมะที่อลังการไม่แพ้กัน! อยากจะมาเก็บภาพให้ครบทุกฤดูเลยทีเดียว
ใครเดินจนเหนื่อยแล้วก็สามารถขี่ม้าชมทุ่งได้เช่นกัน โดยจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลอยู่ตลอด ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยเลยค่ะ และหากเจอวัวหรือม้าแทะเล็มหญ้าอยู่ก็ระวังอย่าเข้าใกล้นะคะ
และเมื่อเดินไปยังบริเวณฝั่งซ้ายของที่จอดรถก็จะสามารถชมปากปล่องของภูเขานากาดาเคะ (中岳) ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่สามารถมองเข้าไปในปากปล่องได้ ทั้งยังมีควันและไอน้ำพวยพุ่งออกมาแทบตลอดเวลา อันที่จริงแล้วใกล้ๆ นี้จะมีโรปเวย์ที่สามารถนั่งขึ้นไปชมปากปล่องภูเขานากาดาเคะแบบใกล้ชิดได้ด้วย แต่เนื่องจากช่วงที่ไป (กันยายน 2019) บริเวณรอบปากปล่องค่อนข้างอันตรายจากก๊าซภูเขาไฟ จึงปิดให้บริการชั่วคราวค่ะ (สามารถติดตามรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์)
หากไปในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็จะมีวิวทุ่งดอกหญ้าพลิ้วไหวตามแรงลม ถ่ายรูปสวยสุดๆ โดยในภาพเป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วงพอดีเลยค่ะ
เดินเล่นกันเสร็จแล้วก็ไปพักเหนื่อยที่คาเฟ่ แวะซื้อของฝากในร้านค้า และสามารถอ่านประวัติความเป็นมาของอุทยานแห่งชาติอะโซะคุจูได้ที่พิพิธภัณฑ์ภูเขาไฟได้เช่นกัน
ขับรถออกมาจากทุ่งคุซะเซนริสักพักก็จะเจออีกหนึ่งแลนด์มาร์คน่าสนใจของอะโซะ ชื่อว่า "โคเมะสึกะ" (米塚) เป็นภูเขาไฟที่อายุน้อยที่สุดในเหล่าภูเขาไฟอะโซะ รูปทรงเหมือนชามคว่ำ ด้านบนเองก็มีปากปล่องเช่นกัน แต่เพื่อป้องกันพืชพรรณเสียหาย จึงไม่สามารถเข้าไปในทุ่งหญ้ารอบๆ รวมถึงตัวภูเขาได้ค่ะ
※นอกจากบริเวณทุ่งหญ้าคุซะเซนริแล้ว ไม่สามารถเข้าไปชมทุ่งหญ้าบริเวณอื่นๆ ที่ถูกล้อมรั้วไว้ได้
สำหรับทริปวันสุดท้ายก็ขอจบไว้เพียงเท่านี้ เก็บภาพกันเรียบร้อยแล้วก็บอกลาเมืองอะโซะ แล้วขับรถกลับไปยังตัวเมืองคุมาโมโตะ (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง) เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกันได้เลยค่ะ
แต่หากใครยังมีเวลาเหลือ ก็สามารถเที่ยวชมตัวเมืองคุมาโมโตะตามแพลนที่สองนี้ได้เช่นกันค่ะ!
【Day 3 แบบที่ 2】เที่ยวเพลินในตัวเมืองคุมาโมโตะ
สำหรับใครที่อยากเที่ยวชิลล์ๆ ในคุมาโมโตะโดยไม่ต้องขับรถ เราก็ขอแนะนำแพลนเที่ยวที่ 2 นี้เลยค่ะ! เพราะในตัวเมืองคุมาโมโตะเองก็มีที่เที่ยวน่าสนใจมากมาย ทั้งยังเดินทางได้ง่าย ทั้งโดยรถบัส และรถไฟ Kumamoto City Tram สุดน่ารัก ว่าแล้วก็เริ่มกันเลยดีกว่า
[9:00 น.] ชิม ช็อป ใช้ที่ Sakura no Baba Josaien
นั่งรถราง Kumamoto City Tram มาลงที่สถานี Kumamoto Castle/City Hall เดินมาอีกสักพักจะพบกับรูปปั้นเจ้าหมีคุมะมง มาสคอตประจำจังหวัดแสนน่ารัก ต้อนรับทุกคนสู่แหล่งช็อปปิ้ง "ซากุระโนะบาบะโจไซเอน" (桜の馬場 城彩苑)
ที่นี่เป็นแหล่งรวมทั้งร้านขายของฝาก ร้านอาหารและของกินเด็ดๆ ประจำจังหวัดคุมาโมโตะไว้ให้เลือกชิมเลือกช็อป เช่น คัตสึเนื้อม้า อิคินาริดังโงะ (ดังโงะไส้มันหวาน) คาราชิเรนคง (รากบัวสอดไส้คาราชิ) และอื่นๆ อีกมากมาย! เรียกได้ว่ามาที่เดียวก็เก็บเมนูเด็ดของคุมาโมโตะได้แทบจะครบเลยทีเดียว
แถมสถาปัตยกรรมของที่นี่ยังให้บรรยากาศย้อนยุคแบบสมัยเอโดะด้วย นั่งพักหาอะไรอร่อยๆ กิน จากนั้นก็เดินชมบรรยากาศ ถ่ายรูปเพลินๆ บอกได้คำเดียวว่าฟินสุดๆ
และที่นี่ไม่ได้มีแค่ร้านของฝากกับร้านอาหารเท่านั้น แต่ยังมี "พิพิธภัณฑ์ปราสาทคุมาโมโตะ วะคุวะคุสะ" (熊本城ミュージアムわくわく座) ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์การก่อสร้างไปจนถึงการฟื้นฟูปราสาทคุมาโมโตะจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวผ่านการฉายภาพโปรเจ็กชั่นแมปปิ้งจำลองสถานการณ์จริง และกล้องที่ไลฟ์การซ่อมแซมปราสาทให้ดูกันแบบสดๆ ใครอยากรู้จักคุมาโมโตะมากขึ้นก็ลองไปชมกันดูนะคะ!
ชิม ช็อป เดินเล่นและซื้อของฝากกันจนหนำใจแล้วก็ให้กลับไปยังบริเวณทางเข้า จะพบกับป้ายชัทเทิลบัส (วิ่งทุก 15 - 20 นาที) ที่วิ่งระหว่างสวนนิโนะมารุและซากุระโนะบาบะโจไซเอน นั่งได้ไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากใครไม่อยากรอจะเดินไปเองเลยก็ได้เช่นกัน
และเป้าหมายต่อไปของเราก็คงจะเป็นสถานที่ที่ทุกคนรอคอย "ปราสาทคุมาโมโตะ" นั่นเองค่ะ!
[10:00 น.] สัมผัสความยิ่งใหญ่ของปราสาท Kumamoto Castle
ขาดไม่ได้สำหรับไฮไลท์ของจังหวัดนี้ "ปราสาทคุมาโมโตะ" (熊本城) หนึ่งในปราสาทที่สวยงามที่สุดในญี่ปุ่น และมีประวัติศาสตร์เก่าแก่กว่า 400 ปี! ทั้งยังรายล้อมด้วยป้อมปราการมากมาย เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่และอลังการสุดๆ แถมถ้ามาในช่วงฤดูใบไม้ผลิก็จะสามารถเพลิดเพลินไปกับวิวซากุระรอบปราสาทแสนสวยได้ด้วยค่ะ
เนื่องจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวรุนแรงในปี 2016 ส่งผลให้ตัวปราสาทและกำแพงหินโดยรอบได้รับความเสียหาย จึงมีหลายส่วนที่ไม่สามารถเข้าไปชมได้ แต่ทางเดินรอบๆ ยังคงเปิดให้เดินชมตัวปราสาทจากระยะไกลได้อยู่ ซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 24 จุดด้วยกัน (กำหนดการซ่อมแซมเสร็จสิ้นทั้งหมดในช่วงปี 2037)
และจุดที่เราขอแนะนำเป็นจุดแรก คือ สวนนิโนะมารุ (二の丸公園) ซึ่งอยู่ข้างๆ ที่จอดรถนิโนะมารุซึ่งเป็นจุดลงชัทเทิลบัสนั่นเอง โดยจะสามารถมองเห็นวิวหอคอยหลักเทนชุคาคุและป้อมปราการอุโตะ (宇土櫓) อย่างในภาพด้านบนได้ค่ะ
เดินจากสวนนิโนะมารุลึกเข้าไปเรื่อยๆ จะเจอกับป้อมปราการอันทรงพลังตามจุดต่างๆ อย่างในภาพด้านบนนี้ก็คืออีกจุดถ่ายรูปยอดนิยม "ป้อมปราการอินุอิยากุระ" (戌亥櫓) จากภาพจะเห็นได้ว่าหินรองป้อมปราการได้พังทลายลงจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว แต่ตัวป้อมปราการยังคงอยู่ได้ด้วยการรองรับจากหินบริเวณมุมนั่นเองค่ะ
จากตรงนี้ให้เดินลึกเข้าไปอีกนิด มองหาศาลเจ้าที่ชื่อว่า "ศาลเจ้าคาโต้" (加藤神社) แล้วจะถึงจุดชมวิวหอคอยหลักของปราสาทคุมาโมโตะที่ใกล้ที่สุด!
นี่คือภาพหอคอยหลักของปราสาทคุมาโมโตะที่มองเห็นได้จากบริเวณศาลเจ้าคาโต้ เรียกว่า "เทนชุคาคุ" (天守閣) แม้ว่ากำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่ก็ยิ่งใหญ่อลังการสุดๆ สัมผัสได้เลยล่ะค่ะว่าปราสาทคุมาโมโตะเป็นความภาคภูมิใจของชาวคุมาโมโตะจริงๆ
หลังจากชื่นชมความยิ่งใหญ่ของปราสาทคุมาโมโตะแล้ว เราก็ได้เดินกลับไปยังลานกว้างนิโนะมารุ บริเวณนั้นจะมีจุดให้นั่งพัก ซื้อของฝากเล็กน้อยเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูปราสาท แล้วนั่งชัทเทิลบัสกลับไปยังซากุระโนะบาบะโจไซเอน เดินเยอะๆ ชักจะหิวแล้ว ไปหาของอร่อยกินกันดีกว่า~
[11:30 น.] ฟินกับมื้อสุดท้ายที่ Katsuretsutei Shinshigai
สำหรับมื้อเที่ยงในวันสุดท้ายขอพาไปอิ่มอร่อยที่ "คึตสึเรตสึเท สาขาหลักชินชิไก" (勝烈亭新市街本店) ร้านหมูทอดทงคัตสึชื่อดังแม้แต่ในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากถนนช็อปปิ้งชิโมโทริ ขอบอกว่าคนเยอะตั้งแต่ร้านเปิด ดังนั้นไปเร็วสักหน่อยจะดีกว่า
หากมาในช่วงกลางวันก็จะมีเซตเมนูอาหารกลางวันให้เลือกสรร และไม่ต้องกังวลไปเพราะมีเมนูภาษาอังกฤษให้บริการด้วย เวลาสั่งก็เลือกเป็นหมายเลขประจำเซตที่ต้องการ อร่อยได้หายห่วงแน่นอน
เมนูที่สั่งมาในวันนี้ คือ เซตทงคัตสึสันนอก (上ロースかつ善) (1,580 เยนรวมภาษี) ใช้เนื้อหมูสันนอกคุณภาพเยี่ยมจากฟาร์มในที่ราบสูงคุจู จังหวัดโออิตะ ในชุดจะเสิร์ฟหมูทอดร้อนๆ มาพร้อมกับผักกะหล่ำฝอยก้อนโต ข้าวสวย ซุปมิโซะ ผักดองหลากชนิด หัวไชเท้าขูด และถ้วยสำหรับบดงาหอมกรุ่น
นอกจากเมนูนี้แล้วก็อยากให้ลองทงคัตสึหมูรปปะคุโรบูตะ (六白黒豚) ที่เสิร์ฟจำนวนจำกัดใน 1 วัน โดยใช้หมูคุโรบูตะเลื่องชื่อจากจังหวัดคาโกชิม่า ที่ไม่ได้มีสีดำทั้งตัว แต่มี 6 จุดในร่างกายที่มีสีขาว ตามความหมายของชื่อรปปะคุนั่นเองค่ะ
นอกจากเนื้อหมูที่คัดสรรมาอย่างดีแล้ว น้ำมันที่ใช้ทอดก็เป็นน้ำมันคุณภาพเยี่ยมที่ช่วยดึงความอร่อยของเนื้อหมูออกมา ทั้งยังทำให้เนื้อหมูไม่อมน้ำมัน
อีกหนึ่งเคล็ดลับความอร่อยที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย คือ แป้งขนมปังเคลือบทงคัตสึที่สั่งทำเป็นพิเศษ ทอดจนเหลืองกรอบแต่เบาลิ้น เรียกได้ว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้มีลูกค้าติดใจจนต้องมาบ่อยๆ กันเลยทีเดียว
ในส่วนของซอสทงคัตสึ ทางร้านก็มีให้เลือกสองแบบ คือ สไตล์ญี่ปุ่น (和風) ซึ่งจะออกรสหวานละมุนลิ้น และสไตล์ฝรั่ง (洋風) ที่จะออกเผ็ดหน่อยๆ สามารถเลือกได้ตามใจชอบ แต่ขอแนะนำให้บดงาในถ้วยจนส่งกลิ่นหอม แล้วราดซอสสไตล์ญี่ปุ่นลงไป เท่านี้ก็จะได้ซอสหอมอร่อยสไตล์ญี่ปุ่นแท้ๆ แล้ว!
หลังจากที่ได้ลองแล้วก็ต้องบอกได้เลยว่าอร่อย! เนื้อหมูสุดนุ่มเคลือบด้วยเกล็ดขนมปังกรอบอร่อย เข้ากันได้ดีกับซอสทั้งสองสไตล์ ทานคู่กับข้าวสวยร้อนๆ คือมันดีมากจริงๆ ค่ะ!
เพิ่มเติมอีกนิดว่านอกจากเมนูทงคัตสึแล้วก็ยังมีเมนูอื่นๆ หรือเมนูเหล้า รวมถึงกับแกล้มให้สั่งมากินคู่กัน และก็ยังมีเมนูสำหรับห่อกลับบ้านด้วย ใครติดใจอยากกินอีกก็ซื้อห่อกลับไปได้นะ!
อิ่มอร่อยกันแล้วก็จะขอพาไปยังที่เที่ยวสุดท้ายของทริปนี้ โดยเดินไปขึ้นรถรางที่สถานี Hanabatacho (ฝั่ง A) พร้อมแล้วก็ลุยกันเลยค่ะ!
[13:00 น.] ชมสวนเก่าแก่ Suizenji Jojuen Garden
นั่งรถรางจากสถานี Hanabatacho ประมาณ 20 นาที มาลงที่สถานี Suizenji Park เดินอีกไม่ไกลก็จะพบกับทางเข้าสวน "ซุยเซนจิ โจจุเอน" (水前寺成趣園) ที่มีทั้งร้านขายของฝากของกินหลากหลาย มีล็อกเกอร์ให้ฝากกระเป๋า แถมยังมี Wi-Fi ฟรีให้ใช้บริการด้วย! เราก็ไม่รอช้า เข้าไปชมสวนโจจุเอนกันเลยดีกว่า
สวนสไตล์ญี่ปุ่นแสนงดงามแห่งนี้เป็นสวนเก่าแก่ประจำจังหวัดคุมาโมโตะมากว่า 300 ปี สร้างในสมัยผู้ครองแคว้นคุมาโมโตะรุ่นที่สามของตระกูล Higohosokawa และมีจุดเด่นเป็นภูเขาไฟฟูจิไซส์มินิที่ตั้งอยู่ใจกลางสวนนั่นเอง
ภายในสวนมีสระน้ำใสขนาดใหญ่ใสแจ๋ว ซึ่งเป็นน้ำใต้ดินตามธรรมชาติที่ไหลมาจากอะโซะ เมื่อมองลงไปก็จะเห็นฝูงปลาคาร์ปตัวเล็กใหญ่แหวกว่ายอยู่ในสระ สามารถให้อาหารปลาได้ด้วยนะคะ
นอกจากต้นไม้สีเขียวชอุ่มแล้ว ที่นี่ยังมีสวนดอกไม้หลากชนิดให้มาเชยชมความงดงามได้ในแต่ละฤดู เช่น ดอกซากุระ (ฤดูใบไม้ผลิ) ดอกอาจิไซ (ฤดูฝน) ดอกบ๊วย (ฤดูหนาว) และอื่นๆ อีกมากมาย เรียกได้ว่ามาเพลินกับธรรมชาติแสนสวยได้ตลอดทั้งปี ทั้งยังมีการจัดงานเทศกาลประจำฤดูกาลต่างๆ ภายในสวนอีกด้วย!
ชื่นชมพืชพรรณกันแล้ว ก็ไปเพิ่มแต้มบุญกันได้ที่ "ศาลเจ้าอิสึมิ" (出水神社) ที่ตั้งอยู่ภายในสวน สามารถขอพร เสี่ยงเซียมซี และซื้อเครื่องรางกลับไปเสริมดวงกันได้
เดินข้ามทางเดินหน้าศาลเจ้าอิสึมิไปแล้วก็จะพบกับ "ศาลเจ้าอินาริ" (稲荷神社) ซึ่งเป็นศาลเจ้าย่อยจากศาลเจ้าฟูชิมิอินาริของเกียวโตเช่นกัน โดยจะเห็นเสาโทริอิสีแดงเด่นมาแต่ไกล เป็นอีกจุดที่แนะนำสำหรับใครที่อยากเก็บภาพสวยๆ กลับไปค่ะ
สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยทัศนียภาพแสนงดงามขนาดนี้ เดินเล่นถ่ายรูปเพลินจนลืมเวลาเลยทีเดียว ว่าแล้วก็แวะซื้อขนมกับของฝากที่ร้านค้าหน้าสวนกันสักนิด แล้วเตรียมตัวเดินทางกลับ นับว่าเป็นที่เที่ยวปิดทริปที่น่าประทับใจไม่น้อยเลยค่ะ
ในที่สุดก็ถึงเวลาต้องเดินทางกลับแล้ว สำหรับใครที่มีแพลนเที่ยวในญี่ปุ่นต่อ ก็สามารถนั่งรถลีมูซีนบัสส่งตรงถึงสนามบิน Aso-Kumamoto Airport ซึ่งมีจุดขึ้นบัสตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ (รวมถึงสวนซุยเซนจิแห่งนี้ด้วยเช่นกัน) หากเดินทางจากสวนนี้จะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง
หรือจะนั่งชินคันเซ็นกลับไปยังฟุกุโอกะ (ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง) เพื่อขึ้นเครื่องบินกลับไทยก็สะดวกเช่นกันค่ะ อย่าลืมเผื่อเวลาซื้อของฝากที่สนามบินกันด้วยนะ!
มารู้จัก แล้วคุณจะรัก「คิวชู」
จบกันไปแล้วนะคะกับแพลนเที่ยวคิวชู 3 วัน 3 จังหวัด ฟุกุโอกะ โออิตะ และคุมาโมโตะ มีทั้งธรรมชาติสวยงามตระการตา อาหารอร่อย แหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ และจุดถ่ายรูปเด็ดๆ อีกมากมาย รอให้คุณไปเยือน มาลองสัมผัสประสบการณ์ที่ "คิวชู" ดูสักครั้ง แล้วคุณจะหลงรักภูมิภาคนี้อย่างแน่นอน
ใครที่ไปเที่ยวตามบทความนี้แล้ว ก็กลับมาบอกเล่าเรื่องราวประทับใจและแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ กันนะคะ และถ้าหากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่