เอาใจวัยรุ่นสายเที่ยว! แนะนำแพลนเที่ยวจังหวัดนีงาตะ 3 วัน 2 คืน ฉบับเต็มอิ่มกับฤดูหนาวและสัมผัสหิมะแบบจุใจ
นีงาตะ (Niigata) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุ (Chubu) ของญี่ปุ่นและได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีหิมะตกมากที่สุดในญี่ปุ่น ที่นี่ไม่เพียงแต่มีกิจกรรมฤดูหนาวสนุกๆ เท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่ที่สามารถสัมผัสทั้งธรรมชาติและผลงานศิลปะอันงดงามอีกด้วย ข้อดีคือสามารถนั่งรถไฟชินคันเซ็นจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) ไปยังสถานีเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa Station) ซึ่งเป็นโซนที่เต็มไปด้วยลานสกีได้โดยใช้เวลาเพียงประมาณ 70 นาทีเท่านั้น ทำให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางรูปแบบแพลนไปเช้า-เย็นกลับจากโตเกียว หรือแพลน 3 วัน 2 คืนก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวได้รับความนิยมสุดๆ! วันนี้เราก็จะมาแนะนำแพลนท่องเที่ยวจังหวัดนีงาตะฉบับ 3 วัน 2 คืนตั้งแต่สถานที่ท่องเที่ยวที่ดังในโลกโซเชียล ไปจนถึงกิจกรรมสุดมันส์ โดยเฉพาะหนุ่มๆ สาวๆ วัยรุ่นทั้งหลายห้ามพลาดเลยนะ!
*บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดนีงาตะ
รู้ไหมว่าความจริงแล้วจังหวัดนีงาตะไม่ไกลจากโตเกียวเลยนะ!
หลายคนที่ไม่เคยไปจังหวัดนีงาตะมาก่อนอาจจะคิดว่านีงาตะนั้นอยู่ไกลและเดินทางได้ยากจากโตเกียว เพราะหากมองจากแผนที่แล้ว นีงาตะเป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่เป็นแนวยาวตามชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นอยู่ขึ้นไปด้านบนโดยห่างจากโตเกียวประมาณ 300 กว่ากิโลเมตร
แต่ความจริงแล้วจากสถานีโตเกียวสามารถเดินทางด้วยรถไฟชินคันเซ็นไปสู่สถานีเอจิโกะยูซาว่าซึ่งเป็นสถานีที่ตั้งของลานสกีจำนวนมากล่ะก็ใช้เวลาประมาณ 70 นาทีเท่านั้นเองค่ะ แถมไม่ต้องเปลี่ยนสายรถไฟระหว่างทางให้ยุ่งยาก พร้อมกับมีประกาศเป็นภาษาอังกฤษภายในรถไฟ ทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นเองก็สามารถเดินทางได้อย่างไร้กังวล
เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวที่นี่จะได้รับสมญานามว่าเป็น "เมืองแห่งหิมะ" เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีปริมาณหิมะตกโดยเฉลี่ยนั้นอยู่ในระดับสูง และคุณภาพของหิมะถือว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยมเลยทีเดียว นีงาตะจึงเต็มไปด้วยสกีรีสอร์ทมากมาย และเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับเหล่านักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่ต้องการเที่ยวชมหิมะ โดยเฉพาะชาวไทยนั่นเอง
ที่สำคัญนักท่องเที่ยวต่างชาติยังสามารถใช้งานเจอาร์พาส (JR Pass) ตั๋วรถไฟสุดคุ้ม ราคาประหยัด ครอบคลุมการเดินทางหลายโซนและหลายรูปแบบที่สามารถใช้งานได้เฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น เดินทางไปยังนีงาตะได้อีกด้วยนะ (ราคา JR TOKYO Wide Pass ใช้งานได้ 3 วัน ผู้ใหญ่ 15,000 เยน/เด็ก 6-11 ปี 7,500 เยน)
เห็นไหมคะว่าจริงๆ แล้วการจะไปเที่ยวจังหวัดนีงาตะนั้นไม่ยากเลย อันดับต่อไปเราจะแนะนำแพลนท่องเที่ยว 3 วัน 2 คืนที่ไม่ว่าใครก็สามารถตามรอยได้จริง จะมีสถานที่ไหนหรือกิจกรรมใดน่าสนใจบ้าง ไปอ่านต่อกันเลยดีกว่า!
DAY 1:รวมกิจกรรมพร้อมวิวสุดปัง และอาหารสุดอร่อยถูกใจทั้งหนุ่มๆ และสาวๆ
ปริมาณจุใจกับข้าวปั้นไซส์ยักษ์! รู้จักข้าวปั้นทรงกลมสุดน่ารัก “บาคุดันโอนิกิริ (Bakudan Onigiri)”
อันดับแรกเดินทางมาถึงจังหวัดนีงาตะแต่เช้าหลายคนอาจจะรู้สึกหิวหรือเหนื่อยจากการเดินทางกันแน่ๆ วันนี้เราเลยจะขอเริ่มต้นทริปด้วยการพาทุกคนไปหาอะไรรองท้องก่อนดีกว่าค่ะ ที่สถานีเอจิโกะยูซาว่านั้นเป็นสถานีค่อนข้างกว้างมาก และจุดเด่นที่เราอยากนำเสนอก็คือ “พอนชูคัง สาขาเอจิโกะยูซาว่า (Ponshukan Echigo-Yuzawa)” ซึ่งเป็นศูนย์รวมขายสินค้าท้องถิ่นทั้งร้านอาหาร โซนขายของที่ระลึกและอีกมากมายที่สามารถเดินเล่นได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่
หนึ่งไฮไลท์ที่จะมาแนะนำในครั้งนี้คือ “ร้านบาคุดันโอนิกิริคะ (Bakudan Onigirika)” เป็นร้านจำหน่ายข้าวปั้น โดยข้าวปั้นของที่นี่ใช้ข้าวโคชิฮิคาริ (Koshihikari) แท้ 100% ซึ่งเป็นข้าวที่ผลิตในจังหวัดนีงาตะได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในข้าวที่อร่อยที่สุดในญี่ปุ่น มีทั้งหมด 16 รสชาติให้ได้ลองชิมด้วยกัน อาทิ ไข่ปลาเมนไทโกะ ปลาแซลมอน สาหร่ายทะเล เป็นต้น
ครั้งนี้เราก็ได้เลือกข้าวปั้น “ไดบาคุโอนิกิริ” ซึ่งเป็นไซส์ใหญ่พิเศษใช้ข้าวถึง 8 ชามด้วยกัน เป็นปริมาณที่สามารถแบ่งรับประทานได้ 6-8 คนเลยทีเดียว โดยเราสามารถเลือกไส้มาผสมกันได้ 5 ไส้ค่ะ อีกทั้งทางร้านยังปั้นสดด้วยมือทีละออเดอร์ทำให้สามารถมั่นใจในความสดใหม่ ความอร่อยและปริมาณจุใจที่ทำให้อิ่มท้องได้
ประทับใจไปกับวิวสุดอลังการ! ชมวิวพาโนรามาสีขาวบนกระเช้าลอยฟ้าที่ “ยูซาวะโคเก็น สกีรีสอร์ท (Yuzawa Kogen Ski Resort)”
หลังจากเติมพลังกันไปแล้วเราจะพาทุกคนไปยัง “โซนโคเก็น (Kogen Area)” ที่ตั้งอยู่บนที่ราบสูงยูซาวะ โดยเราต้องเดินทางด้วยการนั่งกระเช้าจาก “ยูซาวะโคเก็น สกีรีสอร์ท (Yuzawa Kogen Ski Resort)” เสียก่อน โดยข้อดีของลานสกีนี้คือใครที่ไม่เล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดก็สามารถนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปชมวิวด้านบนได้
กระเช้าลอยฟ้าของที่ยูซาวะโคเก็นนั้นจะพาทุกคนขึ้นไปสู่ที่ระดับความสูงประมาณ 870 เมตร มีจุดเด่นคือได้ชื่อว่าเป็นกระเช้าลอยฟ้าที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของโลกที่สามารถบรรจุคนได้ถึง 166 คน โดยใช้เวลาจากชั้นล่างขึ้นไปสู่ยอดเขาเพียง 7 นาทีเท่านั้น
ความงดงามที่จะทำให้ทุกคนตื่นตาตื่นใจคือช่วงเวลาของกระเช้าลอยฟ้าที่จะค่อยๆ พาเราไต่ระดับขึ้นไปด้านบน ทำให้ได้ชมวิวพาโนรามาสุดอลังการท่ามกลางปุยหิมะสีขาวสุดอลังการราวกับหลุดไปอยู่ในโลกเทพนิยายเลยล่ะ
ที่ลานสกีแห่งนี้ยังมีร้านอาหารแสนอร่อย รวมไปถึงโซนเด็กชื่อ “ยูซาวะออนเซ็น ยูคิอะโซบิพาร์ค (Yuzawa Onsen Yukiasobi Park)” ที่มีกิจกรรมต่างๆ แม้แต่ผู้ใหญ่เองก็สนุกไปด้วยได้ด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นลานสกีที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะเรือยางบริเวณโซนเด็กนั้นผู้ใหญ่ก็นิยมเล่นเช่นเดียวกัน ดูภายนอกเหมือนน่ากลัว แต่ความจริงแล้วหิมะนิ่มๆ ล้มไปก็ไม่เจ็บเท่าไหร่ และสปีดก็ไม่เร็วขนาดนั้น นอกจากนี้ ยังสามารถเดินจากสถานี JR Echigo-Yuzawa ไปยังยูซาวะโคเก็น สกีรีสอร์ทได้ง่ายโดยใช้เวลาเพียง 8 นาทีเท่านั้น ใครที่ไม่ได้ขับรถก็สามารถมาเที่ยวได้แบบสบายๆ
เพลิดเพลินกับทิวทัศน์หิมะและอิ่มอร่อยไปกับขนมที่ “คุโมะ คาเฟ่~คุโมะโนะ-อุเอโนะ-คาเฟ่~ (kumo cafe~kumono-ueno-cafe~)”
ความน่าสนใจของยูซาวะโคเก็น สกีรีสอร์ทยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะเราจะขอแนะนำให้แวะไปร้านคาเฟ่สุดน่ารักติดกับสถานียอดเขากระเช้าลอยฟ้ายูซาวะโคเก็น (Yuzawa Kogen Ropeway Summit Station) อย่าง “คุโมะ คาเฟ่ (kumo cafe~kumono-ueno-cafe~)” ที่คุณสามารถนั่งพักหรือชมวิวท่ามกลางหิมะของเมืองยูซาว่าในช่วงฤดูหนาวได้
เมนูของที่นี่จะแตกต่างกันไปตามฤดูกาล โดยมีการรังสรรค์มาอย่างสวยงามเหมาะกับการถ่ายรูปลงโซเชียลไปอวดเพื่อนๆ กันแบบสุดๆ ในครั้งนี้เราก็ได้ลองสั่งเมนู “คุโมะโนะอุเอะโนะโซดา (Kumono-ueno-soda)” ซึ่งเป็นเครื่องดื่มโซดาที่มีท็อปปิ้งเป็นขนมสายไหมสีขาวแสนน่ารัก แถมยังมีลูกเล่นน่ารักๆ คือหากนำโซดาหยดลงบนสายไหมด้านบน สายไหมจะค่อยๆ ละลายไปราวกับปุยเมฆอีกด้วย
และอีกเมนูที่ไม่ควรพลาดคือ “คุโมะคาเฟ่ พานาคอตต้า (kumo cafe Pannacotta)” ซึ่งเป็นพานาคอตต้าที่ได้แรงบันดาลใจมาจากปุยเมฆและท้องฟ้าสีคราม จึงแบ่งเนื้อพานาคอตต้าที่ทำจากโยเกิร์ตเป็นชั้นสีขาวและสีน้ำเงินอมม่วงสุดน่ารัก ที่สำคัญรสสัมผัสยังยังเนียนนุ่มและหอมหวานกำลังดี เป็นเมนูที่ไม่ใช่แค่มีดีแค่หน้าตาน่ารักแต่รสชาติยังยอดเยี่ยมอีกด้วย
เรียนรู้วิธีทำเส้นเฮกิโซบะ (Hegi Soba) แสนสนุกที่ “ไดเกนตะ ไทเคนโคโบ (Daigenta Taikenkobo)”
เฮกิโซบะ (Hegi Soba) ว่ากันว่าเป็นโซบะท้องถิ่นที่มีต้นกำเนิดในภูมิภาคเมืองอุโอนุมะ (Uonuma) ของจังหวัดนีงาตะ และยังเป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อจังหวัดนีงาตะอีกด้วย มีจุดเด่นคือทำจากการผสมสาหร่ายที่เรียกว่า "ฟุโนริ" ลงไปในแป้งโซบะและนวดให้เป็นรูปร่าง เสิร์ฟในภาชนะคล้ายกล่องไม้ที่เรียกว่า "เฮกิ" โดยเรียงอย่างสวยงามเป็นก้อนขนาดพอดีคำให้รสชาติสัมผัสที่มีความเหนียวเคี้ยวหนึบ
วันนี้เราจะพาทุกคนไปรู้จักกับ “ไดเกนตะ ไทเคนโคโบ (Daigenta Taikenkobo)” เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยวสามารถสนุกกับกิจกรรมเวิร์คช็อปต่างๆ ไปพร้อมกับการเรียนรู้วัฒนธรรมอาหารของเมืองอุโอนุมะ ในสมัยก่อนเมืองอุโอนุมะนั้นมีชื่อเสียงเรื่องมาอย่างยาวนานในฐานะพื้นที่แห่งการผลิตสิ่งทอ ว่ากันว่าในอดีตภูมิภาคอุโอนุมะไม่สามารถปลูกข้าวสาลีได้ จึงมีการสาหร่ายฟุโนริซึ่งใช้ในการผลิตสิ่งทอในสมัยนั้นแทนข้าวสาลี มาสกัดใช้เป็นกาวผสมในโซบะเพื่อเสริมความเหนียวนุ่มของเส้น จึงเป็นที่มาสู่เมนูเฮกิโซบะในปัจจุบันนั่นเอง
ด้วยคำแนะนำของผู้สอนทำให้ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าร่วมสัมผัสวัฒนธรรมอาหารของเมืองอุโอนุมะได้อย่างไร้กังวล และในครั้งนี้เราได้เลือกเวิร์คช็อปการทำเส้นโซบะ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของที่นี่ ความสนุกของกิจกรรมนี้คือเราจะได้ทั้งลองนวดแป้ง ทำแป้งและหั่นเส้นโซบะที่ต้องใช้ความละเอียดเพื่อให้ได้เส้นอันแสนอร่อย โดยมีผู้สอนที่มากประสบการณ์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
และปิดท้ายกิจกรรมนี้ด้วยการรับประทานเส้นโซบะที่เราเป็นคนทำเอง นอกจากจะได้ทั้งความสนุกแล้วยังได้อิ่มท้องกันอีกด้วย หากคุณได้มาเยือนที่จังหวัดนีงาตะเราขอแนะนำให้ลองรับประทานเมนูเฮกิโซบะนี้เลยค่ะ
แช่ออนเซ็นในเรียวกังอันเก่าแก่กลางหุบเขาที่ “มิคุนิโทเกะ ออนเซ็น อนยาโดะ ฮนจิน (Mikunitoge Onsen Onyado Honjin)”
มิคุนิโทเกะ ออนเซ็น อนยาโดะ ฮนจิน (Mikunitoge Onsen Onyado Honjin) เป็นที่พักสไตล์ญี่ปุ่นหรือที่เรียกกันว่า "เรียวกัง" อันเก่าแก่ตั้งอยู่บนหุบเขาของเอจิโกะยูซาวะออนเซ็น ซึ่งบรรยากาศภายในตึกตกแต่งในสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม จุดเด่นของที่นี่คือใช้น้ำพุร้อนธรรมชาติ และสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ตามแต่ละฤดูกาลในบ่อออนเซ็นกลางแจ้งที่เปิดโล่งได้
นอกจากมีให้บริการทั้งบ่อออนเซ็นกลางแจ้งและในร่มแล้ว ที่นี่ยังมีห้องพักหรูที่มีออนเซ็นส่วนตัว พร้อมด้วยเก้าอี้นวดภายในห้องท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบอีกด้วย จึงเหมาะกับใครที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสุดๆ
สำหรับอาหารของที่นี่เองก็โดดเด่นไม่แพ้กันจากการใช้วัตถุดิบอันสดใหม่จากท้องถิ่นของเมืองอุโอนุมะ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสวยโคชิฮิคาริ พืชป่า ผักผลไม้ เนื้อและวัตถุดิบอีกมากมายที่ผ่านการคัดสรรมาแล้วอย่างพิถีพิถัน เสิร์ฟมาในรูปแบบบุฟเฟ่ต์ทั้งอาหารเช้าและอาหารเย็น โดดเด่นทั้งในเรื่องของรสชาติและดีต่อสุขภาพ
DAY 2:สนุกสุดเหวี่ยงไปกับกิจกรรมหิมะที่มีเฉพาะในฤดูหนาวและธรรมชาติอันน่าประทับใจ!
ชมแลนด์มาร์คแห่งเมืองโทคามาจิ หนึ่งในสามหุบเขาที่สำคัญของญี่ปุ่น “หุบเขาคิโยสึ (Kiyotsu Gorge)” และ Tunnel of Light
สำหรับวันที่ 2 นี้เราจะข้ามไปยังเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองอุโอนุมะ นั่นก็คือ “เมืองโทคามาจิ (Tokamachi)” ซึ่งที่นี่มีแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติมากมาย และสถานที่ที่ไม่ควรพลาดหากใครได้มาเยือนเมืองนี้ก็คือ “หุบเขาคิโยสึ (Kiyotsu Gorge)” ซึ่งเป็นหนึ่งในสามหุบเขาที่สำคัญและสวยงามที่สุดของญี่ปุ่น
หุบเขาคิโยสึมีลักษณะเป็นหุบเขาชันลึก มีกำแพงหินขนาดใหญ่และลำธารที่ใสสะอาดทอดยาวออกไปสามารถชมได้ระหว่างทางเดินไปถึงจุดท่องเที่ยว นอกจากนี้ หุบเขาดังกล่าวยังได้รับการกำหนดให้เป็นเป็นจุดชมวิวระดับชาติและอนุสรณ์สถานทางธรรมชาติ โดยผู้เข้าชมสามารถชมทัศนียภาพอันงดงามที่แตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาลได้
จุดท่องเที่ยวที่ว่าก็คือ “อุโมงค์หุบเขาคิโยสึ (Kiyotsu Gorge Tunnel)” ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กจุดชมวิวหุบเขาคิโยสึของเมืองที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก อุโมงค์แห่งนี้ได้รับการออกแบบสำหรับเทศกาลศิลปะเอจิโกะสึมาริ (Echigo-Tsumari Art Field) หนึ่งในเทศกาลศิลปะนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งจัดขึ้นที่เมืองโทคามาจิ (Tokamachi) และเมืองสึนัน (Tsunan) ในจังหวัดนีงาตะ โดยมีการรีโนเวทใหม่เป็นชิ้นงานศิลปะภายใต้ชื่อ “อุโมค์แห่งแสง (Tunnel of Light)” ในปี 2018 ซึ่งเป็นผลงานของสถาปนิกชาวจีนชื่อว่า Ma Yansong สังกัด MAD Architects ซึ่งเป็นบริษัทออกแบบที่มีชื่อเสียงระดับโลก
จุดเด่นคืออุโมงค์มีความยาวถึง 750 เมตร โดยภายในแบ่งทั้งหมดเป็น 4 แพลตฟอร์มที่คุณจะได้สัมผัสกับบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไปผ่านคอนเซ็ปต์ธาตุทั้ง 5 ได้แก่ ไม้ ดิน โลหะ ไฟและน้ำ มารังสรรค์ให้เกิดเป็นงานศิลปะในอุโมงค์ดังกล่าว ซึ่งแต่ละโซนก็จะใช้สีสันจากหลอดไฟที่แตกต่างกัน ให้ความรู้สึกลึกลับชวนน่าค้นหา และระหว่างทางก็จะมีผลงานศิลปะให้ได้แวะชมกันอีกด้วย
ไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาดคือจุดสิ้นสุดปลายอุโมงค์ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปคอนเซ็ปต์น้ำนั่นเอง โดยด้านบนของอุโมงค์ทำจากสเตนเลสสะท้อนให้เห็นผืนน้ำบริเวณด้านล่าง ยิ่งช่วงฤดูหนาวมีฉากหลังเป็นหิมะปกคลุมยิ่งสวยงามขึ้นไปอีก ใครที่อยากได้รูปสวยๆ อาจจะต้องลงทุนลุยน้ำกันสักหน่อย แต่รับรองว่าจะได้รูปภาพเก๋ไม่เหมือนใครถูกใจแน่นอน
นอกจากนี้ บริเวณด้านหน้าทางเข้าอุโมงค์ยังมีคาเฟ่เล็กๆ และจุดขายของที่ระลึกให้ได้แวะพักผ่อน หรือใครที่อยากเดินเล่นฆ่าเวลา บริเวณใกล้ๆ ยังมีร้านค้าและร้านอาหารด้วยเช่นกัน
เต็มอิ่มกับหิมะสุดนุ่ม! ลานสกีที่แม้แต่มือใหม่ก็สนุกไปกับการเล่นหิมะและกิจกรรมฤดูหนาวได้ “ลานสกีมัตสึโนยามะออนเซ็น (Matsunoyama Onsen Ski Area)”
ลานสกีมัตสึโนยามะออนเซ็น (Matsunoyama Onsen Ski Area) เป็นลานสกีที่เหมาะสำหรับครอบครัว ตั้งอยู่ใกล้กับมัตสึโนะยามะ อนเซ็น (Matsunoyama Onsen) ชื่อดังบริเวณภูเขามัตสึโนะยามะ ซึ่งบริเวณนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในบริเวณที่หิมะตกหนาที่สุดในจังหวัดนีงาตะ ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นลานสกี Unseen ที่แท้จริง เนื่องจากต้องเดินทางด้วยแท็กซี่หรือการเช่ารถยนต์เท่านั้น
จุดเด่นของลานสกีแห่งนี้ไม่เพียงแต่เป็นสถานที่สามารถเล่นสกีหรือสโนว์บอร์ดเพียงเท่านั้น แต่ยังมีโซนเด็กและของเล่นอีกมากมายพร้อมกับอุปกรณ์เซฟตี้ที่สามารถเช่าได้ อาทิ เรือยาง สโนว์ไบค์ สโนว์สเก็ต เป็นต้น และครั้งนี้เราก็ได้ลองเล่นเรือยางแบบที่ต้องสไลด์และควบคุมสปีดด้วยตัวเอง สนุกมากๆ เลยค่ะ ผู้ใหญ่ก็เล่นได้นะ
สำหรับเส้นทางเล่นสกีและสโนว์บอร์ดแต่ละสโลปของที่นี่มีตั้งแต่ระดับผู้เริ่มต้นไปจนถึงระดับผู้เชี่ยวชาญ รวมไปถึงคุณภาพหิมะอันยอดเยี่ยมที่เหมาะกับการฝึกเป็นอย่างยิ่ง หรือใครที่อยากเรียนสกีหรือสโนว์บอร์ดล่ะก็ที่นี่เองก็มีเปิดสอนเช่นเดียวกัน (ใช้ภาษาญี่ปุ่นในการสอน) โดยครั้งนี้เราก็ได้ขึ้นไปถึงยอดเขาด้วยสโนว์บอร์ด ซึ่งมีหลายเส้นทางให้ได้เลือก ระยะทางค่อนข้างยาวและลานค่อนข้างกว้าง ใครที่เล่นเก่งอยู่แล้วน่าจะชอบค่ะ
หากใครที่ต้องการพักระหว่างเล่นกิจกรรมต่างๆ ก็สามารถแวะไปที่ “เรสท์เฮาส์ (Rest House)” ซึ่งเป็นร้านอาหารที่มีเมนูหลากหลายตั้งแต่ราเม็ง ข้าวผัด แกงกะหรี่ ข้าวหน้าหมูย่างผัดขิง ข้าวหน้าเนื้อ และอีกมากมายเสิร์ฟมาในปริมาณที่อิ่มท้องสุดๆ
นอกจากนี้ ใครที่เป็นสายแคมป์อยากสัมผัสประสบการณ์ตั้งแคมป์ท่ามกลางหิมะล่ะก็ที่นี่เป็นจุดหมายที่ไม่ควรมองข้าม เพราะที่นี่มีพื้นที่สำหรับ Snow Camp อีกด้วย จึงเรียกได้ว่าถึงแม้คุณจะไม่เล่นสกีหรือสโนว์บอร์ด ก็ยังมีหลากหลายวีธีที่จะสนุกกับทิวทัศน์หิมะอันงดงามและสัมผัสความมหัศจรรย์ของฤดูหนาวได้จากที่ลานสกีแห่งนี้
เรียวกังสไตล์ปราสาทที่สามารถเข้าพักพร้อมสัตว์เลี้ยงได้ "มารุยามะออนเซ็น โคะโจคัง (Maruyama Onsen Kojyokan)"
หลังจากที่สนุกกันเต็มอิ่มไปกับหิมะกันทั้งวันกันแล้ว อันดับต่อไปเราจะไปยังที่พักในคืนนี้คือเรียวกังอีกเช่นเคยกับที่พักชื่อว่า "มารุยามะออนเซ็น โคะโจคัง (Maruyama Onsen Kojyokan)" ตั้งอยู่ในเมืองมินามิอุโอนุมะ (Minami Uonuma) ซึ่งไม่ไกลจากเมืองโทคามาจิเท่าไหร่นัก
จุดเด่นของที่นี่คือลักษณะภายนอกที่ออกแบบให้เหมือนปราสาทญี่ปุ่นสมัยเก่า แต่ภายในตกแต่งอย่างมีเสน่ห์ในสไตล์ญี่ปุ่นดั้งเดิม เรียกได้ว่าเป็นเรียวกังที่มีทั้งบรรยากาศเก่าแก่และทันสมัยในเวลาเดียวกัน
สำหรับห้องพักเองก็ตกแต่งมาได้อย่างน่ารักทันสมัยผสมผสานความญี่ปุ่นได้อย่างลงตัว มีห้องหลายประเภทให้ได้เลือกสรร และมีบ่อออนเซ็นส่วนตัวให้บริการอีกด้วย (จำเป็นต้องจองล่วงหน้า) ความพิเศษอีกอย่างหนึ่งของที่พักแห่งนี้คือใช้ประตูระบบล็อคดิจิตัลผ่านพาสเวิร์ดที่ไม่ค่อยเห็นตามที่พักสไตล์เรียวกังแบบนี้เท่าไหร่นัก
ในส่วนของโซนห้องอาหารที่ทางที่พักได้จัดเตรียมไว้เองก็โดดเด่นไม่แพ้กัน ทุกห้องแบ่งเป็นโซนกั้นทำให้มีความเป็นส่วนตัว และที่นี่เองก็มีการใช้ข้าวโคชิฮิคาริเม็ดหนานุ่มสมกับเป็นของขึ้นชื่อของจังหวัดนีงาตะ พร้อมด้วยวัตถุดิบสดใหม่หลากหลายชนิดในท้องถิ่นเสิร์ฟเป็นเมนูคอร์สให้ได้ลิ้มลองอาหารสไตล์ญี่ปุ่นกันอย่างจุใจ และหากใครที่ชื่นชอบเหล้าญี่ปุ่นล่ะก็หากได้ไปเยือนนีงาตะก็ไม่ควรพลาด เพราะของขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งของจังหวัดนี้คือสาเกนั่นเอง
ข้อดีคือที่พักแห่งนี้มีบริการรถบัสรับ-ส่งไปยังลานสกีต่างๆ สำหรับผู้เข้าพักโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นอิชิอุจิมารุยามะสกีรีสอร์ท (Ishiuchi Maruyama Ski Resort) ซึ่งใช้เวลาเพียง 1 นาที ไมโกะสโนว์รีสอร์ท (Maiko Snow Resort) ซึ่งใช้เวลาเพียง 5 นาที และกาล่ายูซาว่าสกีรีอร์ท (GALA Yuzawa Ski Resort) ซึ่งใช้เวลาเพียง 10 นาทีเท่านั้น
และอีกหนึ่งความพิเศษของที่พักแห่งนี้ที่ไม่เอ่ยถึงไม่ได้เลยก็คือทางเรียวกังยังอนุญาติให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าพักด้วยได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่หาได้ค่อนข้างยากในเรียวกังสไตล์ญี่ปุ่นเช่นนี้ โดยสุนัขสามารถเข้าพักได้สูงสุด 3 ตัวต่อห้องเลยทีเดียว และพิเศษสุดๆ คือยังมีบ่อออนเซ็นที่แขกผู้เข้าพักสามารถเข้าใช้บริการพร้อมกับสัตว์เลี้ยงได้อีกด้วย ใครที่เป็นคนรักสัตว์ล่ะก็จะต้องถูกใจกับที่นี่อย่างแน่นอน
DAY 3:พาเที่ยวชม “ถนนโบคุชิโดริ” กับบรรยากาศสุดเรโทรที่เหมาะกับการถ่ายรูปอัพลงโซเชียลมีเดีย
สวมชุดกิโมโน สัมผัสบรรยากาศของประเทศที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ "ถนนโบคุชิโดริ (Bokushi-dori Street)"
สำหรับวันสุดท้ายของทริปนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับสถานที่ Unseen สุดพิเศษในเมืองมินามิอุโอนุมะ ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางย่านที่มีชื่อว่าชิโอะซาวะจุกุ (Shiozawa Juku) อย่าง “ถนนโบคุชิโดริ (Bokushi-dori Street)”
แต่ก่อนอื่นที่เราจะไปสำรวจสิ่งที่น่าสนใจของถนนนี้ เราจะพาทุกคนไปแปลงโฉมด้วยการแต่งชุดกิโมโนกันกับ “เอ็นพีโอ ทรีจี (NPO GGG)” กันก่อนดีกว่า เอ็นพีโอ ทรีจีนั้นเป็นองค์กรพัฒนาชุมชนท้องถิ่นโดยการจัดกิจกรรมทางวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมหรืออีเวนท์ต่างๆ ไปจนถึงการดูแลจัดการพื้นที่ตั้งแคมป์อีกด้วย สำหรับกิจกรรมแต่งชุดกิโมโนนั้นก็มีชุดหลากสีสันที่เราสามารถเลือกได้ ไม่ว่าจะเป็นกิโมโนคุณภาพสูงที่ทำมาจากผ้าไหมที่ผลิตในท้องถิ่นอย่างเมืองมินามิอุโอนุมะเป็นผ้าที่มีคุณภาพดีเยี่ยมจนได้รับการยกย่องให้เป็นงานฝีมือแบบดั้งเดิมของชาติ
สำหรับการแต่งตัวและทำผมใช้เวลาโดยรวมประมาณ 20-30 นาทีต่อคน นอกจากนี้กิจกรรมของที่นี่ไม่ได้มีเพียงแค่แต่งตัวอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับคนอื่นก็สามารถสนุกกับกิจกรรมเวิร์คช็อปตัดแปะผ้าไหมทำโปสการ์ดน่ารักๆ พร้อมฟังเรื่องราวความเป็นมาของกิโมโนระหว่างที่นั่งรอแต่งตัวได้
หลายคนอาจจะกังวลว่าช่วงฤดูหนาวแบบนี้ แต่งชุดกิโมโนจะหนาวไปรึเปล่า ขอบอกว่าทางสต๊าฟมีการเสริมอุปกรณ์ป้องกันความหนาวให้เป็นอย่างดี ทำให้สามารถใส่ชุดสวยๆ ถ่ายรูปคู่กับบรรยากาศสุดแสนจะญี่ปุ่นได้อย่างไร้กังวล
เมื่อแต่งตัวเสร็จแล้วเราก็ไปเดินเล่นกันดีกว่าค่ะ ถนนโบคุชิโดริแห่งนี้เป็นถนนที่จำลองบรรยากาศอันงดงามของชิโอะซาวะจุกุขึ้นมาใหม่ จึงทำให้ที่นี่มีกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นโบราณหลงเหลืออยู่
สำหรับย่านชิโอะซาวะจุกุครั้งหนึ่งในสมัยยุคเอโดะประมาณ ค.ศ. 1603-1868 เคยเป็นเมืองหน้าด่านบนทางหลวงมิคุนิ (Mikuni Kaido) ซึ่งมีความเจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการคมนาคมที่เชื่อมระหว่างเมืองเอโดะ (โตเกียวในปัจจุบัน) และเมืองเอจิโกะ (นีงาตะในปัจจุบัน) อีกทั้ง ย่านนี้ยังเจริญรุ่งเรืองในฐานะศูนย์กลางการผลิตสิ่งทอซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์พิเศษของภูมิภาคจนถึงปัจจุบันอีกด้วย
เนื่องจากที่เมืองแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่มีหิมะตกหนักที่สุดในประเทศ ความพิเศษของถนนโบคุชิโดริคือมีการสร้างกังกิ (Gangi) หรือกันสาดบริเวณทางเดินในร่มที่ทอดยาวไปตามถนนเป็นกำบังจากหิมะ ทำให้แม้แต่ในช่วงฤดูหนาวก็สามารถแวะมาเดินเล่นกันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเจอหิมะตกใส่
Maji-Don คืออะไรกันนะ? อิ่มอร่อยไปกับข้าวรสเลิศที่มีชื่อเสียงของเมืองมินามิโอนุมะที่ “คัปโปะ นิชิคาวะ (Kappo NISHIKAWA)”
ที่ถนนโบคุชิโดรินั้นมีร้านค้าน่าสนใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นร้านจำหน่ายของที่ระลึก ร้านจำหน่ายผลิตภัณฑ์งานฝีมือ คาเฟ่ รวมไปถึงร้านอาหาร โดยครั้งนี้เราจะแวะไปรับประทานอาหารกลางวันกันที่ร้านชื่อ “คัปโปะ นิชิคาวะ (Kappo NISHIKAWA)”
คัปโปะ นิชิกาวะนั้นเป็นร้านอาหารที่ก่อตั้งมายาวนานอายุกว่า 30 ปี โดยอยู่ไม่ไกลจากถนนโบคุชิโดริ ร้านนี้มีเมนูที่น่าสนใจมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ “เมนูไก่ทอดนัมบัง” ที่เข้าร่วมแคมเปญ “มาจิด้ง (Maji-Don)” ซึ่งเป็นแคมเปญที่มีจุดมุ่งหมายคือเพิ่มมูลค่าแบรนด์ข้าวโคชิฮิคาริอันเลื่องชื่อ มาจิด้งนั้นสื่อถึงชามข้าวที่ประกอบด้วยข้าวและเครื่องเคียงชามใหญ่ที่แต่ละร้านอาหารเลือกให้เป็นเมนูแนะนำ ส่งเสริมให้ทั้งคนในพื้นที่และนักท่องเที่ยวได้ลิ้มลองความอร่อยกับรสชาติที่แท้จริงของผลผลิตและวัตถุดิบจากเมืองมินามิอุโอนุมะนั่นเอง
นอกจากนี้ เมนูอื่นๆ ของทางร้านเองก็ผ่านการคัดสรรและปรุงมาอย่างพิถีพิถัน เสิร์ฟคู่กับข้าวชามใหญ่พร้อมเครื่องเคียงมากมายที่อร่อยไม่แพ้กัน เช่น เมนูข้าวหน้าเซ็ตปลาดิบซาชิมิ ข้าวหน้าหมูทอดคัตสึด้งราดซอส เป็นต้น
ปิดท้ายทริปกันด้วยการแวะซื้อของที่ระลึกและเดินเที่ยวในสถานีเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa Station)
สถานที่สุดท้ายคือ “สถานีเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa Station)” ที่เราได้เดินทางมาถึงในวันแรกนั่นเอง หากใครที่มีเวลาเหลือระหว่างรอขึ้นรถไฟล่ะก็ขอแนะนำให้เดินเล่นภายในสถานีเลยค่ะ เพราะอย่างที่เคยได้กล่าวไปในตอนแรกว่าที่สถานีนี้มีร้านค้ามากมาย
อีกจุดที่ไม่อยากให้มองข้ามคือศูนย์ให้บริการข้อมูลการท่องเที่ยวส่วนภูมิภาค (ภายใน Visitor Center) ซึ่งเป็นสถานที่ที่คอยให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ ที่นี่นอกจากจะให้ข้อมูลแล้วยังมีบริการรับฝากสัมภาระ มีบริการให้เช่ารถของ “เจอาร์ เอคิเรนทอลคาร์ (JR EKI-Rental Car)” (ปิดให้บริการในช่วงฤดูหนาว) คาเฟ่ในธีมภูเขาหิมะ "แอนด์แทปคาเฟ่ (and tap cafe)" ร้านจำหน่ายอุปกรณ์กีฬาและสินค้าเบ็ดเตล็ดกับ "รีสอร์ท เอ็กซ์คิสโป (RESORT EX-SPO)" และยังมีให้บริการห้องรอที่อยู่ติดกับศูนย์บริการนักท่องเที่ยวดังกล่าวนี้อีกด้วย
หรือใครที่กำลังมองหาของที่ระลึกสไตล์ญี่ปุ่นน่ารักๆ ล่ะก็ขอแนะนำให้แวะไปที่ “เอจิโกะ โนะ อิบุกิ เอโอริ (Echigo No Ibuki Eori)” เป็นร้านขายของเบ็ดเตล็ดสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ด้านในสุดของโซนร้านอาหารในสถานีเอจิโกะยูซาว่า มีแลนด์มาร์คคือตุ๊กตาแขวนหมุนได้ขนาดยักษ์ตั้งอยู่หน้าร้าน รับรองว่าหากเข้าไปเยือนแล้วจะต้องได้ของติดไม้ติดมือกลับมาอย่างแน่นอน
เช็คข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับจังหวัดนีงาตะกันดีกว่า!
สำหรับใครที่สนใจหรืออยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับข้อมูลของจังหวัดนีงาตะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก อาหารแนะนำ กิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงตัวอย่างแผนการเดินทางและอีกมากมายที่ละเอียดครบถ้วน สามารถติดตามได้จาก
● เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ “Enjoy Niigata”
https://enjoyniigata.com/th (ภาษาไทย)
● แฟนเพจ Facebook “ข้อมูลการท่องเที่ยวนีงาตะ(Enjoy Niigata)”
https://www.facebook.com/enjoyniigata.th (ภาษาไทย)
ส่งท้าย
เป็นอย่างไรบ้างคะกับข้อมูลและตัวอย่างแผนการเดินทางที่เราได้นำเสนอไปในครั้งนี้ หวังว่าบทความนี้จะทำให้หลายๆ คนได้มีไอเดียที่เที่ยวใหม่ๆ มากยิ่งขึ้นนะคะ จังหวัดนีงาตะนั้นยังมีเสน่ห์และสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมายที่ไม่แพ้กับที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นธรรมชาติ อาหารหรือผู้คนที่จะทำให้ทริปของคุณนั้นพิเศษยิ่งขึ้นไปอีกขั้น ใครที่อยากลองสัมผัสกับบรรยากาศวิถีชีวิตและผู้คนที่แตกต่างล่ะก็อย่าลืมใส่จังหวัดนีงาตะลงไปในแผนการเดินทางของคุณนะคะ
บทความที่เกี่ยวข้อง : เดินทางจากโตเกียวแค่ 70 นาทีเท่านั้น! แนะนำแพลนเที่ยวจังหวัดนีงาตะ 3 วัน 2 คืนแบบที่ผู้ใหญ่ก็สนุกได้!
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่