เดินทางจากโตเกียวแค่ 70 นาทีเท่านั้น! แนะนำแพลนเที่ยวจังหวัดนีงาตะ 3 วัน 2 คืนแบบที่ผู้ใหญ่ก็สนุกได้!

นีงาตะ (Niigata) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคชูบุ (Chubu) ของญี่ปุ่น ที่นี่ไม่เพียงแต่ธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์เท่านั้น แต่ยังเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างและอาคารทางประวัติศาสตร์อันมีชื่อเสียง เหล้าญี่ปุ่นหรือสาเกรสเลิศ รวมไปถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมอันน่าสนใจอีกด้วย สำหรับช่วงฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่คนไทยหลายๆ คนเฝ้ารอนั้น ที่จังหวัดนีงาตะก็มีกิจกรรมสนุกๆ ที่ปกติแล้วไม่ค่อยมีโอกาสได้สัมผัสอีกมากมาย และสถานที่ท่องเที่ยวลับที่เหล่านักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักอีกเพียบ! วันนี้เราก็จะมาแนะนำแพลนท่องเที่ยวจังหวัดนีงาตะฉบับ 3 วัน 2 คืนที่มีตั้งแต่ข้อมูลวิธีการเดินทางจากโตเกียวไปยังนีงาตะ ข้อมูลอาหาร สถานที่ต่างๆ ที่จะได้เพลิดเพลินตลอดการเที่ยวชมนีงาตะ และอีกมากมาย สำหรับข้อมูลที่เราคัดสรรมาในบทความนี้ นักท่องเที่ยวต่างชาติเองก็สามารถตามรอยได้จริง ดังนั้นอย่าลืมอ่านจนจบกันนะคะ!

*บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมการท่องเที่ยวจังหวัดนีงาตะ

จังหวัดนีงาตะ (Niigata) เป็นสถานที่แบบไหนกันนะ

คาดว่าหลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อจังหวัดนีงาตะ (Niigata) กันมาบ้างอยู่แล้ว เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่เป็นแนวยาวตามชายฝั่งทะเลญี่ปุ่นอยู่ขึ้นไปด้านบนจากโตเกียว (Tokyo) แบ่งพื้นที่ได้เป็น 4 โซนใหญ่ๆ เรียกว่า โจเอ็ตสึ (Joetsu) ชูเอ็ตสึ (Chuetsu) คาเอ็ตสึ (Kaetsu) และซาโดะ (Sado)

สภาพอากาศของที่นี่มีลักษณะแบบอุ่นชื้น และหากเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวจะเป็นจังหวัดที่มีหิมะตกค่อนข้างมากและลมแรง นีงาตะจึงเป็นอีกหนึ่งจังหวัดซึ่งจุดหมายปลายทางสำหรับเหล่านักท่องเที่ยวทั้งชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติที่ต้องการสัมผัสกิจกรรมหิมะไม่ว่าจะเป็นการเที่ยวชมหิมะ หรือเล่นสกี นอกจากนี้ นีงาตะยังมีชื่อเสียงเรื่องข้าวและสาเกที่ผลิตจากข้าวพันธุ์ดีและน้ำใสสะอาด และได้ชื่อว่ามีอาหารทะเลที่สดใหม่ให้กินตลอดปีอีกด้วย

สำหรับการเดินทางไปจังหวัดนีงาตะในครั้งนี้เราได้ไปเยือนทั้งหมด 4 เมือง ได้แก่ ยูซาวะ (Yuzawa) สึบาเมะซันโจ (Tsubamesanjo) ยากิโฮะ (Yakiho) และเมืองนีงาตะ (Niigata) ซึ่งเป็นเมืองศูนย์กลางที่ใหญ่ที่สุดของจังหวัดนั่นเอง ใครที่ไปเที่ยวนีงาตะครั้งแรก หรือวางแผนจะไปเที่ยวนีงาตะล่ะก็ขอแนะนำให้ติดตามบทความนี้เลยรับรองว่าจะต้องประทับใจและน่าสนใจทุกสถานที่อย่างแน่นอน

วิธีการเดินทางสู่จังหวัดนีงาตะ:จะเดินทางแบบไหนดีนะ

1. เดินทางด้วยชินคันเซ็น (Shinkansen)

การเดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงของญี่ปุ่นอย่างชินคันเซ็น (Shinkansen) นั้นเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็วและได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมากที่สุด เนื่องจากสามารถนั่งรถไฟจากสถานีโตเกียว (Tokyo Station) ต่อเดียวไม่มีเปลี่ยนสาย หากไปลงที่สถานีเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa Station) ใช้เวลาประมาณ 70 นาทีเท่านั้น! ใครที่ไม่ได้ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหลงทางเลย มือใหม่เองก็สามารถตามรอยได้ง่าย เนื่องจากมีประกาศเป็นภาษาอังกฤษภายในรถไฟด้วย 

ที่สำคัญนักท่องเที่ยวต่างชาติยังสามารถใช้งานเจอาร์พาส (JR Pass) ตั๋วรถไฟสุดคุ้ม ราคาประหยัด ครอบคลุมการเดินทางหลายโซนและหลายรูปแบบที่สามารถใช้งานได้เฉพาะชาวต่างชาติเท่านั้น เดินทางไปยังนีงาตะได้อีกด้วยนะ ได้แก่ JR TOKYO Wide Pass ใช้งานได้ 3 วัน (ผู้ใหญ่ 15,000 เยน/เด็ก 6-11 ปี 7,500 เยน) และ JR EAST PASS (พื้นที่นากาโนะ/นีงาตะ) ใช้งานได้ 5 วัน (ผู้ใหญ่ 27,000 เยน/เด็ก 6-11 ปี 13,500 เยน)

2. เดินทางด้วยรถบัส (Bus)

รถบัสเองก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่เหมาะสำหรับใครที่ต้องการประหยัดงบ เพราะค่าโดยสารเที่ยวเดียวราคาอยู่ที่ประมาณ 2,500-7,000 เยนเท่านั้น (ราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับช่วงเวลาและบริษัทที่ให้บริการ) สามารถนั่งรถจากโตเกียวไปยังนีงาตะได้เลย แต่มีข้อเสียคือใช้เวลาค่อนข้างนานประมาณ 5-7 ชั่วโมงกันเลยทีเดียว

DAY 1:เต็มอิ่มไปกับกิจกรรมที่สนุกได้ตั้งแต่เด็กไปจนถึงผู้ใหญ่

อยากสัมผัสกับฤดูหนาวของแท้และหิมะแบบเต็มที่ต้องที่นี่! “สกีรีสอร์ทอิชิอุจิ มารุยามะ (Ishiuchi Maruyama Ski Resort)”

ไหนๆ ครั้งนี้เราก็เดินทางในช่วงฤดูหนาวแล้วทั้งที เริ่มต้นวันแรกของทริปนี้เราจะพาทุกคนไปชมหิมะกันแบบจุใจ ซึ่งที่ “สกีรีสอร์ทอิชิอุจิ มารุยามะ (Ishiuchi Maruyama Ski Resort)” นั้นเป็นหนึ่งในพื้นที่เล่นสกีชั้นนำของญี่ปุ่นซึ่งเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ.1949 โดยนักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับลานสกีที่กว้างและใหญ่ อีกทั้งยังสามารถชมวิวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะของที่ราบอุโอะนุมะและเหล่าเทือกเอจิโกะได้จากลานสกีอีกด้วย การเดินทางจากสถานีเอจิโกะยูซาว่า (Echigo-Yuzawa Station) นั้นก็ง่ายนิดเดียวเนื่องจากมีรถบัสรับ-ส่งตรงมาได้เลย

วันนี้เราจะขอแนะนำ "เดอะเวอร์แรนดาร์ อิชิอุจิ มารุยามะ (The Veranda Ishiuchi Maruyama)" ซึ่งเป็นจุดท่องเที่ยวใหม่อยู่บริเวณครึ่งทางของสกีรีสอร์ทอิชิอุจิ มารุยามะแห่งนี้ โดยเราจำเป็นต้องขึ้นกอนโดลา Sunrise Express ในสกีรีสอร์ทมาด้านบนเสียก่อน 

เดอะเวอร์แรนดาร์เป็นศูนย์รวมสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีให้บริการทั้งคาเฟ่ที่สามารถชมวิวพาโนรามาของหิมะได้อย่างเต็มอิ่มจากระเบียงขนาดใหญ่ มีเต็นท์โดมโปร่งใสที่สามารถชมวิวได้แบบส่วนตัว แถมยังเหมาะกับการถ่ายรูปสุดๆ 

สำหรับการใช้บริการเต็นท์โดมจำเป็นต้องจองล่วงหน้า โดยสามารถสั่งอาหารจากคาเฟ่ที่เดอะเวอร์แรนดาร์แล้วนำมารับประทานในเต็นท์โดมพร้อมชมวิวหิมะได้แบบใกล้ชิด ภายในเต็นท์โดมมีฮีตเตอร์เปิดไว้ตลอดจึงหมดห่วงเรื่องความหนาว สำหรับเมนูที่ได้รับความนิยมของที่นี่เลยก็คือแกงกะหรี่ และแซนด์วิชพร้อมเฟรนช์ฟรายในเซ็ต นอกจากนี้ยังมีเมนูที่น่าสนใจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นข้าวหน้าเนื้ออบ หรือของหวานแสนอร่อยอย่างแพนเค้ก เป็นต้น

นอกจากนี้ บริเวณใกล้ๆ กับเต็นท์โดมยังมีกิจกรรมอีกมากมายที่สามารถสนุกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นถาดสไลด์หิมะ สกูตเตอร์หิมะ เป็นต้น

หลังจากที่อิ่มท้องและเต็มอิ่มกับวิวหิมะกันแล้ว อันดับต่อไปเราจะแวะไปที่ “ร็อคก้า (ROKKA)” เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่อยู่ข้างๆ เดอะเวอร์แรนดาร์ ที่นี่เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2023 ที่ผ่านมาภายใต้ธีม "สัมผัสวัฒนธรรมอาหารในประเทศที่เต็มไปด้วยหิมะ" โดยมีสาเกท้องถิ่นมากมาย และเมนูที่ทำจากข้าวหมักวางจำหน่าย บรรยากาศร้านอันแสนอบอุ่นนี้สามารถช่วยบรรเทาร่างกายของคุณจากความหนาวเย็นข้างนอกได้ 

สัมผัสเทคนิคงานฝีมือแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่นที่ใครๆ ก็สามารถร่วมสนุกด้วยได้ “พิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรมเมืองสึบาเมะ (Tsubame City Industrial Museum)”

ย่านสึบาเมะซันโจ (Tsubamesanjo) เป็นย่านที่เรียกรวมกันระหว่างเมืองสึบาเมะและเมืองซันโจ ได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งโลหะ ที่เหล่าช่างฝีมือเหล่านี้ยังคงอนุรักษ์และพัฒนางานฝีมือประเภทนี้อยู่อย่างต่อเนื่อง โดยพิพิธภัณฑ์อุตสาหกรรมเมืองสึบาเมะ (Tsubame City Industrial Museum) นั้นเป็นสถานที่ที่ไม่ว่าใครก็สามารถได้สัมผัสงานฝีมือของสึบาเมะและเรียนรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีการแปรรูปโลหะที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นช้อนส้อม แก้วทองแดงที่ผ่านการทำด้วยมืออย่างพิถีพิถัน 

ที่นี่ยังเล่าเรื่องราวประวัติความเป็นมาของอุตสาหกรรมของสึบาเมะ ซึ่งดำเนินมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สมัยเอโดะ (ปี 1603-1868) จนถึงปัจจุบัน และความสนุกอีกอย่างคือสามารถเยี่ยมชมโซนจัดนิทรรศการ และสามารถเข้าร่วมกิจกรรมเวิร์คช็อป (Workshop) ลองทำงานฝีมือได้อีกด้วย

สำหรับเวิร์คช็อปที่เราจะมาแนะนำในครั้งนี้มีทั้งการทำลวดลายแก้วทองแดงบริสุทธิ์โดยการใช้ค้อนตีไปรอบๆ แก้ว และการย้อมสีช้อนด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ สำหรับกิจกรรมทำลวดลายแก้วนั้น พอลองได้ใช้ค้อนทองตีจริงๆ แล้วกว่าจะได้ลวดลายที่สวยงามใช้เวลามากกว่าที่คิด แต่ก็ให้ความรู้สึกเป็นผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดที่ทรงคุณค่ามาก และสำหรับการย้อมสีช้อนเองช่วงที่ช้อนค่อยๆ ไล่เปลี่ยนสีก็น่าตื่นตาตื่นใจเช่นเดียวกัน เป็นกิจกรรมที่สนุกได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เลยล่ะค่ะ แถมมีคู่มืออธิบายเป็นภาษาอังกฤษด้วยทำให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นก็เข้าร่วมได้ 

เวิร์คช็อปเหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมที่หาทดลองได้ยากในญี่ปุ่น และเรายังสามารถนำผลงานที่ทำเองกลับบ้านไปใช้งานได้จริงหรือนำไปเป็นของที่ระลึกได้อีกด้วยนะคะ

ฮิตสุดๆ ที่นีงาตะ! เมนูแซนด์วิชผลไม้ครีมสดสุดน่ารักที่ร้าน "คาเนกิฟรุตท์ (Kanegi Fruits)"

เมื่อพูดถึงจังหวัดนีงาตะ หลายคนอาจนึกถึงสตรอว์เบอร์รีหวานฉ่ำลูกโต แต่ความจริงแล้วผลไม้อย่างอื่นที่นีงาตะเองก็มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน วันนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับร้าน "คาเนกิฟรุตท์ (Kanegi Fruits)" ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายผลไม้ตามฤดูกาลและขนมหวานเก่าแก่มาตั้งแต่ปี 1903 จุดเด่นของร้านนี้คือเป็นร้านที่รวบรวมผลไม้ขึ้นชื่อคุณภาพสูงที่ไม่เพียงแต่เฉพาะในจังหวัดนีงาตะเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผลไม้สดส่งตรงจากทั่วประเทศ

เท่านั้นยังไม่พอ ความโด่งดังนี้ยังทำให้ที่นี่เป็นโลเคชั่นของอนิเมะและไอดอลชื่อดังของญี่ปุ่นอีกด้วย จึงมีแฟนๆ มากมายจากทั่วประเทศแวะเวียนมาอย่างไม่ขาดสาย

และเมนูที่ได้รับความนิยมสุดๆ ก็คือ “แซนด์วิชผลไม้ครีมสด” ที่เป็นการผสมผสานระหว่างผลไม้สดตามฤดูกาลแบบเต็มคำคู่กับครีมสดหอมหวานมันเข้ากันได้เป็นอย่างดี สำหรับช่วงฤดูหนาวไปจนถึงฤดูใบไม้ผลิเป็นหน้าของสตรอว์เบอร์รีลูกโตแสนอร่อย เมนูนี้จึงเหมาะสำหรับรับประทานรองท้องหรือทานเล่นได้เลยค่ะ

ลิ้มรสอาหารที่ปรุงจากวัตถุดิบท้องถิ่นท่ามกลางบรรยากาศสุดหรูที่ภัตตาคาร "สึบาเมะซันโจ บิท (Tsubamesanjo Bit)"

สึบาเมะซันโจ บิท (Tsubamesanjo Bit) เป็นภัตตาคารอิตาเลียนที่เปิดขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ "ส่งต่อความประทับใจของนีงาตะ และสร้างเมืองที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก" ซึ่งเมนูทุกอย่างล้วนใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของจังหวัดนีงาตะ ผ่านการปรุงอย่างพิถีพิถันหน้าตาสวยงาม ปัจจุบันนอกจากที่จังหวัดนีงาตะแล้วก็มีเปิดให้บริการในโตเกียวหลายสาขา อาทิ ย่านกินซ่า (Ginza) ย่านหน้าสถานีโตเกียว (Tokyo) เป็นต้น

จุดเด่นของที่นี่ไม่เพียงแต่รสชาติและหน้าตาอาหารอันหรูหรา แต่ยังรวมไปถึงการตกแต่งภายในร้านที่ดูมีระดับ รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของสึบาเมะซันโจและความเป็นนีงาตะ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีห้อง "5D Room" ที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับการลิ้มรสอาหารควบคู่ไปพร้อมกับการชมภาพ 5 มิติผ่านจอโปรเจคเตอร์ ทำให้คุณได้สัมผัสกับเสน่ห์ของนีงาตะผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าได้อย่างเต็มที่

ห้องโปรเจคเตอร์ 5D Room ดังกล่าวจำเป็นต้องจองล่วงหน้า เนื่องจากสามารถสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษนี้เพียง 10 คนต่อ 1 วันเท่านั้น 

DAY 2:เที่ยวชมศาลเจ้าดังจุดเสริมพลังชีวิต โรงเหล้าสาเกญี่ปุ่นเก่าแก่ และผ่อนคลายกับแช่ออนเซ็น

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันเก่าเก่าแก่ยาวนานกว่า 2,400 ปี "ศาลเจ้ายาฮิโกะ (Yahiko Shrine)" แวะแช่ออนเซ็นเท้า และชิมขนมที่ “โอโมเตะนาชิ ฮิโรบะ (Omotenashi Hiroba)”

ศาลเจ้ายาฮิโกะ (Yahiko Shrine) เป็นศาลเจ้าที่ได้รับการศรัทธามาตั้งแต่สมัยโบราณ มีผู้เยี่ยมชมในฐานะศาลเจ้าแห่งแรกของปีมากกว่า 200,000 คนทุกปี โดยที่นี่มีอีกชื่อที่คนท้องถิ่นนิยมเรียกกันว่า “โอยาฮิโกะซามะ” 

ศาลเจ้าเก่าแก่แห่งนี้ว่ากันว่าสร้างขึ้นมานานกว่า 2,400 ปีแล้ว ถึงขนาดมีการจารึกไว้ใน "มันโยชุโบราณ" หรือคำกลอนโบราณของญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุดที่ยังหลงเหลืออยู่ ศาลเจ้ายาฮิโกะยังมีป่าที่ได้รับการอนุรักษ์และบริเวณโดยรอบล้อมรอบด้วยต้นไม้ จึงเหมาะกับการลองมาสัมผัสบรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ที่มีเฉพาะที่ศาลเจ้ายาฮิโกะอันเป็นสถานที่ที่ชื่นชอบของคนในพื้นที่

หลังจากที่แวะไปสักการะศาลเจ้าชื่อดังกันแล้ว บริเวณใกล้เคียงเองก็มีสถานที่น่าสนใจอย่าง “โอโมเตะนาชิ ฮิโรบะ (Omotenashi Hiroba)” โดยสามารถเดินจากศาลเจ้าได้ใช้เวลาไม่เกิน 10 นาทีเท่านั้น โอโมเตะนาชิ ฮิโรบะเป็นศูนย์รวมร้านค้าท้องถิ่นที่ตั้งอยู่ใกล้กับศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีทั้งร้านอาหาร ร้านขนม สินค้าเกษตรกรรม รวมไปถึงจุดแช่ออนเซ็นเท้าอีกด้วย เหมาะกับช่วงอากาศหนาวสุดๆ เลยค่ะ 

ร้านขนมที่เราอยากแนะนำวันนี้มี 2 ร้านค่ะ ไปดูที่ร้านแรกกันก่อนกับร้านขนมดังโงะ “ยาฮิโกะสวีท (Yahiko Sweet)” สุดน่ารักขวัญใจน้องๆ หนูๆ และสาวๆ ด้วยการตกแต่งขนมดังโงะที่น่ารักไม่เหมือนใคร มีหลากหลายรสชาติให้ได้เลือกด้วยกัน อาทิ รสถั่วแระบดญี่ปุ่น รสชาเขียวเมืองอุจิ รสสตรอว์เบอร์รี รสถั่วดำ รสพีช รสเลมอน เป็นต้น ยิ่งรับประทานคู่กับชาเขียวร้อนๆ ด้วยล่ะก็เข้ากันเป็นอย่างดี

และอีกร้านที่อยู่ไม่ไกลจากโอโมเตะนาชิ ฮิโรบะเท่าไหร่คือร้านขายขนม “บุนซุยโด คาชิโฮะ (Bunsuido Kashiho)” เป็นร้านขนมท้องถิ่น ซึ่งมีเมนูชื่อดังอย่าง “ยาฮิโกะ แพนด้ายากิ” แป้งเหนียวหนึบที่รังสรรค์ออกมาเป็นรูปแพนด้าสุดน่ารัก ด้านในสอดไส้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไส้ถั่วแระญี่ปุ่น ไส้ครีมชีส ไส้ถั่วแดงและอีกมากมาย (ราคาชิ้นละประมาณ 160-170 เยน)

จุดเด่นของยาฮิโกะ แพนด้ายากิคือทุกชิ้นทำสดใหม่ร้อนๆ และยังเป็นเมนูที่เคยได้รับรางวัลเมื่อปี 2010 ที่ผ่านมาอีกด้วย ที่นี่เองก็เป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่นิยมแวะเวียนมาหากได้มาเยือนเมืองยาฮิโกะแห่งนี้

แวะพักรับประทานอาหารอิตาเลียนท่ามกลางบรรยากาศอันแสนอบอุ่นในบ้านสไตล์ญี่ปุ่น “โคคาจิยะ (KOKAJIYA)”

อันดับต่อไป เราขอแวะมาเติมพลังกันต่อที่ร้าน “โคคาจิยะ (KOKAJIYA)” ซึ่งเป็นร้านอาหารอิตาเลียนที่ได้รีโนเวทบ้านเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่นซึ่งได้รับการสืบทอดมารุ่นต่อรุ่น และยังได้รับการกำหนดให้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม ปี 2020 ที่ผ่านมา 

อาคารหลังนี้มีอายุเก่าแก่ถึงประมาณ 150 ปี จึงเรียกได้ว่าเป็นสถานที่นอกจากจะได้ลิ้มลองอาหารอิตาเลียนรสเลิศแล้ว ยังได้สัมผัสบรรยากาศอันแสนอบอุ่นและความงดงามของการตกแต่งร้านสไตล์ญี่ปุ่นแท้ที่หาชมได้ยากด้วย

จุดเด่นของที่นี่คือเมนูคอร์สที่ผ่านการปรุงด้วยความพิถีพิถันโดยใช้วัตถุดิบขั้นสูง รวมไปถึงการใส่ใจให้บริการลูกค้าอย่างใกล้ชิด ทุกเมนูล้วนแต่สอดแทรกเรื่องราวของจังหวัดนีงาตะได้อย่างน่าสนใจ และรสชาติอันยอดเยี่ยมที่สมกับได้รับรางวัลมามากมาย ซึ่งในวันนี้ก็มีโอกาสได้ลองหลายเมนู สำหรับเมนูที่ประทับใจมากที่สุดคือสเต็กเป็ดอันแสนหรูหราที่เนื้อชิ้นใหญ่เต็มคำคู่กับซอสรสชาติเข้มข้นที่ผ่านการเคี่ยวมาแล้วอย่างดี กับเมนูข้าวที่เชฟได้หุงและปรุงรสชาติให้ชมกันแบบต่อหน้า โดยตอนแรกเราจะรับประทานเป็นข้าวหมกแซฟฟรอน (หญ้าฝรั่น) ผัดหอยนางรมก่อน จากนั้นเชฟจะค่อยๆ รินชาลงไปในข้าวให้กลายเป็นเมนูข้าวราดชาเป็นไอเดียที่สร้างสรรค์สุดๆ เลยค่ะ

สนุกกับประสบการณ์ทัวร์และชิมสาเกอันทรงคุณค่าที่ “โรงเหล้าสาเกซาซาอิวาอิ (Sasaiwai Sake Brewery)”

อย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้นบทความว่าจังหวัดนีงาตะนั้นมีชื่อเสียงทั้งในเรื่องของข้าวและสาเก (เหล้าญี่ปุ่น) ทำให้จังหวัดนี้ได้ชื่อว่ามีโรงเหล้าสาเกจำนวนมากที่สุดในญี่ปุ่น โดยมีมากถึง 89 แห่งเลยทีเดียว วันนี้เราก็เลยจะพาทุกคนไปโรงเหล้าสาเกซาซาอิวาอิ (Sasaiwai Sake Brewery) อันเก่าแก่ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1899 ในจังหวัดนีงาตะแห่งนี้

โรงเหล้าสาเกซาอิวาอินั้นได้ผลิตเหล้ามานานกว่า 100 ปีตั้งแต่สมัยเมจิ (ปี 1868-1912) จึงเป็นอาคารที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ และเป็นสัญลักษณ์ทางวัฒนธรรมและเครื่องดื่มที่สำคัญในท้องถิ่น อีกทั้งยังมีกระบวนการผลิตสาเกที่เฉพาะตัวอีกด้วย ความน่าสนใจของที่นี่คือสามารถเดินชมทัวร์การผลิตและกระบวนการหมักสาเกแบบดั้งเดิมได้อย่างใกล้ชิด สิ่งที่น่าประทับใจคือการที่เราได้สัมผัสทั้งวัฒนธรรมและเทคโนโลยีที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ได้ฟังเรื่องราวประวัติความเป็นมาของโรงเหล้าสาเกและเรื่องราวสุดพิเศษของแต่ละขั้นตอน ไปพร้อมกับการเพลิดเพลินกับกลิ่นหอมของการหมักแอลกอฮอล์อีกด้วย

นอกจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ที่นี่ยังมีเครื่องดื่มแบบไม่มีแอลกอฮอล์ อาทิ ลาเต้นมถั่วเหลืองร้อนคู่กับลูกพลับแห้ง รวมถึงเจลาโต้วางจำหน่ายอีกด้วย ทำให้เด็กๆ หรือใครที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ก็สามารถแวะเวียนมาเที่ยวที่นี่ได้เช่นกัน ปิดท้ายยังมีโซนจำหน่ายของที่ระลึกน่ารักๆ ให้ได้แวะซื้อกลับไปอีกด้วยนะ

ผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางกับที่พักออนเซ็นธรรมชาติ “ฟูจิยะ (Fujiya)”

ช่วงอากาศหนาว ๆ แบบนี้คาดว่าหลายคนคงมองหาที่พักที่สามารถแช่น้ำอุ่นๆ หรือผ่อนคลายร่างกายจากการเดินทางมาทั้งวัน ครั้งนี้เราจะเดินทางกันไปที่เมืองอิวามูโระออนเซ็น (Iwamuro Onsen) ซึ่งเป็นเมืองออนเซ็นที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยอดีต โดยที่พักในครั้งนี้คือ “ฟูจิยะ (Fujiya)”

ฟูจิยะเป็นที่พักห้องสไตล์ญี่ปุ่นหรือที่เรียกกันว่า “เรียวกัง (Ryokan)” โดยที่นี่มีห้องพักให้เลือกทั้งแบบห้องเสื่อทาทามิ หรือสำหรับใครที่ไม่ถนัดก็สามารถเลือกนอนห้องเตียงได้ และยังมีห้องพักที่มีออนเซ็นส่วนตัวอีกด้วย โดยจุดเด่นของที่พักแห่งนี้คือเป็นที่พักแห่งเดียวในเมืองอิวามูโระออนเซ็นที่มีการขุดแหล่งต้นกำเนิดน้ำพุร้อนของที่พักเอง 

ว่ากันว่าออนเซ็นในเมืองนี้มีความเป็นด่างอ่อนๆ ซึ่งส่งเสริมการไหลเวียนของเลือดไปยังผิวหนังและให้ความชุ่มชื้นสูง อีกทั้งยังมีคุณสมบัติที่ดีในการรักษาโรคต่างๆ โดยเฉพาะระบบประสาท และช่วยผ่อนคลายความเหนื่อล้า แขกผู้เข้าพักจึงสามารถเพลิดเพลินไปกับการแช่ออนเซ็นธรรมชาติได้ 

นอกจากห้องพักที่ตกแต่งอย่างหรูหราและออนเซ็นอันกว้างขวางแล้ว อาหารเช้าของที่นี่เองก็รสชาติดีมากเช่นกัน เมนูทุกอย่างจึงผ่านการคัดสรรและปรุงอย่างพิถีพิถันโดยใช้วัตถุดิบจากท้องถิ่น เสิร์ฟมาในรูปแบบบุฟเฟต์ โดยเฉพาะข้าวจากจังหวัดนีงาตะซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ผลิตข้าวชั้นนำของญี่ปุ่นนั้นเป็นเมนูที่ไม่ควรพลาด

DAY 3:สถานที่ลับฉบับ Local ที่จะพาทุกคนไปสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ!

ย้อนยุคไปยังญี่ปุ่นในอดีต! เดินเล่นชมอาคารสไตล์เรโทรที่ “ถนนชอปปิงนุตตาริเทอร์เรซ (Nuttari Terrace Street)”

สำหรับวันสุดท้ายนี้เราจะพาทุกคนมารู้จักกับสถานที่ Unseen สุดเจ๋งในเมืองนีงาตะกันค่ะ โดยเริ่มจากจุดแรกคือ “ถนนชอปปิงนุตตาริเทอร์เรซ (Nuttari Terrace Street)” 

ถนนสายนี้เดิมทีเป็นตลาดอันแสนคึกคักในสมัยอดีต แม้ว่ามีช่วงหนึ่งร้านค้าในถนนสายนี้ได้ปิดตัวลงเป็นจำนวนมาก แต่ปัจจุบันได้มีการรีโนเวท รวมถึงมีคาเฟ่สวยๆ ร้านเสื้อผ้ามือสอง Co-working Space และร้านค้าเปิดใหม่มากมายโดยยังคงอนุรักษ์บรรยากาศอันเก่าแก่ไว้ ทำให้ถนนสายนี้กลับมาคึกคักอีกครั้งและกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวที่ควรแวะมาหากได้มาเมืองนีงาตะ

ที่นี่ยังมีร้านขายของมากมาย โดยเฉพาะสินค้าเกี่ยวกับ “แมว” ที่เหล่าทาสแมวไม่ควรพลาด เนื่องจากในสมัยก่อนถนนสายนี้เคยเป็นตลาดผักและผลไม้เก่า ทำให้ช่วงนั้นมีหนูเร่ร่อน ผู้คนจึงเห็นคุณค่าของแมวในฐานะผู้พิทักษ์มาตั้งแต่สมัยอดีต จึงเป็นที่มาถึงความสัมพันธ์ดังกล่าว และหากใครที่มาเยือนก็ไม่ควรพลาดกับ “ขนมนุมะเนโกะ” น้องแมวสุดน่ารักซึ่งเป็นของขึ้นชื่อของถนนชอปปิงนุตตาริเทอร์เรซแห่งนี้ มีทั้งรสถั่วแดง รสครีมและอีกมากมายที่สอดไส้ขนมน้องแมวสุดน่ารักนี้แบบเต็มคำ (ราคาเริ่มต้นประมาณชิ้นละ 230 เยน) 

อิ่มอร่อยไปกับอาหารทะเลสด ๆ ที่ร้านซูชิระดับพรีเมียม “ซูชิอิวะ (Sushiiwa)”

ซูชินั้นเปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของอาหารญี่ปุ่นยอดนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยร้านที่เราจะแนะนำวันนี้ชื่อว่า “ซูชิอิวะ (Sushiiwa)” เป็นร้านซูชิขึ้นชื่อระดับพรีเมียมของเมืองนีงาตะที่เสิร์ฟปลาสดใหม่ในคุณภาพยอดเยี่ยม

ร้านซซูชิอิวะแห่งนี้จะใช้ปลาเนื้อสีขาวเป็นหลัก อาทิ ปลาโนโดกุโระหรือปลากะพงสีชมพู นอกจากนี้ยังมีวัตุดิบคุณภาพสูงที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปลาทูน่าครีบน้ำเงิน หอยเม่นทะเล รวมไปถึงข้าวญี่ปุ่นโคชิฮิคาริแสนอร่อยอันโด่งดังมาทำเป็นข้าวซูชิอีกด้วย

เมนูแนะนำของทางร้านที่อยากให้ไม่พลาดเลยก็คือ “นันบังเอบิดงบุริ” หรือข้าวหน้ากุ้งที่เป็นเมนูยอดนิยมอันดับหนึ่งของทางร้าน (ราคาชามละ 3,200 เยน) ซึ่งใช้กุ้งที่จับมาสดๆ จากท่าเรืออากะโดมาริในเกาะซาโดะ เพียงแค่กัดคำแรกก็จะสัมผัสได้ถึงความสด กรอบและความหวานของเนื้อกุ้งแบบเต็มคำเข้ากับข้าวโคชิฮิคาริแสนอร่อยได้เป็นอย่างดี ใครที่ชอบรับประทานกุ้งขอให้ลองสั่งเมนูรับรองว่าจะประทับใจอย่างแน่นอน ที่สำคัญข้อดีคือร้านนี้ยังมีเมนูภาษาอังกฤษรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติด้วยนะคะ

สถานที่อันเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมเมืองนีงาตะที่ไม่ควรพลาด "อดีตบ้านพักของครอบครัวโอซาวะ (Former Ozawa Family Residence)"

อดีตบ้านพักของครอบครัวโอซาวะ (Former Ozawa Family Residence) เหมาะสำหรับใครที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์หรือสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น เพราะคุณจะได้เรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลโอซาวะ ซึ่งเป็นตระกูลที่มีส่วนรวมธุรกิจต่างๆ ในเมืองนีงาตะมาอย่างยาวนาน โดยตระกูลโอซาวะนั้นได้ขยายธุรกิจของตนไปสู่ธุรกิจการเดินเรือและผู้ค้าส่งทางเรือ หลังจากนั้นบริษัทก็ประสบความสำเร็จในธุรกิจการขนส่ง คลังสินค้า และการค้าน้ำมัน ทำให้กลายเป็นหนึ่งในครอบครัวบริษัทการค้าชั้นนำของนีงาตะ

อดีตบ้านพักของครอบครัวโอซาวะนี้เป็นทั้งร้านค้าและที่พักอาศัยของตระกูลซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของเมือง ปัจจุบันสามารถเยี่ยมชมภายในอาคาร รวมไปถึงสวนญี่ปุ่นได้อย่างอิสระ บรรยากาศทุกรายละเอียดของภายในอาคารนั้นได้รับออกแบบอย่างพิถีพิถันและมีรสนิยมตั้งแต่การเลือกใช้โคมไฟ ราวบันได ไปจนถึงกระจกและอื่นๆ จึงเรียกได้ว่าใครที่เป็นคนชื่นชอบบ้านเก่าหรือของเก่าจะต้องตกหลุมรักที่นี่แน่นอน

ขนมขึ้นชื่อของเมืองนีงาตะ “ซาซาดังโงะ” ลองทำขนมดั้งเดิมที่ “ร้านทานาคายะฮนเต็น มินาโตะโคโบ (Tanakaya Honten Minato Kobo)”

หลายคนอาจจะไม่คุ้นชื่อกับ “ขนมซาซาดังโงะ (Sasadango)” เท่าไหร่นัก ซาซาดังโงะเป็นขนมญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ทำจากน้ำตาลและน้ำต้มหญ้าโยโมงิ ภายในก้อนดังโงะที่ผ่านการผสมแล้วจะสอดไส้ไส้ถั่วรสชาติหอมหวาน ภายนอกห่อด้วยใบไผ่ที่มีกลิ่นหอม

วันนี้เราก็ได้แวะมาที่ “ร้านทานาคายะฮนเต็น มินาโตะโคโบ (Tanakaya Honten Minato Kobo)” ซึ่งเป็นร้านค้าชื่อดังของเมืองนีงาตะที่จำหน่ายทั้งขนมญี่ปุ่นโบราณ ของที่ระลึก มีโรงงานสำหรับผลิตซาซาดังโงะโดยเฉพาะที่เราสามารถชมกระบวนการผลิตได้อย่างใกล้ชิดภายในอาคาร 

จุดที่น่าสนใจอีกอย่างคือที่นี่มีเวิร์คช็อปให้เหล่านักท่องเที่ยวได้ลองทำซาซาดังโงะและรับประทานกันจริงๆ อีกด้วย เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ที่หากได้มาเที่ยวนีงาตะแล้วไม่ควรพลาด 

เดินเล่นตลาดนัดมาร์เช่สุดชิคที่ “ท่าเรือมินาโตะ มาร์เช่เพียร์ บันได (Minato Marche Pier Bandai)”

สำหรับสถานที่สุดท้ายของทริปนี้ที่เราจะแนะนำคือ “ท่าเรือมินาโตะ มาร์เช่เพียร์ บันได (Minato Marche Pier Bandai)” เป็นตลาดนัดที่ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำชินาโนะ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2010 แบ่งออกเป็นหลายโซน ซึ่งมีร้านค้ามากมายที่จำหน่ายทั้งอาหารและของสุดพิเศษให้ได้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นปลาที่จับสดๆ จากทะเลญี่ปุ่นไปจนถึงผักสดจากฟาร์ม ผลไม้ตามฤดูกาล เนื้อสัตว์แสนอร่อย ข้าว สาเกชื่อดังที่สามารถลองชิมได้ รวมไปถึงร้านอาหารและร้านจำหน่ายของที่ระลึกอีกมากมาย

แม้ได้ชื่อว่าเป็นตลาดแต่ก็เป็นสถานที่ที่มีดีไซน์สุดเก๋ ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นไนท์มาร์เก็ตที่ประเทศไทย ซึ่งแม้แต่โซนจำหน่ายของสดเองก็สะอาดมากเช่นเดียวกัน และยังมีแผนที่ทั้งภาษาอังกฤษ ภาษาจีนและภาษาเกาหลีให้บริการชาวต่างชาติอีกด้วย เรียกได้ว่าครบครันมีทุกอย่างที่ต้องการ สามารถแวะมาเดินเล่นหรือรับประทานอาหารได้ทั้งช่วงกลางวันและกลางคืนเลยค่ะ

ก่อนกลับอย่าลืมแวะซื้อของที่ระลึกที่ “สถานีนีงาตะ (Niigata Station)” กันนะ

หากใครที่ไม่มีเวลาแวะไปซื้อของที่ระลึกระหว่างทริปกันล่ะก็ ที่ “โคโคโละ นีงาตะ (CoCoLo Niigata)” ในสถานีนีงาตะ (Niigata Station) เองก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะที่นี่มีศูนย์รวมจำหน่ายสินค้ามากมายตอบโจทย์ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งไม่ว่าใครก็สามารถเดินเล่นดูของที่ระลึกฆ่าเวลาระหว่างรอขึ้นรถไฟได้

เช็คข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับจังหวัดนีงาตะกันดีกว่า!

สำหรับใครที่สนใจหรืออยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับข้อมูลของจังหวัดนีงาตะมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยว ที่พัก อาหารแนะนำ กิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงตัวอย่างแผนการเดินทางและอีกมากมายที่ละเอียดครบถ้วน สามารถติดตามได้จาก 
● เว็บไซต์อย่างเป็นทางการ “Enjoy Niigata” 
https://enjoyniigata.com/th (ภาษาไทย)
● แฟนเพจ Facebook “ข้อมูลการท่องเที่ยวนีงาตะ(Enjoy Niigata)”
https://www.facebook.com/enjoyniigata.th  (ภาษาไทย)
 

ส่งท้าย

เป็นอย่างไรบ้างคะกับข้อมูลและตัวอย่างแผนการเดินทางที่เราได้นำเสนอไปในครั้งนี้ หวังว่าจะถูกใจทุกๆ คนนะคะ กิจกรรมและทิวทัศน์อันงดงามของจังหวัดนีงาตะไม่ได้มีเพียงเท่านี้ ที่นี่ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอีกมากมาย นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว เรื่องราวประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมที่แฝงอยู่เบื้องหลังก็ช่วยให้เราเข้าใจเสน่ห์ของนีงาตะได้ลึกซึ้งขึ้น หากมีโอกาสได้มาเที่ยวญี่ปุ่นก็อย่าลืมใส่จังหวัดนีงาตะลงไปในแผนการเดินทางของคุณนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง : เอาใจวัยรุ่นสายเที่ยว! แนะนำแพลนเที่ยวจังหวัดนีงาตะ 3 วัน 2 คืน ฉบับเต็มอิ่มกับฤดูหนาวและสัมผัสหิมะแบบจุใจ

มนต์เสน่ห์ชูบุ

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Karakade
Karakade
สาวไทยอาศัยในโตเกียวมาประมาณ 6 ปี จบเอกธุรกิจและภาษาญี่ปุ่น เริ่มต้นสายงานด้านการท่องเที่ยวจากการเป็นบล็อกเกอร์ นักเขียนสายท่องเที่ยว อีกทั้งยังทำเพจแนะนำข้อมูลการเที่ยวในญี่ปุ่นคู่กับอินฟลูเอนเซอร์ชาวไทยอีกด้วย งานอดิเรกชอบการเดินทาง ถ่ายรูป และกิจกรรมเอาท์ดอร์ต่างๆ
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร