6 เหตุผลที่คุณควรลองเข้าร้านทำผมที่ญี่ปุ่น

โตเกียวมีร้านทำผลอยู่มากมายหลากหลายร้านค่ะ นอกจากนี้ชื่อเสียงของร้านก็โด่งดังทั่วไปทั้งในและนอกประเทศ แต่รู้หรือไม่คะว่า แท้จริงแล้วร้านทำผมของญี่ปุ่นเพิ่งเริ่มกิจการขึ้นมาได้ไม่นานมากค่ะ คนญ๊่ปุ่นโบราณไปจนถึงสมัยเมจิส่วนใหญ่จะไว้ผมยาวค่ะ เพราะในสมัยนั้นมีกฎหมายที่จำกัดทรงผมอยู่ค่ะ ผู้ชายส่วนใหญ่จะโกนผมตรงหน้าผากและไว้จุก ส่วนผู้หญิงก็ปล่อยผมยาว (เห็นได้จากภาพวาดคนญ๊่ปุ่นในสมัยโบราณ) ในสมัยก่อนธุรกิจการทำผมของญี่ปุ่นจึงเน้นไปที่การแต่งสไตล์มากกว่าการตัดค่ะ 

แต่เมื่อเวลาผ่านไป กฎหมายเปลี่ยนไป ร้านทำผมก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เมื่อธุรกิจเริ่มเจริญเติบโตขึ้น การบริการและคุณภาพก็ค่อยๆ พัฒนาขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในเอเชียค่ะ จากร้านทำผมที่เคยให้บริการแค่จัดแต่งผมเล็กน้อย ก็กลายเป็นร้านที่ให้บริการเต็มรูปแบบ การให้บริการที่มีคุณภาพและเทคโนโลยีไม่แพ้ฝั่งตะวันตกแต่ก็ไม่ทิ้งความสุภาพอ่อนโยนของตะวันออกนั้นฟังดูสมบูรณ์แบบจนยากที่จะจินตนาการถึงหากไม่ได้ลองไปสัมผัสด้วยตนเอง วันนี้เราจึงขอชวนให้คุณลองไปทำผมที่ญี่ปุ่นดูสักครั้งค่ะ

1. การบริการครบเครื่องตั้งแต่แรกก้าวเข้าร้านจนก้าวกลับออกไป

การมาทำผมที่ญี่ปุ่นนั้นครอบคลุมแทบทุกอย่างค่ะ รายการบางอย่างที่ฟังดูแล้วเหมือนต้องเสียค่าบริการเพิ่ม ที่ญี่ปุ่นนั้นจัดการให้ฟรีหมดค่ะ ตั้งแต่การนวดศรีษะระหว่างการสระผม (รู้สึกดีมากค่ะ..) เครื่องดื่มและขนมระหว่างนั่งรอคิว ไปจนถึงการแต่งคิ้วให้ก่อนออกจากร้านค่ะ การบริการเพิ่มเติมต่างๆ นั้นก็เพื่อให้คุณลูกค้ารู้สึกผ่อนคลาย ที่ญี่ปุ่นการบริการพวกนี้ถือเป็นเรื่องปกติค่ะ เรียกได้ว่าคุณลูกค้าได้รับการบริการครบเครื่องตั้งแต่เข้าร้านจนออกค่ะ

2. ฝีมือการทำผมที่ทันสมัยและมีมาตรฐาน

กว่าจะมาเป็นช่างทำผมที่ญี่ปุ่นได้ต้องผ่านด่านวัดฝีมือหลายด่านมากค่ะ ไม่ใช่ว่าแค่ว่าผ่านการทดสอบเบื้องต้นก็สามารถมาเป็นช่างได้ค่ะ หลังจากผ่านการฝึกภาคบังคับแล้ว ช่างแต่ละคนต้องไปฝึกตัดผมที่ร้านตัดผมอีกหลายปี ก่อนจะเข้าสอบวัดฝีมืออีกครั้งค่ะ ที่ญี่ปุ่นใบอนุญาตแต่งผม (stylists) และตัดผม (barbers) นั้น จะจัดการทดสอบแยกกันค่ะ คุณมั่นใจได้เลยว่าช่างที่กำลังให้บริการคุณอยู่มีความเชีี่ยวชาญเฉพาะด้านแน่ๆ นอกจากนี้แล้วช่างญี่ปุ่นยังสามารถนำเทคนิคใหม่ๆ มาปรับปรุงให้เข้ากับสไตล์ของตัวเองได้ด้วยค่ะ ตัวอย่างเช่นเทคนิคการตัดผมของช่างทำผมชาวอังกฤษ Vidal Sassoon ค่ะ

Vidal Sassoon คือช่างที่ปฏิวัติการทำผมในสหราชอาณาจักรด้วยการออกแบบทรงผมที่เรียกว่า 'บ็อบคัท' ขึ้นมาค่ะ ทรงผมของเขาเป็นที่นิยมอย่างมากในบรรดานักแสดงชาวอังกฤษ แต่เทคนิคของเขากลับไม่เหมาะกับลักษณะผมของคนเอเชีย ถึงจะเป็นอย่างนั้นช่างญี่ปุ่นไม่ยอมแพ้ค่ะ มุ่งมั่นพัฒนาเทคนิคจนสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผมหนาๆ และรูปหน้าของคนเอเชียได้ค่ะ นอกจากพื้นฐานต่างๆ แล้ว ช่างญี่ปุ่นยังรู้จักวิธีการบำรุงผม แต่งผม และเทคนิคการตัดต่างๆ เป็นอย่างดี ดังนั้นรับรองได้เลยค่ะ ว่าการทำผมที่ญี่ปุ่นจะทำให้ทรงผมของคุณจะดูทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

3. ความหลากหลายและความชำนาญเฉพาะด้าน

ที่ประเทศญี่ปุ่นมีร้านทำผมมากกว่า 240,000 ร้านค่ะ (2015) ถ้าถามว่าเยอะแค่ไหนละก็ ลองเทียบกับจำนวนร้านสะดวกซื้อดูน่ะค่ะ ในปี 2017 ญี่ปุ่นมร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศรวมกันเพียง 55,000 ร้านค่ะ นอกจากนี้ร้านแต่ละร้านก็จะมีความชำนาญพิเศษแตกต่างกันไปค่ะ บางร้านเชี่ยวชาญในการตัด บางร้านชำนาญด้านการทำสี บางร้านก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการยืดผม นอกจากนี้ช่วงราคาก็มีให้เลือกมากมายค่ะ ตั้งแต่ร้านที่ให้บริการตัดผมอย่างรวดเร็วภายใน 10 นาที ในราคา 1000 เยน ไปจนถึง ร้านทำผมครบเครื่องหรูหราในราคา 10,000 เยน เพราะฉะนั้นหายห่วงได้เลยค่ะ ไม่ว่าคุณจะชอบทรงโลลิต้า Gyaru หรือ Visual Kei คุณก็สามารถหาช่างตัดผมที่คุณต้องการได้ในประเทศญี่ปุ่นอย่างแน่นอนค่ะ

4. ความเอาใจใส่​​​​​​​

ไม่เหมือนกับประเทศอื่น ช่างทำผมญี่ปุ่นจะทำคุณมั่นใจว่าคุณจะได้ทรงผมที่คุณต้องการเสมอค่ะ การถามคำถามเกี่ยวกับทรงผมที่คุณต้องการ ก่อน และระหว่างการทำผมของที่นี่ถือเป็นเรื่องปกติค่ะ ทำให้คุณมั่นใจว่าเมื่อตัดเสร็จคุณจะได้ทรงผมที่คุณต้องการจริงๆ ไม่ยาวไปสั้นไปแม้แต่นิ้วเดียวค่ะ นอกจากนี้หลังตัดเสร็จ ช่างตัดผมจะให้คำแนะนำต่างๆ แก่คุณค่ะ ไม่ว่าจะเป็น วิธีการรักษาผม วิธีการเป่าและเซ็ตผม ผลิตภัณฑ์แต่งผมที่เข้ากับคุณ และสไตล์ที่เหมาะกับคุณค่ะ แน่นอนว่าคำแนะนำเหล่านี้ก็จะแตกต่างกันไปขึ้นกับลักษณะของผมของคุณลูกค้าค่ะ 

5. ร้านมากสไตล์และช่างมากฝีมือ​​​​​​​

www.tokyobeautystars.jp

การเลือกทำงานที่ร้านทำผมคือทางเลือกในการดำเนินชีวิตแบบหนึ่งในญี่ปุ่นค่ะ ช่างแต่ละคนสามารถแสดงสไตล์ของตัวเองออกมาได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นทรงผมหรือการแต่งตัวค่ะ ร้านทุกร้านให้เกียรติกับงานของตัวเองค่ะ ช่างคือบุคคลที่สร้างสรรค์สไตล์ใหม่ๆ ออกมาให้แก่วงการ สไตล์ของช่างบางคนมีเอกลักษณ์มากๆ จนถึงขึ้นที่ว่ามีกลุ่มคนคอยติดตาม ยึดเอาช่างทำผมเป็นไอดอลหรือผู้นำแฟชั่นกันเลยทีเดียวค่ะ ดังนั้นการไปร้านทำผม นอกจากจะได้ทรงผมสวยงามกลับมา แล้วก็อาจจะได้เห็นสไตล์การแต่งกายใหม่ๆ ที่น่าเอาไปประยุกต์ใช้กับตัวเองได้อีกด้วยค่ะ

6. ความสะดวกสบาย​​​​​​​

ร้านทำผมในญี่ปุ่นเปิดทำการเกือบตลอดวันค่ะ ทำให้คุณสามารถมาใช้บริการหลังเลิกงานได้ การจองร้านต่างๆ ก็ทำได้ง่ายมากๆ ค่ะ คุณสามารถจองออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ เช่น Hot Pepper Beauty หรือ Rakuten Beauty บนเว็บไซต์ก็มักจะมีคูปองลดราคาต่างๆ แถมให้กับผู้ใช้บริการด้วยค่ะ อย่างไรก็ตาม เว็บไซต์เหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วจะให้บริการเฉพาะในแต่ภาษาญี่ปุ่นค่ะ ดังนั้นถ้าคุณกำลังหาร้านทำผมที่สามารถสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษได้อยู่ละก็ เราขอแนะนำบริการบนเว็บไซต์ Tokyo Beauty Stars ค่ะ (www.tokyobeautystars.jp) บนเว็บไซต์นี้ คุณสามารถเลือกหาร้านทำผมที่ถูกใจ และทำการจองได้โดยใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมดค่ะ 

6 เหตุผลที่เรายกขึ้นมานี้มีจุดร่วมกันอยู่หนึ่งจุดค่ะ คือร้านทำผมต่างก็มอบบริการให้กับลูกค้าด้วยแนวคิดญี่ปุ่น “おもてなし” หรือความเป็นมิตรค่ะ คำนี้อาจจะได้ยินกันบ่อยๆ จนอาจจะเริ่มชินแล้ว แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าที่ญี่ปุ่นนั้น ช่างทุกคนยังคงยึดมั่นหลักการนี้เป็นหัวใจของงานบริการจริงๆ ค่ะ แนวคิดนี้ทำให้ช่างทุกคนพยายามอย่างเต็มที่ที่จะทำให้คุณลูกค้าได้ในสิ่งทีดีที่สุด และได้ในสิ่งที่คุณต้องการเสมอค่ะ 

เป็นอย่างไรกันบ้างคะ
อ่าน 6 เหตุผลนี้แล้วหายลังเลหรือยังคะ? 
อย่ารอช้าค่ะ กดเข้าเว็บไซต์ไปมองหาร้านทำผมที่ถูกใจ แล้วก็จองได้เลยค่ะ
คุณกับตัวคุณคนใหม่ที่มีทรงผมสไตล์ญี่ปุ่นจนใครๆ ก็ต้องหันมอง อยู่ห่างกันแค่เสียงคลิกเมาส์กั้นเท่านั้นค่ะ!

บทความนี้ได้รับความร่วมมือจาก TOKYO BEAUTY STARS

http://tokyobeautystars.jp

Tokyo Beauty Stars คือบริษัทแนะนำและให้บริการจองร้านทำผมในโตเกียวให้แก่นักท่องเที่ยวที่อยากลองมาทำผมที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ 

บทความน่าสนใจอื่นๆ :

บทสนทนาในร้านทำผม : คุยกับช่างญี่ปุ่นยังไงให้ได้ทรงผมที่ต้องการ?

ขั้นตอนง่ายๆ สำหรับผมสวยเสกได้ในร้านทำผมที่โตเกียว

11 ร้านซาลอนสำหรับนักท่องเที่ยวในโตเกียว

15 ร้านเสริมสวยแนะนำในโอซาก้า ​​​​​​​