เจแปนโอนลี่! สตาร์บัคส์สุดเก๋ 6 แห่งสไตล์ญี่ปุ่น ไม่ซ้ำใครในโลก!!
สตาร์บัคส์อาจไม่ใช่ร้านที่ได้รับความสนใจมากนักเมื่อไปเที่ยวญี่ปุ่น เพราะในประเทศไทยเองก็มีสตาร์บัคส์อยู่ไม่น้อย แถมในญี่ปุ่นเองก็มีเปิดทำการอยู่ถึงกว่า 1400 สาขา ไม่ต้องตั้งใจตามหาก็เจอได้ตามท้องถนน.. แต่ช้าก่อน! รู้หรือเปล่าว่าสตาร์บัคส์บางสาขาในญี่ปุ่นนั้นถูกดีไซน์ขึ้นมาแบบพิเศษ โดยจะมีการผสมสานประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของเมืองอันเป็นที่ตั้งของร้านเข้าไปจนกลายเป็นร้านกาแฟรูปแบบใหม่ ฉีกภาพลักษณ์ของเจ้ากาแฟสัญชาติอเมริกันนี้ไปแบบแทบไม่เหลือเค้าเดิมเลยทีเดียว เราได้รวบรวมข้อมูลของสตาร์บัคส์เหล่านั้นไว้ที่นี่แล้ว!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
1. สาขา Kyoto Ninenzaka Yasaka Chaya (Kyoto)
Concept Store ที่นำอาคาร 2 ชั้นอายุรวมกว่า 100 ปีมาปรับปรุงใหม่ให้กลายเป็นร้านกาแฟ โดยคงรูปแบบของบ้านเรือนในเมืองเก่าแก่อย่างเกียวโตเอาไว้ สตาร์บัคส์สาขานี้ตั้งอยู่ในเขตถนนคนเดินที่มีชื่อเสียง เดินไปเพียง 10 นาทีก็จะเห็นมรดกโลกอย่างวัดคิโยมิสึ (清水寺) อยู่ไม่ไกล
ทางเข้าร้านมีโนเรน (暖簾) หรือป้ายผ้าหน้าร้านแบบญี่ปุ่นสีครามแขวนประดับเอาไว้ จึงมีชื่อในฐานะสตาร์บัคส์สาขาแรกในโลกที่ต้องแหวกผ้าเพื่อเข้าไป เมื่อเข้าไปด้านในแล้วก็จะพบกับสวนญี่ปุ่นแบบพื้นบ้านเกียวโตที่ถูกจัดไว้เป็นสวนด้านหน้า, ตรงกลาง และด้านใน อีกด้วย
การตกแต่งภายในร้านได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทศกาล Higashiyama Hanatouro (東山花灯路) ที่จัดขึ้นทุกๆ เดือนมีนาคม ซึ่งเป็นเทศกาลประดับไฟภายใต้ธีม 'แสงสว่าง' ของเขต Higashiyama ในเกียวโต แสงจะส่องผ่านสวนจากด้านนอกเข้ามาปะปนกับแสงจากเคาน์เตอร์ภายใน เกิดเป็นบรรยากาศสลัวๆ ชวนฝัน หลังจากสั่งเครื่องดื่มแล้วก็สามารถนั่งมองสวนพื้นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นแก้เบื่อระหว่างรอได้
ที่ชั้นสองของร้านเป็นห้องรับแขกเสื่อทาทามิที่ต้องถอดรองเท้า โดยแบ่งพื้นที่เป็น 3 แบบคือห้องรับแขกด้านใน ห้องรับแขกขนาดสี่เสื่อครึ่ง และห้องรับแขกบนพื้นที่ที่ยกระดับขึ้นเล็กน้อย ตัวเบาะนั่งทำจากวัสดุพื้นบ้านของโตเกียว และผ้าแขวนประดับก็ถักทอด้วยเทคนิคแบบดั้งเดิม เป็นสตาร์บัคส์ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเกียวโตนั่นเอง
2. สาขา Kyoto Uji Byodo-in Omotesando (Kyoto)
ตั้งอยู่บนถนน Omotesando (表参道) ทางเข้ามรดกโลกชื่อดังอย่าง วัด Byodo-in (平等院) จุดเด่นคือหลังคาหน้าจั่วที่ลาดเอียงได้มุมสวยงามกับต้นสนเดี่ยวที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้ๆ กับตัวร้านนั่นเอง
ภายในออกแบบผสมผสานการตกแต่งแบบญี่ปุ่นและแบบโมเดิร์น ตัวร้านมีเพดานร้านที่สูงเป็นพิเศษ ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกหน้าต่างแบบใสทั้งหมดทำให้แสงธรรมชาติส่องเข้ามาได้ ร้านจึงมีบรรยากาศแบบสว่างๆ ปลอดโปร่ง ที่นั่งก็มีจัดไว้เป็นจำนวนมาก นั่งชิลกันได้สบายๆ ไม่ต้องเป็นห่วงเลย
นอกจากนี้ในเขตร้านยังมีสวนหินแบบญี่ปุ่นที่ไม่ใช้ดิน แต่เน้นการจัดวางทรายให้ดูเหมือนกับสายน้ำอยู่ด้วย ให้ความรู้สึกเหมือนกับอยู่ในวัดสักแห่งหนึ่งในเกียวโต ยิ่งรวมกับดอกไม้ใบหญ้าต่างๆ ที่จะเบ่งบานผลัดกันไปตามฤดูก็เป็นภาพที่สวยงามมากทีเดียว
ที่บริเวณทางเข้ารวมไปถึงจุดต่างๆ ในเขตร้านจะมีที่นั่งริมระเบียงจัดเอาไว้ให้นั่งชมสวนกันได้จากทุกมุม ในส่วนลึกของสวนก็มีที่นั่งจัดเอาไว้เช่นกัน ใครที่อยากหาที่สงบๆ นั่งเงียบๆ ก็ตามเข้าไปได้เลย
3. สาขา Kawagoe Kanetsuki-dori Shop (Saitama)
สาขานี้อยู่ใกล้กับหอระฆังแห่งกาลเวลา (Toki no Kane) ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองคาวาโกเอะ (川越) ที่คอยบอกเวลาให้กับผู้คนทั้งเมืองมาตั้งแต่ยุคเอโดะ (ปี 1603 - 1868) โดยรอบยังคงมีบ้านเรือนและคลังสินค้าเก่าที่ให้กลิ่นอายของญี่ปุ่นยุคก่อนหลงเหลืออยู่ จึงได้ชื่อว่าเป็น Koedo หรือเอโดะขนาดย่อม (เขียนด้วยคันจิ 小 - เล็ก และ 江戸 - เอโดะ)
การเดินทางก็สะดวกมากๆ สามารถนั่งรถไฟสาย Seibu-Shinjuku จากสถานี Seibu-Shinjuku (西武新宿駅) ตรงมายังสถานีที่อยู่ใกล้ร้านที่สุดอย่างสถานี Hon-Kawagoe (本川越駅) ได้เลย
ตัวร้านมีการออกแบบให้กลมกลืนไปกับบรรยากาศของบ้านเรือนโดยรอบ แผ่นป้ายต่างๆ ก็ทำจากไม้ซีดาร์ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในไซตามะทั้งหมด ชั้นวางสินค้าและด้านหลังของเคาน์เตอร์บาร์สร้างเลียนแบบผนังสีขาวของคลังสินค้าใน Kawagoe และด้านล่างของเคาน์เตอร์ก็ทำเป็นผนังสีดำแบบที่ใช้กันในยุคเอโดะ นอกจากนี้พนักพิงของที่นั่งยังใช้ผ้าทอในท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่สมัยเอโดะอย่าง Kawagoe Tozan (川越唐桟) ในการทำด้วย เรียกได้ว่าเป็นร้านที่ให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาท้องถิ่นแบบสุดๆ
ใกล้ๆ กับหน้าต่างบานใหญ่ด้านในจะมีภาพวาดลงรักอยู่ติดอยู่บนผนังบ้านเก่าที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคไทโช (ปี 1912 - 1926) ซึ่งกรอบก็เป็นไม้ซีดาร์ของไซตามะเช่นเดียวกัน เป็นดีไซน์แบบสมัยใหม่ที่ผสมผสานกับสเน่ห์ของญี่ปุ่นยุคก่อนได้อย่างลงตัว
ที่จุดกึ่งกลางของร้านทางฝั่งซ้ายจะมีสวนที่มีหลังคา และมีที่นั่งริมระเบียงอยู่ด้วย เราสามารถนั่งเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของสวนญี่ปุ่นได้ในทั้งสี่ฤดู ถ้าหากมีเวลาจะลองนั่งพักผ่อนรอฟังเสียงของระฆังแห่งกาลเวลาดูก็ได้นะ
4. สาขา Izumo Taishacho (Shimane)
สตาร์บัคส์ร้านนี้ตั้งอยู่ใกล้กับศาลของเทพเจ้าแห่งการผูกสัมพันธ์และการแต่งงานอย่างศาลเจ้า Izumo Taisha หรือศาลเจ้า Izumo (出雲大社) ชนิดที่ว่ามองออกไปก็เห็นประตูโทริอิซึ่งเป็นทางเข้าศาลเจ้าตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้าเลยทีเดียว ภายนอกของร้านออกแบบเป็นสไตล์ญี่ปุ่นแบบโมเดิร์น มีการใช้องค์ประกอบที่ให้ความรู้สึกญี่ปุ่นๆ อย่างประตูบานเลื่อนที่ทำจากไม้และหลังคากระเบื้องมาทำให้ตัวร้านดูโดดเด่น เมื่อเงยหน้ามองเพดานภายในร้านจะเห็นเพดานเป็นลักษณะของหลังคาหน้าจั่วอีกด้วย
ภายในออกแบบภายใต้ธีมการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมญี่ปุ่น (ศาลเจ้า Izumo) และตะวันตก (สตาร์บัคส์) โดยจะเห็นได้จากทั้งที่นั่งที่ใช้เป็นม้านั่งแบบญี่ปุ่น โคมไฟที่ทำเลียนแบบเชือกแขวนของศาลเจ้า ไปจนถึงโต๊ะนั่งรวมที่มี Izumo Magatama (หินหยกโค้งรูปร่างคล้ายลูกน้ำ) เป็นต้นแบบ แค่มองดูก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่เอื้อต่อการทำความรู้จักคนใหม่ๆ เหมือนกับในศาลเจ้า Izumo ไม่มีผิด
ถ้ามองลงมาจากชั้น 2 ของร้านก็จะเห็นตัวศาลเจ้าด้วย จะสั่งกาแฟมานั่งจิบชมวิวสวยๆ ก็ดีไปอีกแบบ
ยิ่งไปกว่านั้นที่สาขานี้ยังมีถ้วยกาแฟลิมิเต็ดเฉพาะสาขา IZUMO วางขายอยู่ด้วย โดยมีทั้งหมด 3 สี สีแดง สีขาว และสีเขียวให้เลือก สีเหล่านี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากอัญมณีธรรมชาติอย่างอาเกต (めのう) ผลิตภัณฑ์ของจังหวัดชิมาเนะ และเพื่อให้เข้ากับแนวคิดของศาลเจ้า Izumo ซึ่งเป็นตัวแทนแห่งสายสัมพันธ์ แก้วในเซ็ตนี้จึงออกแบบให้สามารถวางซ้อนกันได้แบบพอดิบพอดีด้วย!
ความหมายแฝงลึกซึ้งขนาดนี้ก็ต้องซื้อกลับไปฝากคนสำคัญที่บ้านสักใบสองใบแล้ว!
5. สาขา Meguro (โตเกียว)
ตึก Shin Meguro Tokyu เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ของสตาร์บัคส์ในญี่ปุ่น และที่ชั้น 1 ของตึกก็มีสตาร์บัคส์สาขา Meguro เปิดทำการอยู่ โดยมีจุดเด่นคือการตกแต่งภายในที่เน้นใช้ประตูเลื่อนแบบญี่ปุ่นเป็นฉากกั้น
ชั้นวางสินค้าภายในร้านให้ความรู้สึกแบบญี่ปุ่นสุดๆ เพราะเป็นงานฝีมือที่ใช้การนำไม้ชิ้นเล็กมาต่อเข้าด้วยกันจนเป็นรูปใบกัญชา เป็นกรรมวิธีที่นิยมนำมาใช้ทำเป็นประตูและหน้าต่างของสิ่งก่อสร้างญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ นอกจากนี้ ทางร้านยังจัดที่นั่งที่นุ่มสบายไว้ข้างหน้าต่าง เมื่อมองออกไปก็สามารถมองเห็นสวนแบบญี่ปุ่นด้านนอกได้ด้วย
ที่สาขานี้จะมีบริการ Starbucks Reserve โดยทางร้านจะนำเมล็ดกาแฟหายากที่คัดเลือกแล้วอย่างดีมาชงให้ในแบบที่เราชอบ เอาใจคนรักกาแฟกันสุดๆ นอกจากนี้ทางร้านยังใจดีให้เลือกใช้แก้วดินเผาแฮนด์เมดสุดพิเศษจากเมือง Mino ในจังหวัดกิฟุ
โดยมีอยู่สองแบบให้เลือกคือถ้วยที่สูงกว่าเรียกว่า Aroma เหมาะสำหรับคนที่ชอบรับกลิ่นหอมๆ ของกาแฟ ส่วนใบที่เตี้ยกว่าเรียกว่า Body เหมาะสำหรับใครที่ชอบลิ้มรสกาแฟแบบเข้มๆ เลือกใช้กันตามความชอบได้เลย
ร้านสตาร์บัคส์ที่มีบริการ Starbucks Reserve นั้นมีอยู่เพียงไม่กี่สาขาทั่วประเทศ ดังนั้นถ้ามีโอกาสก็ควรจะไปลองชิมดูสักครั้งโดยเฉพาะสำหรับคอกาแฟ
6. สาขา Hirosaki Park Front (อาโอโมริ)
สตาร์บัคส์สาขานี้ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Hirosaki Park (弘前公園) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจุดชมซากุระชื่อดัง นับว่าเป็นสาขาที่พิเศษมากทีเดียว ด้วยตัวอาคารที่ตั้งร้านนั้นไม่ใช่แค่ตึกธรรมดาๆ แต่เป็นอาคารที่ได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมของประเทศ
อาคารนี้ถูกสร้างขึ้นมาในปี 1917 เพื่อใช้เป็นกองบัญชาการกองทัพบก ถึงจะดูเหมือนสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก แต่ก็มีการใช้เครื่องเรือนอย่างประตูบานเลื่อนและประตูกระดาษที่ให้กลิ่นอายของญี่ปุ่นในยุคก่อนอยู่เช่นกัน ทำให้เกิดเป็นดีไซน์แบบผสมผสานระหว่างแบบญี่ปุ่นและตะวันตกที่สวยงามเป็นเอกลักษณ์
ที่นั่งแบบโซฟาส่วนหนึ่งในร้านเองก็มีการปักลายด้วย Tsugaru Kogin Sashi (津軽こぎん刺し) ซึ่งเป็นงานเย็บปักถักร้อยแบบพื้นบ้านที่สืบทอดต่อกันมากว่า 300 ปีของภูมิภาค Tsugaru ในอาโอโมริ เข้ากับประวัติของตัวอาคารได้เป็นอย่างดี เรียกว่านอกจากจะมีกาแฟอร่อยๆ ให้ดื่มแล้วยังได้บรรยากาศสุดๆ อีกต่างหาก
สตาร์บัคส์มีสาขาอยู่กว่า 2 หมื่นแห่งทั่วโลก ถ้าแค่อยากจะดื่มกาแฟก็คงหาได้ไม่ยาก แต่สตาร์บัคส์ที่เราได้แนะนำไปนั้นถูกสร้างขึ้นมาโดยผสมผสานวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้าไปจนเกิดเป็นร้านรูปแบบใหม่ แต่ละร้านก็มีเสน่ห์เฉพาะตัวเต็มเปี่ยม ถ้าใครมีโอกาสได้มาเที่ยวญี่ปุ่นก็อยากให้ลองหาเวลาแวะไปดูสักครั้ง รับรองว่าคุ้มค่าเหนื่อยแน่นอน!
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่