7 ที่เที่ยวอวดรูปสวยในไซตามะ สัมผัสทั้งธรรมชาติและประวัติศาสตร์

บางครั้งคุณอาจอยากลองทิ้งเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างโตเกียวไว้ข้างหลังแล้วไปใช้เวลาอยู่ในที่ที่เงียบสงบกว่านั้น และจังหวัดไซตามะสามารถตอบสิ่งนนั้นได้! ไซตามะอยู่ทางเหนือของโตเกียว ทั้งเข้าถึงได้สะดวกรวดเร็วด้วยรถไฟ แถมยังมีวิวธรรมชาติแบบที่ชวนให้นึกถึงชนบทด้วย ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับเจ็ดสถานที่อันแสนงดงามที่คุณควรแวะไปเยี่ยมชมเมื่อไปเยือนไซตามะ มีตั้งแต่เมืองเก่าแบบญี่ปุ่น รถไฟทั้งคลาสสิกและทันสมัย ไปจนถึงดอกไม้นานาพันธุ์หลากสีสันเลยทีเดียว!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

1. รับบทเป็นเจ้าหน้าที่ควบคุมรถไฟที่พิพิธภัณฑ์รถไฟที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น

ที่พิพิธภัณฑ์รถไฟในโอมิยะ (Omiya) เมืองไซตามะ คุณจะได้เรียนรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ โครงสร้าง และกระบวนการทางเทคโนโลยีต่างๆ ของรถไฟญี่ปุ่น ที่นี่มีรถไฟที่ใช้ในชีวิตจริงจัดแสดงอยู่ แถมยังมีรถไฟจำลองอยู่ด้วย

ในพิพิธภัณฑ์มีรถไฟจัดแสดงไว้กว่า 41 ขบวน รวมไปถึง 36 ขบวน ที่อยู่ในแกรนด์เซ็นทรัลสเปซด้วย โดยมีอยู่ 4 ตู้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญ และมีตู้ "โกเรียวชา (Goryosha)" ที่จักรพรรดิเคยใช้เสด็จด้วย! 

อีกทั้งยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของทางรถไฟในประเทศญี่ปุ่น วิทยาศาสตร์เครื่องยนต์กลไกของรถไฟ และชีวิตหนึ่งวันของคนงานรถไฟญี่ปุ่นได้ที่ "สถานี" ต่างๆ ในเขตพิพิธภัณฑ์

โมเดลรถไฟสาย "เทปปุกุ (Teppaku)" ที่จัดเอาไว้จะวิ่งผ่านอาคารทรงโมเดิร์นวาววับซึ่งเปิดในปี 2007 ให้การแวะมาเยี่ยมเยือนของคุณสมบูรณ์แบบด้วยการแวะที่ร้านขายของที่ระลึกหรือหนึ่งในร้านอาหารที่มีอยู่มากมาย รวมไปถึงร้านที่มีหน้าตาเหมือนอาหารบนรถไฟเลยด้วย!

2. คาวาโงเอะ "เกียวโตน้อย" ใกล้โตเกียว

ในเมืองคาวาโงเอะ (Kawagoe City) มีเมืองโบราณซึ่งถูกเรียกว่า "ลิตเติ้ลเอโดะ" หรือ Ko-edo ที่เจริญรุ่งเรืองในฐานะเมืองรอบปราสาทคาวาโงเอะ (Kawagoe Castle) ในยุคเอโดะ (ปี 1603 - 1868) อยู่

ชื่อเล่นนี้มีที่มาจากการค้าขายอันคึกคักที่คล้ายคลึงกับในเมืองหลวงของเอโดะซึ่งปัจจุบันคือโตเกียว ถ้าคุณอยากจะชมรอบๆ ลิตเติ้ลเอโดะ เราขอแนะนำให้ขึ้นรถ Koedo Loop Bus โดยการซื้อตั๋วแบบรายวัน (one-day pass) ซึ่งคุณจะสามารถขึ้นลงเท่าไหร่ก็ได้ตามใจอยากในราคาแค่ 500 เยนเท่านั้น!

สามารถซื้อตั๋วได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวสถานีคาวาโงเอะ (Kawagoe Station Tourist Information Center) หรือบนรถบัสได้เลย

ในลิตเติ้ลเอโดะ คุณสามารถเดินเที่ยวพลางเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศอันมีเอกลักษณ์ของถนนที่เรียงรายไปด้วยโกดังและอาคารทางประวัติศาสตร์ หอระฆัง "โทคิโนะคาเนะ (Toki no Kane)" ซึ่งถูกลั่นกังวานมาตั้งแต่ยุคเอโดะ และ "คาชิยะ โยโคโจ (Kashiya Yokocho)" ตรอกขายขนมหวานโบราณ ช่างเป็นเมืองที่มีภูมิทัศน์แบบโบราณที่เหมาะแก่การสวมยูกาตะหรือกิโมโนเป็นที่สุด แถมยังมีร้านรวงต่างๆ มากมายให้คุณได้พบเห็นตลอดถนนสายหลัก อีกทั้งยังมีตำหนักหลักของปราสาทคาวาโงเอะอายุกว่า 170 ปีให้นักท่องเที่ยวได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของคาวาโงเอะอีกด้วย!

ท้ายที่สุด ถ้าเป็นไปได้ ก็ลองมาเที่ยวเทศกาลคาวาโงเอะ (Kawagoe Festival) ในช่วงคืนกลางเดือนตุลาคมดูนะ คุณจะได้สัมผัสกับสีสันอันมีชีวิตชีวาอย่างเต็มที่เลยล่ะ

3. เพลินไปกับเทศกาลหอมๆ ที่สวนต้นบ๊วยโอโงเซะ

ในเมืองโอโงเซะ (Ogose) เขตอิรุมะ (Iruma) จังหวัดไซตามะ คุณจะได้พบกับสวนบ๊วยโอโงเซะ (Ogose Plum Grove) ที่มีต้นบ๊วยอยู่กว่า 1,000 ต้น รวมไปถึงบ๊วยพันธุ์ชิโรคางะ (Shirokaga) สีขาวและพันธุ์โคบาอิ (Kobai) สีแดงด้วย ที่นี่ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในจุดชมดอกบ๊วยบานที่ดีที่สุดของแถบคันโตเลยทีเดียว

ตามตำนานเล่าขานกันว่าสวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยสุกาวาะ โนะ มิจิซาเนะ (Sugawara no Michizane) เทพแห่งการเรียนรู้ ในตอนที่ศาลเจ้าดาไซฟุเท็นมังกุ (Dazaifu Tenmangu) ที่สร้างไว้เพื่อให้เป็นสถานที่เคารพบูชาในคิวชูได้ถูก "แบ่งส่วน" และนำมายังโอโงเซะ

เทศกาลชมบ๊วยโอโงเซะจัดขึ้นทุกปีราวช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ไปจนถึงกลางเดือนมีนาคมที่ดอกบ๊วยผลิบานเต็มที่ มีต้นบ๊วยถึง 20,000 ต้นบานสะพรั่ง ซึ่งยังไม่นับต้นอื่นๆ ที่อยู่บริเวณโดยรอบด้วย

บ๊วยแต่ละสายพันธุ์จะมีกลิ่นหอมแตกต่างกันไป คุณสามารถใช้เวลาเพื่อจำแนกแต่ละกลิ่นได้อย่างเต็มที่เลย! ในงานเทศกาลยังมีการตีกลองไทโกะ การแสดงเชิดสิงโตและโมเดลรถจักรไอน้ำเล็กๆ ที่จะวิ่งฉึกฉักไปตามสวนด้วยนะ

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

4. คุมางายะ ซากุระ สึสึมิ จุดชมซากุระที่ดีที่สุดของคันโต

ฤดูใบไม้ผลิในญี่ปุ่นหมายความถึงการมาเยือนของซากุระบาน และที่ไซตามะเองก็มีจุด "ฮานามิ" หรือจุดชมดอกไม้ที่สวยงามอยู่มากมายเลยทีเดียว ช่วงปลายเดือนมีนาคมไปจนถึงต้นเดือนเมษายนจะเป็นช่วงที่ฤดูซากุระบานเต็มที่ในแถบนี้ แต่วันที่แน่ชัดก็จะต่างกันไปในแต่ละปี (ปี 2021 บานเต็มที่ในวันที่ 29 มีนาคม)

ในไซตามะมีจุดชมซากุระดีๆ อยู่เยอะมาก แต่เราขอแนะนำที่คุมางายะ ซากุระ สึสึมิ (Kumagaya Sakura Tsutsumi) ที่อยู่เลียบแม่น้ำอารากาวะในเมืองคุมางายะเป็นพิเศษ ที่นี่มีซากุระสายพันธุ์โซเมอิ โยชิโนะ (Somei Yoshino) ราว 500 ต้นที่จะเบ่งบานสวยงามเรียงรายไปตามแม่น้ำที่มีความยาวร่วมกว่าสองกิโลเมตร รวมถึงมีดอกนาโนฮานะ (ดอกเรปซีด) บานอวดกลีบอยู่ใกล้ๆ เกิดเป็นทิวทัศน์สวยๆ จากการผสมผสานของสีเหลือง สีชมพูและ สีฟ้า ที่นี่เป็นจุดชมซากุระยอดฮิตมาตั้งแต่สมัยเอโดะ และยังถูกเลือกให้เป็นหนึ่งใน 100 จุดชมซากุระที่ดีที่สุดของประเทศอีกด้วย

ในหลายๆ ปีจะมีการจัดงานเทศกาลอยู่สองสัปดาห์ในช่วงฤดูที่ซากุระบานเต็มที่ ทว่างานในปี 2021 นั้นได้ถูกยกเลิกไป

Klook.com

5. ไปปีนเขาบูโกะ และชมซากุระอันสวยงาม

ภูเขาบูโกะ (Mt. Buko) มีความสูง 1,304 เมตร ตั้งอยู่ ณ ชายขอบของเมืองจิจิบุ (Chichibu) และเมืองโยโกเซะ (Yokoze) เป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับการเดินเขาและชมวิว บริเวณลาดชัดส่วนใหญ่ของภูเขานั้นไม่มีพืชพรรณปกคลุมและเป็นแหล่งขุดเหมืองหินปูน เหลือทิ้งไว้แต่เพียงพื้นผิวเปลือยเปล่าที่ลดหลั่นเป็นขั้นบันได ช่างเป็นภาพที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์และชวนให้ฉงนใจอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม โดยปกติแล้วนักเดินเขาจะปีนขึ้นเขาจากอีกทางหนึ่งซึ่งเขียวชอุ่มและเป็นธรรมชาติกว่ามาก มีทางเดินเขาอยู่หลายเส้นทาง ซึ่งทางที่นิยมกันที่สุดก็คือเส้นทางโอโมเตะซันโดะ (Omotesando Trail) ที่มีจุดชมวิวสวยๆ อยู่หลายแห่งตลอดเส้นทาง ทั้งน้ำตกฟุโดะ (Fudo Falls)ในรูปประกอบด้านบน ที่โล่งที่มีต้นซีดาร์ยักษ์ และยังมีสถานที่ที่ให้กลิ่นอายญี่ปุ่น ๆ อย่างประตูโทริอิที่ตกแต่งด้วยหินรูปสัตว์ผู้พิทักษ์ที่ตีนเขา และศาลเจ้ามิตาเกะ (Mitake Shrine) บนยอดเขา ส่วนที่จุดพักชมวิว คุณจะได้เห็นภาพของเมืองจิจิบุที่สวยจนลืมหายใจเลยทีเดียว!

การเดินไปยังตีนเขาใช้เวลาเดิน 90 นาทีจากสถานี Yokose และคุณควรกันเวลาไว้หกชั่วโมงสำหรับการเดินขึ้นเขาจนจบเส้นทางด้วย

ที่ตีนเขา ใกล้กับใจกลางเมืองจิจิบุนั้นมีสวนฮิสึจิยามะ (Hitsujiyama Park) ที่ดอกชิบะซากุระ (ดอกพิ้งค์มอส) จะบานสะพรั่งในช่วงกลางเดือนเมษายน - ต้นเดือนพฤษภาคม ภาพของสวนสาธารณะที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีชมพูสดใส สีม่วง และสีขาวราวกับปูพรมเอาไว้นั้นช่างเป็นภาพที่สวยสดงดงามจริงๆ

ระหว่างอยู่ที่สวนสาธารณะ คุณสามารถหยุดแวะที่สระน้ำ สนามเทนนิสหรือแม้แต่ฟาร์มแกะได้ด้วย ระหว่างช่วงฤดูชิบะซากุระ ร้านแผงลอยที่ขายอยู่ในสวนจะเต็มไปด้วยอาหารและของฝากมากมายเลยทีเดียว

มีอีกช่วงเวลาหนึ่งที่สวนจะจัดงานใหญ่ คือ เทศกาลยามค่ำคืนจิจิบุ (Chichibu Night Festival) ซึ่งจะจัดขึ้นทุกเดือนธันวาคมของทุกปี โดยทางสวนจะเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงดอกไม้ไฟ ซึ่งเทศกาลยังนี้เป็นหนึ่งใน 33 เทศกาลญี่ปุ่นที่ทาง UNESCO ได้จัดไว้ให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้เช่นเดียวกับเทศกาลคาวาโงเอะที่ได้กล่าวถึงไปก่อนหน้านี้แล้วอีกด้วย!

6. ทุ่งดอกเบบี้บลูอายส์ที่ชินรินโคเอ็น

วนอุทยานแห่งชาติมุซาชิ คิวเรียว (Musashi Kyuryo National Government Park) กินพื้นที่คร่อมระหว่างเมืองนาเมงาวะ (Namegawa) เขตฮิกิ (Hiki) และเมืองคุมางายะ เป็นวนอุทยานแห่งแรกของญี่ปุ่น เปิดทำการในปี 1974 และมีชื่อเรียกที่คุ้นหูกันมากกว่าคือชินรินโคเอ็น (Shinrin Koen) แปลว่าสวนป่าและไม้ ซึ่งเป็นชื่อของสถานีที่อยู่ใกล้ที่สุดด้วย

แม้ในสวนจะมีต้นไม้เป็นหลัก แต่ภูมิทัศน์อื่นๆ อย่างสระน้ำและทุ่งหญ้าก็สามารถพบเห็นได้เช่นกัน สัตว์และสายพันธุ์พืชสำคัญๆ อีกหลายชนิดก็อาศัยอยู่ในสวนนี้ ดอกไม้นานาพันธุ์จะเบ่งบานตามช่วงเวลาที่ต่างกันไปตลอดทั้งปี ปกคลุมสวนด้วยสีสันที่สวยงามของดอกทิวลิปในเดือนมีนาคมและเมษายน ดอกบัวสายในฤดูร้อน เมโดว์แซฟฟรอนตลอดช่วงฤดูใบไม้ร่วง ฯลฯ

ถ้าคุณเลือกได้เพียงช่วงเวลาเดียวเท่านั้น เราขอแนะนำให้ไปตอนไหนก็ได้ในเดือนเมษายนซึ่งจะเป็นช่วงที่ดอกเบบี้บลูอายส์ (หรือดอกเนโมฟีล่า) บานอย่างเต็มที่ในสวนดอกไม้ทุ่งตะวันตก (West Field) ที่นี่คุณจะสามารถพักผ่อนสายตาได้ด้วยการมองดอกไม้สีท้องฟ้าผลิบานและพลิ้วไหวไปตามสายลมของฤดูใบไม้ผลิ

7. ทางรถไฟจิจิบุแสนงดงาม

รางรถไฟจิจิบุ (Chichibu Railway) เป็นทางรถไฟที่เชื่อมระหว่างสถานี Hanyu Station ที่ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัดไซตามะกับสถานี Mitsumineguchi Station ที่ตั้งอยู่สุดขอบทางตะวันตกของจังหวัด 

ที่นี่เริ่มเปิดให้บริการในปี 1901 และปัจจุบันนี้ก็เป็นทางรถไฟที่ให้ประสบการณ์แบบดิบๆ บ้านๆ มากกว่ารางรถไฟชานเมืองที่วิ่งไปยังใจกลางเมืองซึ่งจะให้ความรู้สึกที่นุ่มนวลกว่า (ตอนนี้ยังรับแต่ตั๋วกระดาษเท่านั้น แต่บัตร IC จะสามารถใช้ได้ตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป!)

ยกตัวอย่างเช่น "พาเลโอเอ็กซ์เพรส (Paleo Express)" รถจักรไอน้ำย้อนยุคที่สวนใหญ่แล้วจะออกวิ่งในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดระหว่างฤดูใบไม้ผลิและใบไม้ร่วง ชื่อนี้ถูกตั้งตามไดโนเสาร์ที่ใช้ชีวิตอยู่ในไซตามะเมื่อ 13 ล้านปีก่อน

การขึ้นพาเลโอมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 520 เยน แต่ก็เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตที่ถือว่าคุ้มค่ามาก! แถมจะได้ถ่ายรูปทางรถไฟที่ทอดไปตามเส้นทางที่มีต้นซากุระและนาโนฮานะกำลังผลิบานในฤดูใบไม้ผลิอยู่ข้างๆ อีกด้วย

นอกจากความสุนทรีย์แล้ว ทางรถไฟนี้ยังสะดวกต่อการเดินทางมาก เพราะวิ่งใกล้ๆ จุดท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งหลาย รวมไปถึงสวนฮิสึจิยามะ ซากุระที่คุมางายะ (ที่ได้กล่าวถึงไปข้างต้น) เรวมถึงนางาโตโระ (Nagatoro) ที่คุณสามารถสนุกไปกับการล่องแพท่ามกลางวิวที่สวยงาม และศาลเจ้ามิทสึมิเนะ (Mitsumine Shrine) หนึ่งในจุดที่เป็นที่พึ่งทางใจยอดนิยมที่สุดของภูมิภาคคันโต

ถ้าคุณตัดสินใจว่าจะแวะไปเยี่ยมเยือน เราขอแนะนำให้คุณซื้อตั๋วแบบรายวันเพื่อที่คุณจะเดินทางได้ไม่จำกัดตลอดเส้นทาง!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ไปไซตามะกันดีกว่า!

อ่านบทความนี้แล้ว ถ้ามองข้ามไซตามะไปคงน่าเสียดายแย่ เพราะที่นี่คุณจะได้ชมภาพที่ต่างออกไปจากญี่ปุ่นที่คุณเห็นบ่อยๆ จะมาเก็บให้ครบทีเดียวก็คงยาก เพราะเทศกาลดอกไม้ เทศกาลคาวาโงเอะ และเทศกาลยามค่ำคืนจิจิบุนั้นไม่มีช่วงที่คาบเกี่ยวกับเลย แต่นั่นก็หมายความว่าคุณสามารถไปเที่ยวไซตามะได้ซ้ำๆ อย่างไม่มีเบื่อ! อย่าลืมเอากล้องตัวเก่งติดไปด้วย แล้วไปสำรวจให้ฉ่ำปอดกันไปเลย!
 

ติดตามข้อมูลการท่องเที่ยวไซตามะได้ที่เพจเฟซบุ๊คหลักของไซตามะก่อน ไซตามะรอทุกคนมาเที่ยวอยู่นะคะ

Header credit: PIXTA

 


หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Koji
Koji Shiromoto
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร