7 วิธีเที่ยวจังหวัดไซตามะแบบไม่เหมือนใคร!
สถานการณ์โควิด-19 ไม่เพียงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับวิถีชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนมุมมองที่มีต่อการท่องเที่ยวด้วย นักท่องเที่ยวต้องการเที่ยวนอกตัวเมืองใหญ่มากขึ้น และจังหวัดไซตามะก็สามารถตอบโจทย์นี้ได้ดีมาก แม้จะอยู่ไม่ไกลจากโตเกียว แต่กลับมีคนน้อยกว่ามาก ในขณะเดียวกันก็มีกิจกรรมและสถานที่ท่องเที่ยวเด็ดๆ มากมาย ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปพบกับวิธีสำรวจขุมทรัพย์ของภูมิภาคคันโตที่ไม่เหมือนใคร!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
1. "แม่น้ำ" ใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในโลก! แวะเที่ยวช่องระบายน้ำใต้ดินในเขตปริมณฑล
เมืองคาซุคาเบะ (Kasukabe) ของจังหวัดไซตามะเป็นที่ตั้งของ ช่องระบายน้ำใต้ดินในเขตปริมณฑล (Metropolitan Area Outer Underground Discharge Channel) ที่สร้างขึ้นเพื่อบรรเทาภาวะน้ำท่วมในบริเวณรอบๆ โดยเปลี่ยนเส้นทางของน้ำจากฝนตกหนักหรือปัจจัยอื่นๆ ให้ไหลลงไปสู่แม่น้ำเอโดกาวะ เป็นระบบผันน้ำที่ทำขึ้นจากคอนกรีต ประกอบไปด้วยไซโลเก็บน้ำหลักห้าห้องที่เชื่อมต่อกันด้วยอุโมงค์ ใช้เวลาสร้าง 14 ปี และมีความยาวถึง 6.3 กิโลเมตร
โครงสร้างมหึมานี้ดูอลังการราวกับวัด จนทำให้มันมีชื่อเล่นว่า วัดใต้ดิน และได้ถูกนำไปใช้เป็นฉากของหนัง ละคร และสื่อมากมายของญี่ปุ่น
ที่นี่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมในช่วงที่ไม่มีการเบนน้ำเข้ามาในพื้นที่รับรอง ซึ่งจะเกิดขึ้นราวเจ็ดครั้งต่อปี โดยมีทัวร์สามคอร์สในการสำรวจช่องระบายน้ำนี้ เช่น คอร์สที่จะพาไปโซนปั๊มน้ำ หรือคอร์สที่พาไปพบกับช่องลึก 70 เมตร ซึ่งสามารถเก็บน้ำส่วนเกินในกรณีที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วม ขอแนะนำให้หาล่ามไปด้วยในกรณีที่ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่น และหากต้องการเข้าร่วมทัวร์จะต้องจองล่วงหน้า
ที่นี่นับได้ว่าเป็นโครงสร้างหายากมากๆ ควรมาสัมผัสให้ได้สักครั้งในชีวิต
2. โหนซิปไลน์ที่ Moomin Valley Park ชมวิวสวย ลุยกิจกรรมสนุกๆ
Moomin Valley Park ตั้งอยู่ในเมืองฮันโน (Hanno) ของไซตามะ เป็นสวนที่จะพาคุณเข้าไปสู่โลกของมูมิน ซีรี่ส์ชื่อดังของฟินแลนด์ เป็นสวนสนุกธีมมูมินแห่งแรกที่ตั้งอยู่นอกฟินแลนด์ จึงได้รับความนิยมจากแฟนๆ ทั้งในและนอกญี่ปุ่น
ที่นี่มีการจัดแสดงและโชว์น่าสนใจมากมาย และที่ห้ามพลาดเป็นอย่างยิ่งก็คือ Hobgoblin's Zipline ซิปไลน์แบบดึงที่จะพาคุณเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ท่ามกลางป่าไม้ คุณจะได้โหนตัวไปกับวิวธรรมชาติ พลางสัมผัสความตื่นเต้นที่มีชีวิตชีวาและสายลมโบกพัดเส้นผม
นอกจากนี้ก็มี Hemulen's Playground โซนเด็กเล่นในรูปของบ้านต้นไม้ขนาดยักษ์ เด็กๆ จะได้สนุกไปกับการสำรวจทุกซอกทุกมุมของสนามเด็กเล่นนี้ ในขณะที่เหล่าผู้ใหญ่จะได้ตื่นตาไปกับดีไซน์สุดน่ารัก ชวนให้นึกถึงความฝันที่อยากได้บ้านต้นไม้ในวัยเด็ก
3. สัมผัสแรงโน้มถ่วงที่ Chichibu Geo Gravity Park!
Geo Gravity Park ตั้งอยู่ภายในเมืองจิจิบุ เป็นศูนย์รวมกิจกรรมน่าตื่นเต้นแนวท้าทายแรงโน้มถ่วงที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น มีกิจกรรมไฮไลต์ได้แก่ Canyon Walk ที่คุณจะได้เดินไปบนสะพานแขวนยาว 100 เมตร ที่พยุงตัวอยู่ด้วยลวดเพียงสี่เส้น Canyon Fly ซิปไลน์น่าสนุกที่จะพาคุณข้ามช่องเขาของแม่น้ำอารากาวะ และ Canyon Swing กิจกรรมสัมผัสแรงโน้มถ่วงสุดขั้ว!
สิ่งที่ทำให้กิจกรรมเหล่านี้น่าสนุกขึ้นไปอีกคือ ทุกกิจกรรมมีวิวพื้นหลังเป็นธรรมชาติที่งดงามของจิจิบุ เพราะ Geo Gravity Park ตั้งอยู่ใกล้กับอุทยานธรณีวิทยา บริเวณที่มีภูมิประเทศหายากและควรค่าต่อการอนุรักษ์ จึงมีวิวสวยๆ ของแม่น้ำและหุบเขาอยู่มากมาย เล่นกิจกรรมเสร็จแล้งมานั่งชมความงดงามก็เพลินไม่น้อย
4. สัมผัสการแสวงบุญจิจิบุฟุดาโชะเสริมดวงชะตา
ละแวกจิจิบุเป็นที่ตั้งของ 34 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (วัด สุสานและศาลเจ้า) ซึ่งเป็นที่สักการะเจ้าแม่กวนอิม ในแต่ละที่คุณจะได้รับหรือสามารถซื้อเครื่องรางเล็กๆ ที่เรียกว่า "ฟุดะ" ได้จากจุดแจกฟุดะ หรือ "ฟุดาโชะ" โดยทัวร์จิจิบุฟุดาโชะ เป็นการแสวงบุญเพื่อรับเครื่องรางจากทั้ง 34 แห่ง เนื่องจากแต่ละแห่งอยู่ค่อนข้างใกล้กัน ทำให้เป็นการไหว้พระแสวงบุญที่สามารถทำได้ง่ายมากและได้รับความนิยมจากคนทุกวัยไม่ว่าจะมีพื้นเพแบบไหนก็ตาม
หากมีเวลาเพียงวันเดียว เราขอแนะนำเส้นทางเจ็ดกิโลเมตรที่เริ่มต้นจาก วัดโจรินจิ (Jorin-ji) ไปสิ้นสุดที่ วัดอนกาคุจิ (Ongaku-ji) เป็นเส้นทางจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 17 ไปสู่ลำดับที่ 23 คุณจะได้พบกับสถานที่เด่นๆ มากมาย เช่น วัดอิวาโนะอุเอะโด (Iwanoue-do) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 20 ที่สร้างขึ้นใหม่ในปี 1703 และเป็นวัดแห่งเจ้าแม่กวนอิมที่เก่าแก่ที่สุดในเส้นทางแสวงบุญนี้ รวมถึง วัดโดจิโด (Doji-do) สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับที่ 22 ที่มีเทวรูปสีหน้าแปลกประหลาดตั้งอยู่ที่บริเวณทางเข้า เป็นประสบการณ์น่าผ่อนคลายที่จะให้มุมมองแปลกใหม่เกี่ยวกับวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นโบราณ
5. รับตราประทับที่ศาลเจ้ามุซาชิอิจิโนมิยะฮิคาวะ ชมประวัติศาสตร์ 2,400 ปี!
ศาลเจ้ามุซาชิอิจิโนมิยะฮิคาวะ (Musashi Ichinomiya Hikawa) เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่ที่สุดของญี่ปุ่น สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 2,400 ปีก่อน ในบรรดาศาลเจ้าฮิคาวะกว่า 280 แห่งทั่วภูมิภาคคันโต มุซาชิอิจิโนมิยะเป็นศาลเจ้าหลักที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากให้มาเยี่ยมชมทุกปี
ที่นี่เป็นที่สักการะเทพญี่ปุ่นหลายองค์ เช่น ซุซาโนะโอโนะมิโคโตะ (เทพแห่งท้องทะเล) อินาดะฮิเมะโนะมิโคโตะ (เทพแห่งการเกษตร) และโอนามุจิโนะมิโคโตะ (เทพผู้ให้กำเนิดญี่ปุ่น) นอกจากนี้ โอมิยะ (Omiya) เขตที่ศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งอยู่ ก็ได้ชื่อมาจากตัวศาลเจ้าเอง และยังคงมีบทบาทสำคัญในด้านวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ของเมืองแม้แต่ในทุกวันนี้
เนื่องจากเป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เก่าแก่และสำคัญที่สุดในประเทศ ที่นี่จึงคึกคักมากในในช่วงเทศกาลและอีเวนต์ต่างๆ เช่น ฮัตสึโมเดะ (การสักการะศาลเจ้าครั้งแรกของปี) หากคุณต้องการหลีกเลี่ยงผู้คน เราขอแนะนำให้แวะมาในช่วงที่ไม่มีอีเวนต์ดังกล่าว ไม่ควรลืมที่จะขอรับ โกชูอิน (Goshuin) ตราประทับสำหรับผู้เข้าชมที่ถือว่าเป็นเครื่องรางนำโชคอย่างหนึ่ง ปกติแล้วโกชูอินจะวาดลงในหนังสือเล่มเล็กๆ ที่ไว้สำหรับโกชูอินโดยเฉพาะ หากคุณไม่มีก็สามารถซื้อได้ที่ศาลเจ้าเช่นกัน คุณสามารถใช้หนังสือโกชูอินได้กับศาลเจ้าทุกแห่งทั่วญี่ปุ่น จึงเป็นของที่ระลึกที่ดีมากสำหรับทริปญี่ปุ่นของคุณ
6. ทริปบอนไซเต็มวันในไซตามะ สัมผัสวัฒนธรรมญี่ปุ่นแสนประณีต!
“บอนไซ” เป็นคำภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงต้นไม้ที่ปลูกในกระถางอย่างทะนุถนอม เป็นศิลปะรูปแบบหนึ่งที่ชื่นชมกันในญี่ปุ่นมากว่า 1,000 ปี ช่างบอนไซจำเป็นต้องมีทักษะและความใส่ใจในรายละเอียดสูง เป็นศิลปะที่แม้แต่ต่างชาติก็ยังให้ความสนใจ
หากคุณอยากเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับบอนไซ ขอแนะนำให้แวะไปยังหมู่บ้านบอนไซโอมิยะ (Omiya Bonsai Village) ในเขตคิตะของเมืองไซตามะ ในหมู่บ้านนี้มีกิจกรรมที่ออกแบบขึ้นเพื่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ ซึ่งรวมถึงเวิร์กช็อปทำบอนไซ และกิจกรรมสัมผัสประสบการณ์ที่จะให้คุณได้ทำงานร่วมกับช่างบอนไซมืออาชีพ
ภายในมีโรงเพาะบอนไซอยู่หลายแห่งที่คุณสามารถสอบถามเกี่ยวกับบอนไซ รวมถึงซื้อบอนไซของคุณเองพร้อมกับอุปกรณ์ที่จำเป็น กล่าวได้ว่าเป็นสวรรค์ของคนรักบอนไซเลยจริงๆ
หมู่บ้านนี้ยังเป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ศิลปะบอนไซโอมิยะ (Omiya Bonsai Art Museum) ที่เปิดให้บริการขึ้นเมื่อปี 2010 ให้คุณได้สัมผัสเสน่ห์ของบอนไซ มีการจัดแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของบอนไซ รวมถึงสวนบอนไซกว้างขวางที่สามารถเดินชมได้อย่างอิสระ แถมยังมีร้านขายของฝากที่วางจำหน่ายสินค้าหลากหลายในธีมบอนไซ เช่น เครื่องเขียนและโปสการ์ดสำหรับส่งกลับไปที่บ้านของคุณ
7. เด็ดผลไม้กินเองที่ไซตามะ!
ทุกฤดูกาลในญี่ปุ่นนั้นมาพร้อมกับผลไม้สดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นสตอเบอรี่ในฤดูใบไม้ผลิ บลูเบอร์รี่และพีชในฤดูร้อน ลูกแพร์และองุ่นในฤดูใบไม้ร่วง หรือกีวี่และส้มในฤดูหนาว
ในส่วนนี้เราไม่ได้มาแนะนำสถานที่ที่เจาะจง แต่จะมาแนะนำเกี่ยวกับการเก็บผลไม้ กิจกรรมทั่วไปที่สามารถทำได้ในไซตามะ มีสวนหลายแห่งในไซตามะที่ปลูกผลไม้อยู่อย่างหลากหลาย ซึ่งรวมถึง ไซเกียวคุ (แปลตรงตัวว่า "ลูกกลมสีสด") ลูกแพร์สายพันธุ์ใหม่ที่มีรสหวานกว่าปกติ และ คาโอริน สตอเบอรี่สายพันธุ์ที่มีปริมาณน้ำตาลสูง เป็นผลไม้ท้องถิ่นที่คุ้มค่าแก่การแวะไปเด็ดและลิ้มรสด้วยตัวเองดูสักครั้ง
ทั่วไซตามะมีสวนผลไม้ที่ให้คุณลิ้มรสผลไม้ตามฤดูกาลผ่านออปชั่นทดลองชิมและบุฟเฟ่ต์เด็ดผลไม้ หลายแห่งเดินทางสะดวกจากโตเกียว เหมาะมากสำหรับแวะไปปิกนิกและอร่อยกับผลไม้สดใหม่ ผลไม้ญี่ปุ่นมีชื่อเสียงจากรสอร่อยและหวาน ซึ่งเด่นชัดกว่าสายพันธุ์อื่นๆ ที่พบในต่างประเทศ ขอรับรองว่าผลไม้ท้องถิ่นสดใหม่เหล่านี้จะตอบโจทย์ต่อมรับรสของคุณได้อย่างแน่นอน!
ออกสำรวจไซตามะกันเลย!
ไซตามะอาจมีคนท่องเที่ยวไม่มากเท่าโตเกียว แต่ก็มีเสน่ห์มากมายที่สามารถครองใจนักเดินทางทุกประเภท ไม่ว่าจะมีสไตล์การท่องเที่ยวแบบไหน หากคุณกำลังมองหาสถานที่ที่มีคนเที่ยวไม่มาก หรือเพียงต้องการสำรวจมุมใหม่ๆ ของญี่ปุ่น เราขอแนะนำให้ลองแวะไปที่จังหวัดไซตามะดูสักครั้ง!
อยากไปไซตามะแล้วหรือยัง!? ลองอ่านข้อมูลเกี่ยวกับการเที่ยวไซตามะเพิ่มเติมทางเพจเฟสบุ๊คของจังหวัดไซตามะก่อนได้เลย!
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่