ทุกเรื่องควรรู้เกี่ยวกับฮอกไกโด เหนือสุดแดนปลาดิบ!
เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น 'ฮอกไกโด' เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สามารถเพลิดเพลินธรรมชาติกว้างใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นชิเรโทโกะที่เป็นมรดกโลก ภูเขายิ่งใหญ่ที่เปลี่ยนแปลงอตลอดเวลา หรือพื้นที่ชุ่มน้ำคุชิโระที่มีพืชสัตว์นานาชนิด บทความนี้ เราจะมาแนะนำความรู้พื้นฐานที่ควรทราบก่อนเดินทางไปฮอกไกโด ตั้งแต่สภาพอากาศ ประวัติศาสตร์ ไปจนถึงสิ่งที่น่าสนใจในพื้นที่ต่างๆ กัน!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
ที่ตั้งของฮอกไกโด
ฮอกไกโดตั้งอยู่สุดขอบทิศเหนือของญี่ปุ่น เป็นเกาะที่ล้อมรอบด้วยมหาสมุทรแปซิฟิก ทะเลญี่ปุ่น และทะเลโอค็อตสค์ มีพื้นที่ประมาณ 83,450 ตารางกิโลเมตร ถือเป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุด ขนาดเป็นประมาณ 38 เท่าของโตเกียว และประมาณ 22% ของญี่ปุ่น
ฮอกไกโดมีประชากรประมาณ 5,380,000 คน คิดเป็น 4.2% ของประชากรทั้งหมดของญี่ปุ่น มากเป็นอันดับ 8 ของประเทศ แต่กลับมีความหนาแน่นของประชากรอยู่ที่ 69 คนต่อตารางกิโลเมตร ซึ่งเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นแล้วนับว่าต่ำที่สุด นอกจากนี้ พื้นที่กว่า 70% ของฮอกไกโดเป็นป่าไม้ โดยคิดได้เป็นป่าประมาณ 1 เฮกตาร์ต่อประชากรฮอกไกโด 1 คนเลยทีเดียว
แม้ว่าฮอกไกโดจะกว้างขวางมาก แต่ระยะทางจากเมืองวักกะไน (เหนือสุดของฮอกไกโด) ไปจนถึงเมืองฮาโกดาเตะ (ใต้สุด) ก็มีเพียงประมาณ 630 กิโลเมตรเท่านั้น เป็นระยะทางเกือบเท่ากับจากโตเกียวไปโอคายาม่า ส่วนจากท่าเรือมัตสึมาเอะทางตะวันตกไปแหลมชิเรโทโกะทางตะวันออกจะห่างกันประมาณ 500 กิโลเมตร หากทราบระยะคร่าวๆ ระหว่างเมืองต่างๆ ไว้ ก็จะวางแผนท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น
เนื่องจากเกือบทั้งหมดของฮอกไกโดมีภูมิอากาศแบบกึ่งอาร์กติก จึงมีอุณหภูมิต่ำตลอดปี ในช่วงพีคของฤดูหนาวมักมีอุณหภูมิติดลบแม้แต่ในตอนกลางวัน มีอุณหภูมิต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ -20 องศา ทั้งยังขึ้นชื่อเรื่องความโหดร้ายของฤดูหนาว แต่ในทางกลับกันก็ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากไต้ฝุ่นและพายุหมุนเขตร้อนเพราะตั้งอยู่บนละติจูดสูง และมีอากาศเย็นสบายในหน้าร้อน
ในฮอกไกโดแทบจะไม่มีวันที่อุณหภูมิเกิน 30 องศาหรือค่ำคืนที่ร้อนเกิน 25 องศาเลย
หากศึกษาสภาพอากาศและเตรียมตัวไว้ก่อน ก็จะเที่ยวฮอกไกโดได้สบายขึ้นแน่นอน
การแบ่งเขตของฮอกไกโด
โดโฮคุ (道北)
ตั้งอยู่ทางเหนือของฮอกไกโด ขนาบข้างด้วยทะเลญี่ปุ่นและทะเลโอค็อตสค์ อุดมไปด้วยธรรมชาติอันสวยงาม
จุดท่องเที่ยวยอดนิยมก็จะเป็นจุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นอย่างแหลมโซมิยะ, อุทยานแห่งชาติริชิริเรบุงซาโรเบ็ตสึ, อุทยานแห่งชาติไดเซ็ตสึซัง, และบิเอ ที่โด่งดังจากทุ่งดอกไม้สีสดใสและทิวทัศน์ชนบทอันยิ่งใหญ่
โดโอ (道央)
อาณาเขตกว้างใหญ่ที่ครองพื้นที่กว่า 30% ของฮอกไกโด มีจุดท่องเที่ยวหลักๆ เป็นเมืองซัปโปโร ที่เป็นเหมือนศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของฮอกไกโด และโอตารุ เมืองท่าที่เป็นศูนย์กลางการพัฒนา ทั้งยังโด่งดังจากย่านรีสอร์ทอย่างนิเซโกะ และทะเลสาบโทยะ
นอกจากนี้ เขตนี้ยังเป็นที่ตั้งของสนามบินชินจิโตเสะ ที่เป็นด่านหน้าไปสู่ฮอกไกโดอีกด้วย
โดโท (道東)
ประกอบไปด้วยย่านโอค็อตสค์ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของฮอกไกโด, ย่านโทคาจิ ที่เกษตรกรรมขนาดใหญ่เฟื่องฟู, และย่านคุชิโระ เนมุโร ที่มีทะเลสาบฟูเรน, ทะเลสาบอะคัง, และพื้นที่ชุ่มน้ำคุชิโระ เป็นเขตที่อุดมไปด้วยทิวทัศน์ธรรมชาติมากมาย เช่นชิเรโทโกะที่เป็นแหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติ, ธารน้ำแข็งของทะเลโอค็อตสค์, และสัตว์ป่ามากหน้าหลายตา
โดนัน (道南)
เป็นด่านหน้าทางทะเลของฮอกไกโดที่รุ่งเรืองจากการค้าขายกับเกาะหลักญี่ปุ่นมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่สมัยที่ฮอกไกโดยังถูกเรียกว่า "เอโซจิ (蝦夷地)" และวัฒนธรรมของชนพื้นเมืองไอนุยังรุ่งเรือง เขตนี้มีสิ่งน่าสนใจมากมาย อย่างฮาโกดาเตะ ท่าการค้านานาชาติแห่งแรกๆ ของญี่ปุ่นที่เฟื่องฟูไม่แพ้โยโกฮาม่าและนางาซากิ, หรือโกะเรียวคาคุ ซึ่งเป็นจุดที่เกิดความวุ่นวายในยุคบาคุมัตสึช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19
[ประวัติศาสตร์ของฮอกไกโด] รู้ไว้ยิ่งเที่ยวสนุก!
คาดกันว่ามนุษย์เริ่มเข้ามาอาศัยอยู่ในฮอกไกโดในช่วงยุคน้ำแข็งเมื่อประมาณ 20,000 ปีที่แล้ว แถบฮอกไกโดมีอากาศหนาวเย็นจึงไม่มีวัฒนธรรมการเกษตรแบบเกาะหลักญี่ปุ่น แต่ก็มีวัฒนธรรมโจมงที่เน้นการล่าสัตว์และหาปลาที่เฟื่องฟูมาจนถึงประมาณ 2,000 ปีที่แล้ว
"ฮอกไกโด" เป็นชื่อที่รัฐบาลเมจิตั้งขึ้นในปี 1869 ก่อนหน้านั้นฮอกไกโดถูกเรียกว่า "เอโซจิ" และผู้อาศัยส่วนใหญ่เป็นชนเผ่าไอนุ ชนเผ่านี้ใช้ชีวิตด้วยการล่าสัตว์ และมีวัฒนธรรมที่รุ่งเรืองมากในช่วงศตวรรษที่ 13 ไปจนถึงปลายศตวรรษที่ 19
ชื่อสถานที่หลายแห่งในฮอกไกโดที่มีรากฐานจากภาษาไอนุ อย่างซัปโปโรและโทมาโกะไม ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน
จนกระทั่งศตวรรษที่ 13 วะจินหรือคนญี่ปุ่นอีกกลุ่มหนึ่งได้ขยับขยายจากเกาะหลักญี่ปุ่นเข้ามาทางภาคใต้ของฮอกไกโด และเริ่มเข้ามาอยู่อาศัยอย่างเป็นทางการเมื่อรัฐบาลเมจิก่อตั้งไคทาคุชิ (開拓使 / หน่วยงานบุกเบิกฮอกไกโด) และทนเดนเฮ (屯田兵 / ทหารบุกเบิกฮอกไกโด) เริ่มบุกเบิกฮอกไกโดเมื่อปี 1869
สำเนียงและวัฒนธรรมที่หลากหลายของผู้ย้ายถิ่นฐานจากที่ต่างๆ ได้ผสมผสานออกมาเป็นสำเนียงและวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของฮอกไกโด อีกด้านหนึ่ง นโยบายบุกเบิกและหลอมรวมของรัฐบาลเมจิส่งผลให้ชนเผ่าไอนุถูกแย่งชิงพื้นที่ สูญเสียวัฒนธรรมและประเพณี รวมถึงมีประชากรลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม ในช่วงปีหลังๆ นี้ ภาษาและวัฒนธรรมไอนุก็ได้รับความสนใจมากขึ้น นักท่องเที่ยวที่เดินทางมาชมสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับชนเผ่าไอนุก็มีมากขึ้นเช่นกัน
[สภาพอากาศฮอกไกโด] หิมะตกครึ่งปีเลย!?
ฮอกไกโดมีอุณหภูมิต่ำตลอดปี ฤดูร้อนสั้น ฤดูหนาวยาว ทั้งยังมีจุดเด่นคือไม่มีหน้าฝน และมีไต้ฝุ่นน้อยกว่าพื้นที่อื่นๆ ของญี่ปุ่น
หากลองมองฮอกไกโดอย่างกว้างๆ จะพบว่าฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกมักจะมีหิมะน้อย ส่วนฝั่งทะเลญี่ปุ่นจะมีหิมะมาก
ส่วนถ้ามองเป็นแต่ละพื้นที่จะเห็นว่าแถบโดนันมีอุณหภูมิค่อนข้างอบอุ่นตลอดปี ในขณะที่โดโทและโดโฮคุมีอุณหภูมิต่ำตลอดปี
แม้ว่าจะอยู่ในฮอกไกโดเหมือนกัน ทว่าแต่ละพื้นที่มีลักษณะแตกต่างกันมาก หากต้องการท่องเที่ยวในหลายพื้นที่จึงควรเช็คพยากรณ์อากาศไว้ล่วงหน้า รวมถึงเตรียมเสื้อคลุมหรือผ้าคลุมไหล่ไว้เผื่อด้วย
โดยแต่ละฤดูก็มีจุดเด่นดังต่อไปนี้
ฤดูใบไม้ผลิ (มีนาคม - พฤษภาคม)
เกือบทุกพื้นที่ของญี่ปุ่นจะเริ่มมีซากุระบานให้เห็นในเดือนมีนาคม และเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอย่างแท้จริงในเดือนเมษายน แต่ในแถบฮอกไกโดโดยทั่วไปจะเริ่มมีซากุระให้เห็นตอนเดือนพฤษภาคม เนื่องจากช่วงปลายเดือนเมษายนอากาศจะยังหนาวอยู่
โดยอุณหภูมิเฉลี่ยในช่วงนั้นของซัปโปโรจะอยู่ที่ 7.1 องศา และของอาซาฮิคาวะที่ไม่ได้อยู่ติดทะเลจะยู่ที่ 5.6 องศา ต่างกับโตเกียวที่มีอุณหภูมิเฉลี่ยช่วงเมษายนอยู่ที่ 13.9 องศาเท่านั้น
ส่วนด้านปริมาณน้ำฝน ซัปโปโรจะอยู่ที่ 56.8 มิลลิเมตร และอาซาฮิคาวะ 64.8 มิลลิเมตร ในขณะที่โตเกียวที่มีปริมาณน้ำฝนช่วงเมษายนอยู่ที่ 124.5 เรียกได้ว่าต่างกันเกือบครึ่งเลยทีเดียว
ดอกไม้ที่สามารถชมได้ในฤดูใบไม้ผลิของฮอกไกโดก็มีมิซุบาโช (เมษายน - พฤษภาคม), ซากุระ (พฤษภาคม), และชิบะซากุระ (พฤษภาคม)
ฤดูร้อน (มิถุนายน - สิงหาคม)
ฮอกไกโดต่างจากเกาะหลักญี่ปุ่นตรงที่ไม่มีช่วงหน้าฝนที่อากาศจะร้อนอบอ้าว ฤดูร้อนของที่นี่จึงอยู่สบายมาก โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยเดือนกรกฎาคมอยู่ที่ 20 องศา ในขณะที่ของโตเกียวอยู่ที่ 25 องศา ที่ฮอกไกโดในบางวันอาจมีอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาในช่วงเช้าและค่ำ อาจทำให้รู้สึกหนาวเลยด้วยซ้ำไป
โดยปกติจะแทบไม่มีวันที่ร้อนกว่า 30 องศา แต่ในช่วงปีหลังๆ สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงและภาวะโลกร้อนก็มีผลให้ฮอกไกโดมีแนวโน้มที่จะร้อนขึ้นเช่นกัน
ในส่วนของปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคม ของโตเกียวจะอยู่ที่ 135.5 มิลลิเมตร ในขณะที่ซัปโปโรอยู่ที่ 81.0 มิลลิเมตร และอาซาฮิคาวะอยู่ที่ 108.7 มิลลิเมตร
แม้ว่าฤดูร้อนของฮอกไกโดจะสั้น ในช่วงมิถุนายนถึงสิงหาคมก็จะมีดอกไม้หลากหลายพันธุ์เบ่งบานให้เห็นพร้อมๆ กัน ถือว่าเป็นฤดูที่ดีที่สุดในการเที่ยวสัมผัสกิจกรรมมากมายท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ของฮอกไกโดเลยทีเดียว
ดอกไม้ที่หาชมได้ในฮอกไกโดช่วงฤดูร้อนก็เช่นไลลักและฮัสคัป (มิถุนายน), ลาเวนเดอร์ (กรกฎาคม), และทานตะวัน (สิงหาคม)
ฤดูใบไม้ร่วง (กันยายน - พฤศจิกายน)
ฮอกไกโดจะมีอุณหภูมิลดลงอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงและลากยาวไปจนถึงฤดูหนาว อากาศช่วงกลางวันกับช่วงเช้าและค่ำก็จะต่างกันมากขึ้น อุณหภูมิอาจลงต่ำถึงติดลบได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน
ฤดูใบไม้ร่วงของฮอกไกโดเป็นฤดูที่มีท้องฟ้าแจ่มใสบ่อยถัดจากฤดูใบไม้ผลิ แต่ในเดือนกันยายนอาจมีฝนตกหนัก ถือเป็นช่วงที่มีปริมาณน้ำฝนมากที่สุดของปี
อุณหภูมิเฉลี่ยช่วงตุลาคมของซัปโปโรจะอยู่ที่ 11.8 องศา อาซาฮิคาวะจะอยู่ที่ 9.2 องศา ส่วนฝั่งโตเกียว 17.5 องศา และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยของซัปโปโรและอาซาฮิคาวะจะอยู่ที่ 108.7 และ 104.3 มิลลิเมตรตามลำดับ ในขณะที่โตเกียวมีปริมาณน้ำฝน 197.8 มิลลิเมตร
หากไปเที่ยวฮอกไกโดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงก็ขอแนะนำให้พกร่มพับและอุปกรณ์กันหนาวไปด้วย
ดอกไม้ในแถบนี้จะมีให้ชมถึงประมาณต้นตุลาคม โดยดอกที่บานในฤดูใบไม้ร่วงก็เช่น กุหลาบ, ลูพินนัส, แมรี่โกลด์, และคอสมอส (ทุกอย่างบานถึงประมาณต้นตุลาคม)
ฤดูหนาว (ธันวาคม - กุมภาพันธ์)
ฤดูหนาวของฮอกไกโดนั้นยาวนานและโหดร้าย ตั้งแต่ธันวาคมถึงมีนาคมทุกพื้นที่จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยต่อเดือนต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง
ปกติแล้วซัปโปโรจะมีหิมะแรกให้เห็นในเดือนพฤศจิกายน และจะจัดเทศกาลหิมะซัปโปโร (さっぽろ雪まつり) ขึ้นตอนประมาณปลายมกราคมถึงต้นกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงที่มีหิมะหนาแน่นที่สุด แม้แต่ใจกลางเมืองซัปโปโรก็อาจมีหิมะทับถมได้ถึง 70 - 80 ซม. และจะมากขึ้นไปอีกในโซนที่เป็นภูเขา
ในช่วงปลายพฤศจิกายนถึงต้นธันวาคม ลานสกีจะเริ่มเปิดให้บริการ โดยฝั่งทะเลญี่ปุ่นจะมีปริมาณหิมะทับถมมากกว่าฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก ในช่วงนี้กลางวันจะยาวนานและมีวันที่อากาศแจ่มใสเยอะ ในฝั่งโอค็อตสค์อาจมีพายุหิมะเกิดขึ้นได้
*อ้างอิงปริมาณน้ำฝนและอุณหภูมิเฉลี่ย: กรมอุตุนิยมวิทยา (ค่าเฉลี่ยปี 1981 - 2010)
บทความที่เกี่ยวข้อง: สภาพอากาศตลอดปีของฮอกไกโด
วิธีเดินทางจากโตเกียว
[เครื่องบิน] วิธีที่ง่ายและรวดเร็วที่สุด
ฮอกไกโดมีสนามบินอยู่กว่า 10 แห่ง สนามบินที่ใหญ่ที่สุดและถูกกล่าวว่าเป็นด่านหน้าทางอากาศของฮอกไกโดก็คือ สนามบินชินชิโตเสะ (新千歳空港) ซึ่งมีเครื่องบินจากสนามบินฮาเนดะมาลงจอดกว่า 50 ลำในแต่ละวัน ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินฮาเนดะประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่าตั๋วอยู่ที่ราว 7,000 - 38,000 เยนสำหรับที่นั่งปกติ หรือหากเลือกเดินทางมาจากสนามบินนาริตะก็จะมีสายการบินราคาประหยัดที่มีราคาเริ่มต้นเพียง 4,000 เยนให้เลือกใช้บริการด้วย
นอกจากสายการบินภายในประเทศแล้ว สนามบินชินชิโตเสะยังให้บริการสายการบินนานาชาติมากมาย เป็นสนามบินที่มีผู้ใช้บริการรายปี (ปี 2019) มากเป็นอันดับ 5 ของญี่ปุ่น ภายในสนามบินมีทั้งศูนย์การค้า ร้านอาหาร ไปจนถึงธีมปาร์คและออนเซ็นอยู่ด้วย ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มีอะไรทำระหว่างรอขึ้นเครื่อง
ถึงแม้ว่าระยะไฟลท์จะสั้น แต่การเดินทางโดยเครื่องบินมักจะต้องใช้เวลาในการฝากสัมภาระและการเดินเรื่องต่างๆ จึงควรเผื่อเวลาไว้สักหน่อยด้วย
[ชินคันเซ็น] สำหรับใครที่ชอบเดินทางชิลล์ๆ
ฮอกไกโดชินคันเซ็น (北海道新幹線) เริ่มให้บริการในเดือนมีนาคมปี 2019 จึงสามารถนั่งรถไฟตรงจากสถานีโตเกียวมายังสถานีชินฮาโกดาเตะโฮคุโตะ ของฮอกไกโดได้เลย โดยออกวิ่ง 10 รอบต่อวัน มีค่าโดยสารอยู่ที่ 22,690 เยน สำหรับที่นั่งธรรมดา
การเดินทางโดยชินคันเซ็นจะใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง แม้จะนานกว่าเครื่องบินมาก แต่ก็ไม่ต้องห่วงว่าจะเกิดการดีเลย์หรือยกเลิกเที่ยวบินจากสภาพอากาศ เรียกว่าเป็นวิธีเดินทางที่แน่นอนที่สุดก็ว่าได้
จากหน้าต่างรถไฟจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์ธรรมชาติสวยๆ อย่างวิวของเขตโทโฮคุได้ เหมาะมากสำหรับใครที่ต้องการใช้เวลาระหว่างเดินทางให้คุ้มค่า ยิ่งถ้าซื้อข้าวกล่องสูตรท้องถิ่นจากสถานีโตเกียวหรือฮาโกดาเตะไปทานบนรถไฟก็จะยิ่งได้สัมผัสความพิเศษของการเดินทางด้วยชินคันเซ็นที่หาไม่ได้ในการเดินทางแบบอื่นๆ
ส่งท้าย
ฮอกไกโดนั้นกว้างใหญ่ มีรูปแบบธรรมชาติและสภาพอากาศต่างกันไปตามพื้นที่จึงมีกิจกรรมหลากหลายให้เราได้ไปเพลิดเพลิน แต่ละพื้นที่ก็เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยวที่มีเสน่ห์มากมาย จะเดินสายไปทั่วและสนุกไปกับความแตกต่าง หรือจะเที่ยวพื้นที่เดียวให้ครบทุกซอกทุกมุมก็ย่อมได้!
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่