ดื่มด่ำธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ของฟุคุชิมะ เก็บผลไม้ นั่งเรือ เดินชมป่าหิมะ และสัมผัสประสบการณ์ตื่นเต้น
ฟุคุชิมะเป็นจังหวัดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 ของญี่ปุ่น เป็นบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยธรรมชาติหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นภูเขา ที่ราบสูง ทะเลสาบ หรือทะเล ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจมนต์เสน่ห์ของฟุคุชิมะในฤดูใบไม้ผลิและฤดูหนาว ผ่านกิจกรรมสัมผัสธรรมชาติ 5 อย่าง ได้แก่ เก็บผลไม้ นั่งเรือสำรวจหมู่บ้านร้าง นั่งดริฟต์แท็กซี่ เดินลุยหิมะ และขับสโนว์โมบิล พลาดไม่ได้อย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนเที่ยวฟุคุชิมะ
* บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมผลิตภัณฑ์และการท่องเที่ยวจังหวัดฟุคุชิมะ
ฟุคุชิมะ
เมื่อพูดถึงฟุคุชิมะ บางคนอาจนึกถึงภัยพิบัติแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในภาคตะวันออกของญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 แต่เหตุการณ์ดังกล่าวก็ได้ล่วงเลยมาแล้วกว่า 10 ปี ปัจจุบันฟุคุชิมะได้ฟื้นตัวจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว และกลายมาเป็นจังหวัดที่มีมนต์เสน่ห์มากมายรอคอยให้คุณไปสัมผัส ยกตัวอย่างเช่น ธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทิวทัศน์สวยๆ อาหารอร่อย และวัฒนธรรมพื้นเมืองที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว
จังหวัดฟุคุชิมะตั้งอยู่ในภาคใต้ของภูมิภาคโทโฮคุ ห่างจากโตเกียวไปทางทิศเหนือประมาณ 200 กิโลเมตร เป็นจังหวัดที่ใหญ่เป็นอันดับ 3 รองมาจากฮอกไกโดและอิวาเตะ เทือกเขาที่ทอดตัวอยู่ทางเหนือลงใต้ได้แบ่งจังหวัดนี้ออกเป็น 3 ภูมิภาค ได้แก่ นาคาโดริ (中通り), ไอสึ (会津), และฮามาโดริ (浜通り) 3 ภูมิภาคนี้นอกจากจะมีสภาพภูมิประเทศที่ต่างกันแล้ว ภูมิอากาศ เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สำเนียง และลักษณะเด่นประจำท้องถิ่นก็ยังแตกต่างกันด้วย นาคาโดริมีอากาศอบอุ่น อุดมไปด้วยธรรมชาติ มีผลไม้อร่อยๆ อย่างพีช องุ่น และแอปเปิลอยู่มากมาย ไอสุเป็นบริเวณที่มีสถานที่ชื่อดังหลายแห่ง เช่น ทะเลสาบอินาวาชิโระ (猪苗代湖), ที่ราบสูงบันได (磐梯高原), โออุจิจุคุ (大内宿), และปราสาทสึรุงะโจ (鶴ヶ城) ในขณะที่ฮามาโดริเป็นพื้นที่ใกล้กับทะเล และมีชื่อเสียงจากเมนูอาหารทะเลสดใหม่
ในครั้งนี้เราได้เข้าพักในสถานที่ 4 แห่ง ได้แก่ เมืองฟุคุชิมะ (福島市) และเมืองนิฮงมัตสึ (二本松市) ในภูมิภาคนาคาโดริ มิชิมะโจ (三島町) และอุระบันได (裏磐梯) ในภูมิภาคไอสึ ถึงจะอยู่ในจังหวัดฟุคุชิมะเหมือนกัน แต่ละแห่งก็มีเอกลักษณ์ที่ต่างกัน สามารถสนุกไปกับกิจกรรมทางธรรมชาติที่ไม่มีให้สัมผัสในภูมิภาคอื่นๆ นอกจากการชมทิวทัศน์ด้วยตาแล้ว ไกด์ท้องถิ่นยังได้พาเราไปสัมผัสธรรมชาติ สนุกกับมนต์เสน่ห์เฉพาะตัวของแต่ละพื้นที่ และเดินเล่นท่ามกลางทิวทัศน์สวยๆ ที่หาชมได้ยากในชีวิตประจำวัน
การเดินทางไปฟุคุชิมะ
จากต่างประเทศ
ในปัจจุบันสนามบินฟุคุชิมะ (福島空港) ไม่รองรับเที่ยวบินสายตรงจากต่างประเทศ วิธีเดินทางที่เราขอแนะนำก็คือ บินไปลงที่สนามบินนานาชาติเซนได (仙台国際空港) หรือสนามบินนานาชาตินาริตะ (成田国際空港) แล้วต่อรถไฟ ชินคันเซ็น หรือรถเช่าไปยังฟุคุชิมะ
จากโตเกียว
หากนั่งชินคันเซ็นคุณจะสามารถเดินทางจากโตเกียวไปสถานี Fukushima (福島駅) โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หลังจากนั้นก็สามารถเดินทางต่อไปภูมิภาคอื่นๆ ของฟุคุชิมะได้ด้วย อีกตัวเลือกหนึ่งคือ นั่งรถไฟ Tobu Railway (東武鉄道) สายด่วน Revaty (特急リバティ) ประมาณ 3 ชั่วโมง 10 นาทีจากสถานี Asakusa (浅草駅) ไปลงที่สถานี Aizutajima (会津田島駅) แล้วต่อรถไฟ Aizu Railway (会津鉄道) ไปจุดหมายที่คุณต้องการ
● เว็บไซต์ทางการของ FUKUSHIMA TRAVEL
https://fukushima.travel/ (ภาษาอังกฤษ)
https://welovefukushima.com/ (ภาษาไทย)
● ทัวร์อื่นๆ ในฟุคุชิมะ
https://fukushima.travel/tours/ (ภาษาอังกฤษ)
สัมผัสธรรมชาติที่สวยงามของฟุคุชิมะ
เก็บผลไม้ตามฤดูกาลที่ Marusei Kajuen (まるせい果樹園)
จังหวัดฟุคุชิมะที่กินพื้นที่กว้างขวางนี้มีภูมิอากาศและลักษณะเด่นทางธรรมชาติที่หลากหลาย ส่งผลให้มีของกินอร่อยๆ อยู่อย่างหลากหลาย หนึ่งในนั้นก็คือผลไม้หวานๆ ชุ่มฉ่ำ เป็นสิ่งที่ไม่ควรพลาดอย่างยิ่งหากมีโอกาสได้มาฟุคุชิมะ คุณจะได้ลิ้มรสผลไม้ที่แตกต่างไปตามฤดูกาล ช่วงฤดูหนาวไปจึงต้นฤดูใบไม้ผลิจะมีสตรอว์เบอร์รี่ ช่วงกลางฤดูร้อนจะมีเชอร์รี่และพีช ส่วนช่วงฤดูใบไม้ร่วงที่ถูกเรียกว่า "ฤดูแห่งความยากอาหาร" ก็จะมีลูกแพร์ญี่ปุ่น องุ่น และแอปเปิล ด้วยเหตุนี้เอง ฟุคุชิมะจึงเป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า "อาณาจักรแห่งผลไม้"
ในช่วงเช้าของฤดูใบไม้ร่วงที่มีอากาศสบายๆ เราได้เดินทางไปที่ Marusei Kajuen ในอีซากะออนเซ็น (飯坂温泉) ของเมืองฟุคุชิมะ เป็นสวนและร้านขายผลไม้ที่มีพื้นที่ราว 8 เฮกตาร์ มีผลไม้หลากหลายชนิดให้ลิ้มลองตามแต่ละฤดูกาล เช่น พีช แพร์ญี่ปุ่น แอปเปิล องุ่น และพลับญี่ปุ่น เราได้แวะไปในช่วงฤดูแอปเปิลพอดี ไกด์ของเราจึงแนะนำให้เราเข้าร่วมบุฟเฟต์แอปเปิล (จำกัดเวลา 30 นาที) นอกจากจะได้เด็ดแอปเปิลจากต้นแล้ว ยังมีจำนวนมากจนไม่ต้องห่วงว่าจะหมด และสามารถรับประทานได้ตรงนั้นเลยอีกด้วย
เริ่มแรกพนักงานของสวนจะอธิบายวิธีเด็ดให้กับเราอย่างเป็นกันเอง จากนั้นก็ถึงตาที่เราจะได้เด็ดแอปเปิลด้วยตัวเอง ใช้ฝ่ามือรองก้นของแอปเปิลไว้เบาๆ จับให้แน่น แล้วค่อยๆ บิดขึ้นด้านบน แค่นี้แอปเปิลก็จะหลุดออกมาง่ายๆ อย่างไม่น่าเชื่อ นอกจากนี้ พนักงานของสวนก็ยังบอกเคล็ดลับในการเก็บแอปเปิลอร่อยๆ ให้กับเราอีกด้วย แอปเปิลที่อยู่ส่วนบนของต้นจะได้แสงมากกว่า จึงมีรสหวานและสารอาหารมาก อย่างไรก็ตาม มีอยู่จุดหนึ่งที่ต้องระวังไว้คือ อย่าสัมผัสหน่อของแอปเปิลที่ยังละเอียดอ่อนอยู่ ในปีหน้าจะมีแอปเปิลอร่อยๆ ออกผลหรือไม่นั้น ทุกอย่างขึ้นอยู่กับหน่อที่ว่าเลยทีเดียว
แอปเปิลที่ปลูกใน Marusei Kajuen นั้นไม่ได้มีเพียงสายพันธุ์เดียว ไกด์ของเราและพนักงานของสวนได้พาเราไปศึกษาแอปเปิลที่แตกต่างกันภายในสวน และเรียนรู้ความแตกต่างของมันผ่านการลองชิม ในวันนั้นเราได้ลองแอปเปิลหลากหลายสายพันธุ์ เช่น Shinano Gold (シナノゴールド) ที่ชุ่มฉ่ำและมีรสหวานและเปรี้ยวอย่างลงตัว, Kogyoku (紅玉) ที่ค่อนข้างเปรี้ยวและมีเนื้อสีแดง, Orin (王林) ที่มีสีเหลืองอมเขียวและให้รสชาติชื่นใจ, Yoko (陽光) ที่ค่อนข้างหวาน เปรี้ยวอ่อนๆ และมีเนื้อแน่น, และ Mori no Kagayaki (森の輝き) ที่มีเสน่ห์เป็นรสสัมผัสกรุบกรอบ
แอปเปิลแต่ละสายพันธุ์มีขนาด หน้าตา สี และรสชาติที่ต่างกัน ในระหว่างที่ลองรับประทาน เราได้ออกความเห็นกันอย่างสนุกสนาน สายพันธุ์ที่ผู้เขียนชอบที่สุดคือ Shinano Gold ที่มีความสมดุลระหว่างรสหวานและรสเปรี้ยว หลังจากเด็ดแอปเปิลเสร็จแล้ว เราได้แวะไปที่ Noka Cafe Mori no Garden (農家カフェ森のガーデン) เพื่อรับประทานของหวาน เป็นคาเฟ่ที่ Marusei Kajuen บริหารโดยตรง วางจำหน่ายของหวานโฮมเมดจากผลไม้ โดยมีกาแฟและเครื่องดื่มต่างๆ ให้เพลิดเพลินไปพร้อมๆ กัน
เราได้ลองสั่งพาเฟต์ 4 ชนิด ได้แก่ ไชน์มัสคัส องุ่น พลับญี่ปุ่น และแบบพิเศษ เมื่อของหวานมาเสิร์ฟ พาเฟต์องุ่นและพลับญี่ปุ่นนั้นดูโดดเด่นเป็นพิเศษจากเนื้อผลไม้ที่โปะมาอย่างเต็มที่ ดูหรูหราอย่างที่ไม่ค่อยมีให้เห็นตามตัวเมือง ตัวผลไม้ก็อร่อย และน่าถ่ายรูปมากๆ ด้วย นอกจากนี้ เรายังได้สั่งสมูทตี้ เฟรนซ์โทสต์ และ Marusei Fruit Sandwich Box (まるせいフルーツサンドボックス) ไม่ว่าจะเป็นเมนูไหนก็มาพร้อมกับผลไม้หวานๆ มากมาย เช่น แอปเปิล องุ่น และพีช เป็นเมนูเดี่ยวที่มีปริมาณอิ่มท้องมาก
ข้ามช่องแคบมุเกนเคียวและสำรวจหมู่บ้านร้าง
ฟุคุชิมะมีทิวทัศน์โบราณที่ยังไม่ถูกแทรกแซงโดยฝีมือมนุษย์อยู่มากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ ช่องแคบมุเกนเคียว (霧幻峡) ที่อยู่ใกล้ๆ กับฮายาโตะออนเซ็น (早戸温泉) ในส่วนในของจังหวัดฟุคุชิมะ เป็นบริเวณที่เรียงรายไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ มีแม่น้ำที่สะท้อนแสงระยิบระยับ ในช่วงเช้ามืดและหัวค่ำของฤดูร้อนจะมีหมอกปกคลุม เกิดเป็นทิวทัศน์ราวกับฝันที่เหมือนกับดินแดนของเหล่านักพรต จึงเป็นที่มาของชื่อ "เกนมุเคียว" ที่แปลว่า "ช่องแคบหมอกหลวงตา" ส่วนในฤดูใบไม้ร่วงนั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยมีหมอกแต่ก็มีอากาศที่สดใส เป็นเสน่ห์อีกแบบหนึ่งที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน
เราได้แวะไปในช่วงที่ต้นไม้เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงอ่อนๆ และมีอากาศหนาวเล็กน้อย แม้จะไม่มีสีแดงสดเหมือนอย่างฤดูใบไม้เปลี่ยนสี แต่ก็มีนักท่องเที่ยวน้อย สามารถดื่มด่ำไปอย่างช้าๆ กับทิวทัศน์โบราณที่เงียบสงบและเสียงนกร้องที่ได้ยินจากทุกทิศทาง เราได้ลงเรือลำพายเล็กๆ ร่วมกับคนอีกจำนวนหนึ่ง และล่องแม่น้ำไปอย่างช้าๆ พลางฟังคนพายเรือเล่าเรื่องราวของพื้นที่แห่งนี้
เพียงพักเดียวเราก็มาถึงฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ ฝีพายได้พาเราไปเดินภายในหมู่บ้านร้างที่ในอดีตมีชื่อว่า ซันโคชูราคุ (三更集落) เมื่อ 300 ก่อน ไม่ว่าลมและฝนจะแรงแค่ไหน การพายเรือข้ามแม่น้ำก็เป็นวิธีการเดินทางเพียงตัวเลือกเดียวของคนในหมู่บ้าน โดยชื่อ "ซันโค" ที่แปลว่า "ครั้งที่สาม" นั้น ก็มีที่มาเนื่องจากได้ประสบภัยธรรมชาติอย่างดินถล่ม จนทำให้ต้องย้ายหมู่บ้านมาแล้วถึงสามครั้ง จนในที่สุดเมื่อปี 1964 ภูเขาด้านหลังก็เกิดดินถล่มขึ้น ทำให้หมู่บ้านถูกทิ้งร้างไปเป็นครั้งที่สี่ เหลือเพียงร่องรอยการใช้ชีวิตของชาวบ้านในยุคนั้นให้เราเห็นอยู่ในปัจจุบัน
นายเรือได้บอกกับเราว่า ตั้งแต่ปี 1953 หมู่บ้านนี้ได้เป็นแหล่งขุดกำมะถันปริมาณมหาศาล และได้เฟื่องฟูอย่างใหญ่โตอยู่ครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตาม เมื่อความต้องการกำมะถันลดน้อยลง และมีการนำเข้าจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น อุตสาหกรรมกำมะถันก็เริ่มมัวหมอง จนต้องปิดเหมืองไปในปี 1960 ทฤษฎีหนึ่งได้กล่าวว่า เมื่อเหมืองปิดกิจการลง น้ำปริมาณมหาศาลก็ค่อยๆ เข้าไปสะสมอยู่ในเหมือง ส่งผลในทางอ้อมให้เกิดดินถล่มจนทำให้ซันโคชูราคุต้องกลายเป็นหมู่บ้านร้าง นับแต่นั้นมา ที่นี่ก็กลายเป็นบริเวณที่ความสวยงามและความเปล่าเปลี่ยวพัวพันกันอย่างใกล้ชิด
แม้ว่าในตอนนี้ซันโคชุราคุจะไม่รุ่งเรืองเหมือนในอดีต แต่เรือข้ามฝากก็ได้ฟื้นตัวขึ้น ทำให้นักเดินทางและบุคคลภายนอกได้มีโอกาสรู้เรื่องราวของที่แห่งนี้ เราได้ข้ามภูเขาไปกับนายเรือ และแวะตามสถานที่ต่างๆ อย่าง ศาลเจ้าโอยามะ (大山神社), โคยาซุคันนง (子安観音) วัดของเจ้าแม่กวนอิมที่สร้างขึ้นพร้อมกับบ้านเรือนและตัวหมู่บ้าน, และ มุเกนจิโซ (霧幻地蔵) เทวรูปที่เป็นเหมือนกับสัญลักษณ์ของมุเกนเคียว โดยตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านและหันหน้าเข้าหาช่องเขาที่อยู่เบื้องล่าง การได้เดินเที่ยวชมพลางจิตนาการถึงทิวทัศน์ในอดีตของพื้นที่แห่งนี้
ก่อนจะนั่งเรือกลับ เราได้ชมทิวทัศน์จากฝั่งซันโคชูราคุอีกครั้ง ช่วยให้เรามองเห็นเกนมุเคียวในมุมที่แตกต่างออกไป ในครั้งนี้ ก่อนจะออกเดินทางเราไม่นึกฝันว่าทิวทัศน์ที่สวยงามและเงียบสงบจะแฝงไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าขนาดนี้ นอกจากนี้ยังมีสถานที่อีกมากมายที่อาจพลาดได้ง่ายๆ หากไม่มีการแนะนำของนายเรือ แม้เราจะไม่ได้ชมทิวทัศน์ที่น่าฉงนของหมอกลวงตา แต่ช่องแคบเกนมุเคียวก็ยังคงเป็นสถานที่ที่จะอยู่ในความทรงจำของเราไปอย่างยาวนาน
นั่งดริฟต์แท็กซี่ที่ Ebisu Circuit (エビスサーキット)
หากคุณเป็นคนชอบรถ ก็ต้องมีสักครั้งที่เคยได้ยินเกี่ยวกับอนิเมะยอดฮิตของญี่ปุ่นเรื่อง Initial D (イニシャルD) ซึ่งมีฉากที่ตัวเอกของเรื่องได้ซิ่งรถไปตามเขาร่วมกับนักขับคนอื่นๆ Ebisu Circuit ที่อยู่ในเมืองนิฮงมัตสึของจังหวัดฟุคุชิมะนั้น เป็นหนึ่งในสนามดริฟต์ที่โด่งดังเป็นอันดับต้นๆ ของโลก สร้างขึ้นโดย คุมาคุโบะ โนบุชิเงะ (熊久保信重) ผู้เป็นนักดริฟต์ระดับตำนานของญี่ปุ่น ภายในสนามมีถนนแข่งทั้งเล็กและใหญ่อยู่กว่า 10 สาย เป็นที่รู้จักในอีกชื่อหนึ่งว่า "แดนศักดิ์สิทธิ์ของการดริฟต์"
การดริฟต์ คือ เทคนิคการขับขั้นสูงที่ให้ล้อหลังไถลไปในขณะที่รถกำลังวิ่งอย่างรวดเร็ว นักขับที่เก่งๆ จะจงใจทำให้รถโอเวอร์ดริฟต์ จากนั้นจึงเหยียบเบรคเพื่อล็อคล้อ และทำให้รถไถลไปด้านข้างโดยใช้ประโยชน์จากแรงเฉื่อยต่างๆ อย่างแรงเหวี่ยงจากจุดศูนย์กลาง กิจกรรมที่เราจะแนะนำต่อไปนี้ เป็นกิจกรรมที่จะทำให้คุณได้สัมผัสกับเทคนิคการขับขั้นสูง แม้ไม่มีใบขับขี่หรือไม่เคยขับรถก็สามารถเข้าร่วมได้ Ebisu Circuit มีครูสอนการดริฟต์ระดับมืออาชีพอยู่หลายคน คุณจะได้นั่งรถดริฟต์ที่พวกเขาขับ และสนุกไปกับความสดชื่นและความตื่นเต้นของการดริฟต์อย่างปลอดภัย กลุ่มของผู้เขียนเองก็ได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวนี้ด้วย
พวกเราได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม จากนั้นจึงสวมหมวกกันน็อค และนั่งเบาะหลังกับเบาะข้างคนขับของรถที่หน้าตาเหมือนแท็กซี่ ซึ่งขับโดยครูสอนการดริฟต์ผู้มากไปด้วยประสบการณ์ ครูสอนดริฟต์ได้พาเราไปที่สนามฝึกหัดก่อนเพื่อให้เราชินกับความเร็วของการดริฟต์ แค่เขาถามว่า "พร้อมหรือยังครับ ?" เราก็เกร็งกันจนสุดตัวแล้ว วินาทีถัดมาคันเร่งก็ถูกเหยียบ ดีดตัวรถให้พุ่งไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างที่รถขับฝ่าลมไป ภายในรถก็ก้องไปด้วยเสียงลมที่ดังราวกับนกหวีด แม้ว่าผู้เขียนจะนั่งอยู่เบาะหลัง แต่ก็รู้สึกได้ถึงแรงเหวี่ยงที่มหาศาลราวกับรถกำลังลอยอยู่ เหมือนกับว่าอวัยวะภายในจะหลุดออกมาเลยทีเดียว
เมื่อฝึกได้ 2-3 รอบ เราก็เริ่มชินกับความสนุกจากการดริฟต์ ครูของเราจึงพาเราไปขับที่คอร์สจริง ในบรรดาคอร์สที่เราได้ลอง Kita Course (北コース) และ Toge Course (峠コース) เป็นคอร์สแบบวนรอบที่ซับซ้อนเป็นพิเศษ ความตื่นเต้นที่ได้รับก็เทียบกับสนามฝึกหัดไม่ได้เลย เส้นทางที่เมื่อสักครู่ยังดูตรงๆ อยู่ วินาทีถัดมาก็กลายเป็นทางโค้งใหญ่ที่สลับซับซ้อน สิ่งเดียวที่เราทำได้ก็คือปล่อยตัวไปกับความเร็วที่น่าเหลือเชื่อนี้
ครูของเราได้ควบคุมการส่ายและมุมของรถไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อล้อหลังดริฟต์ การเสียดสีกับพื้นถนนก็ทำให้เกิดควันสีขาวปริมาณมหาศาล เสียงเครื่องยนต์รถก็ดังอย่างไม่ขาดสาย สัมผัสได้ถึงความยอดเยี่ยมของทักษะการดริฟต์ระดับมืออาชีพ รู้สึกได้เลยว่าอะดรีนาลีนของเรากำลังพุ่งพล่านอยู่ สำหรับผู้ที่อยากสัมผัสความสดชื่นที่ทำให้หัวใจเต้นรัว ก็ไม่ควรพลาดที่จะลองนั่งดริฟต์แท็กซี่นี้ดูสักครั้ง!
สัมผัสประสบการณ์สโนว์ชูส์ที่โกชิคินุมะ (五色沼) ดินแดนที่น่าพิศวงของอุระบันได
ฤดูกาลได้เปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วงที่ส่องประกายสีทองมาเป็นฤดูหนาวที่ปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาวโพลน ภายใต้ความหนาวเย็นติดลบ 1 องศา เราได้สวมเสื้อโค้ทหนาๆ และเดินทางไปยังอุระบันไดที่อยู่ในภูมิภาคไอสึ ทางภาคเหนือของจังหวัดฟุคุชิมะ "อุระบันได" เป็นชื่อเล่นของ "ที่ราบสูงบันได" ซึ่งห้อมล้อมไปด้วยภูเขามากมาย เช่น ภูเขาบันได (磐梯山), ภูเขาอาดาทาระ (安達太良山), และภูเขาอาสึมะ (吾妻山) เป็นบริเวณที่สามารถเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์ที่แตกต่างไปตามฤดูกาล มีทั้งซากุระในฤดูใบไม้ผลิ แดดแรงๆ ในฤดูร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง และออนเซ็นกับลานสกีในฤดูหนาว
หนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาดของอุระบันไดคือ โกชิคินูมะ กลุ่มบึงน้อยใหญ่ที่รวมตัวอยู่ในลักษณะพื้นที่ลุ่มน้ำ ยกตัวอย่างเช่น บิชามอนนูมะ (毘沙門沼), อาคานูมะ (赤沼), ริวนูมะ (龍沼), เบนเทนนูมะ (弁天沼), รูรินูมะ (瑠璃沼), อาโอนูมะ (青沼), และยางินูมะ (柳沼) บึงเหล่านี้อัดแน่นไปด้วยแร่ธาตุที่แตกต่างกัน สีของมันจึงเปลี่ยนไปตามฤดูกาล อากาศ และมุมที่มอง ส่งผลให้คนในพื้นที่พากันเรียกมันว่า "โกชิคินุมะ" ซึ่งมีความหมายว่า "บึงห้าสี" กิจกรรมที่เราได้เข้าร่วมในครั้งนี้คือ การสวมสโนว์ชูส์ (รองเท้าลุยหิมะ) และเดินเที่ยวโกชิคินูมะโดยมีไกด์เป็นคนในท้องถิ่น
ทัวร์นี้กินเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง อันดับแรกเราได้เรียนรู้วิธีใช้สโนว์ชูส์และไม้ทิ่มหิมะ จากนั้นก็ได้ศึกษาเกี่ยวกับข้อควรระวังของการเดินด้วยสโนว์ชูส์ เช่น ก่อนที่จะยกเท้าเพื่อก้าวเดินบนทางที่มีหิมะ ต้องทำให้แน่ใจก่อนว่าฝ่าเท้าได้เหยียบติดพื้นแล้วจริงๆ เป็นเรื่องสำคัญมากที่จะช่วยให้เราล้มได้ยากขึ้น เราได้เรียงแถวโดยมีไกด์นำหน้าและออกเดินทางไปยังยางินูมะ ซึ่งเป็นบึงที่อยู่ใกล้ที่สุด
ในตอนแรกเราได้ก้าวเดินกันอย่างหวั่นๆ แต่ใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็เริ่มคุ้นเคยกับการเดินด้วยสโนว์ชูส์ ระหว่างทางเราได้ชมทิวทัศน์ของบึงและป่าสีเงินที่แผ่กว้างอยู่ไกลๆ ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายมาก ไกด์ของเราได้โยนคำถามมาให้เราเป็นครั้งคราว เช่น "ทำไมบางส่วนของบึงถึงไม่กลายเป็นน้ำแข็ง ?" โดยคำตอบก็มีอยู่ว่า ถึงเป็นบึงเดียวกันแต่ความแตกต่างของปฏิกิริยาใต้ดินก็ทำให้มีอุณหภูมิต่างกัน บริเวณที่ไม่กลายเป็นน้ำแข็งก็เพราะว่ามีด้านล่างมีปฏิกิริยาความร้อนใต้ดินที่ตื่นตัวอยู่
ไม่นานนักเราก็มาถึงอาโอนูมะ เป็นบึงที่มีสีฟ้าสดสมกับชื่อ (อาโอแปลว่าสีฟ้า) จากนั้นเราก็มาถึงรูรินูมะที่เป็นจุดหมายสุดท้าย ต่างกับอาโอนูมะ รูรินูมะมีสีฟ้าใสที่น่าพิศวง กล่าวกันว่าสีที่มองเห็นจะเปลี่ยนไปตามมุมที่มอง ช่วงเวลา และสภาพอากาศ แม้จะเป็นบึงเดียวกัน หากลองมองจากจุดชมวิวที่อยู่บนหน้าผา ก็จะเห็นเป็นสีฟ้าที่แตกต่างกัน
ปกติแล้วในช่วงฤดูใบไม้ผลิถึงฤดูใบไม้ร่วง เราจะสามารถเดินได้เฉพาะเส้นทางที่กำหนดไว้เท่านั้นเพื่อเป็นการปกป้องต้นไม้โดยรอบ แต่ในฤดูหนาวที่ทั่วบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยหิมะนั้น ต้นไม้ก็จะได้รับการปกป้องจากหิมะไปด้วย ส่งผลให้ไกด์สามารถพาเราออกไปเดินนอกเส้นทางได้ การเดินสโนว์ชูส์จึงไม่ใช่แค่การชื่นชมโลกสีเงินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แต่ยังได้ก้าวเข้าไปในบริเวณที่เวลาปกติไม่สามารถเข้าได้ เป็นความสนุกสนานที่หาไม่ได้ในฤดูกาลอื่นๆ
ในระหว่างทางจะมีการอธิบายของไกด์ ทำให้เราสามารถเดินได้อย่างปลอดภัยไร้กังวล ไกด์จะอธิบายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของบริเวณโดยรอบอย่างเป็นกันเอง ในบางครั้งก็จะตั้งคำถามสร้างความสนุกสนานให้กับเรา เช่น ให้เราทายว่ารอยเท้าบนหิมะเป็นของสัตว์อะไร หรือแม้กระทั่งรอยกรงเล็บของหมีบนต้นไม้ นอกจากนี้ ในบริเวณที่มีการยกระดับสูงต่ำ เราได้ทำตามคำแนะนำของไกด์ โดยย่อเข่า ยกขาขึ้น และลื่นลงเนินราวกับเป็นสไลเดอร์ เป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำและมีคุณค่ามากๆ
คงไม่มีอะไรดีกว่าการได้แช่ออนเซ็นหลังออกกำลังกาย เมื่อสัมผัสประสบการณ์สโนว์ชูส์เสร็จแล้ว เราขอแนะนำให้เข้าพักค้างคืนที่ Urabandai Lake Resort และแช่ออนเซ็นเพื่อเยียวยาความเหนื่อยล้า สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่ภายในอุทยานแห่งชาติบันไดอาซาฮิ (磐梯朝日国立公園) เป็นโรงแรมทิวทัศน์สวยที่ล้อมรอบด้วยภูเขาไอสึบันได (会津磐梯山) และทะเลสาบมากมาย เช่น ทะเลสาบฮิบาระ (槍原湖) และทะเลสาบโอโนงาวะ (小野川湖) ภายในอาคารมีคาเฟ่หรูหราที่ตกแต่งในโทนไม้ เสิร์ฟกาแฟ เค้กโฮมเมด และอาหารเบาๆ อย่างพาสต้าจากวัตถุดิบตามฤดูกาล เหมาะสำหรับแวะมารับประทานเพื่อรองท้องก่อนไปเดินสโนว์ชูส์
หนึ่งในไฮไลท์ของ Urabandai Lake Resort คือ ออนเซ็นสีน้ำตาลเข้มที่ปล่อยไหลมาจากต้นน้ำแบบ 100% เป็นออนเซ็นธรรมชาติที่ไม่มีการปรับอุณหภูมิเลยแม้แต่น้อย ไม่มีอะไรที่จะเยียวยาคุณได้ดีกว่าการแช่ออนเซ็นกลางอุ่นๆ ท่ามกลางอากาศที่หนาวเย็น พลางชมทิวทัศน์ของทะเลสาบฮิบาระที่แผ่กว้างอยู่เบื้องล่าง ในกรณีที่คุณอยากได้ของที่ระลึกของฟุคุชิมะ ก็สามารถซื้อขนมและสาเกท้องถิ่นของฟุคุชิมะได้ที่มุมจำหน่ายของฝากอีกด้วย
ขับสโนว์โมบิลท่ามกลางหิมะ
สำหรับผู้ที่อยากสนุกไปกับฤดูหนาวของฟุคุชิมะ นอกจากสโนว์ชูส์แล้ว สโนว์โมบิลที่น่าตื่นเต้นก็เป็นกิจกรรมที่เราขอแนะนำเช่นกัน แม้จะดูท้าทายแต่ก็เป็นหนึ่งในกีฬาฤดูหนาวที่หัดได้ง่ายมาก แม้แต่เด็กประถมก็สามารถเข้าร่วมได้ ในวันนั้นเราได้เดินทางไปภูเขาวาชิคุระ (鷲倉山) ในสึจิยุออนเซ็น (土湯温泉) ของเมืองฟุคุชิมะ ไกด์ท้องถิ่นของเราได้อธิบายเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของภูเขาวาชิคุระและที่ราบสูงวาชิคุระ (鷲倉高原) รวมถึงเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในท้องถิ่นให้เราฟัง เช่น สโนว์บอร์ดเก่าๆ ที่ไกด์ถืออยู่นั้นทำขึ้นจากไม้ยามากาตะ คนสมัยก่อนได้เดินทางไปมาบนหิมะด้วยบอร์ดแบบนี้ โดยพึ่งพาเพียงเซนส์การทรงตัวที่ยอดเยี่ยมของตัวเอง
จากนั้นเราได้เปลี่ยนมาใส่ชุดกันหิมะ หมวกกันน็อค และบูทลุยหิมะที่เช่ามา และขึ้นนั่งบนสโนว์โมบิลที่จอดรอเราอยู่ ไกด์ได้อธิบายให้เราฟังว่า คอร์สสโนว์โมบิลสำหรับคนทั่วไปจะเป็นคอร์สทุ่งกว้างของวาชิคุระ ซึ่งกว้างใหญ่และอยู่เหนือระดับน้ำทะเล 1,230 เมตร อย่างไรก็ตาม เนื่องจากวันที่เราไปนั้นมีอากาศอบอุ่น จึงมีหิมะทับถมไม่พอ ส่งผลให้ต้องย้ายไปคอร์สบนภูเขาแทน
สโนว์โมบิลที่เราขับในครั้งนี้เป็นแบบ 120 ซีซีและ 200 ซีซี ครูสอนขับได้สอนวิธีขับสโนว์โมบิลให้เราอย่างกระตือรือร้น แฮนด์ขวาคือเร่ง แฮนด์ซ้ายคือเบรค เวลาหยุดรถก็ต้องดับเครื่องด้วยเพื่อความปลอดภัย ผู้เขียนได้เลือกสโนว์โมบิลแบบ 200 ซีซี และรอแทบไม่ไหวที่จะได้ขับมันโลดแล่นไปบนหิมะ
เมื่อทุกคนเลือกสโนว์โมบิลเสร็จแล้ว เราก็ขึ้นคร่อมมันอย่างอดใจไม่อยู่ แล้วขับขึ้นเขาตามหลังครูของเราไป เมื่อเทียบกับสโนว์ชูส์แล้ว สโนว์โมบิลจะไวกว่ามาก และยังไม่ต้องออกแรงให้เหนื่อยด้วย เพียงแค่เร่งเครื่องก็สามารถเดินหน้าไปทางทิศที่ต้องการในระดับความเร็วที่เราชอบ ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ
ในตอนแรกเรายังขับไม่ค่อยถนัด แต่ครูของเราก็คอยระวังความปลอดภัยให้พวกเราเป็นอย่างดี ไม่นานนักเราก็มาถึงที่ราบที่เปิดกว้าง เราก็ตามหลังครูไปอย่างเช่นเคย เมื่อเร่งเครื่องไปบนทุ่งหิมะที่ราบเรียบ ก็รู้สึกถึงละอองหิมะและลมเย็นๆ ที่เข้ามากระทบแก้ม และสนุกไปกับความรู้สึกเหมือนตัวลอยเมื่อเจอกับเนินเล็กๆ
การขับสโนว์โมบิลครั้งแรกของเราเป็นประสบการณ์ที่สนุกสนานมาก นอกจากการขับเองแล้ว ครูของเรายังให้ซ้อนบนสโนว์โมบิลไซส์ใหญ่พิเศษ และขับขึ้นเนินที่สูงกว่าตัวเราหลายเท่า ทำให้รู้สึกถึงอะดรีนาลีนที่พุ่งพล่านถึงขีดสุด เป็นประสบการณ์ยอดเยี่ยมที่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากการขับเองอย่างสิ้นเชิง!
ส่งท้าย
ทิวทัศน์ที่สวยงามของฟุคุชิมะไม่ได้มีเพียงเท่านี้ หากจะแวะชมเฉยๆ ก็ดูไม่ค่อยคุ้มค่าสักเท่าไร ในครั้งนี้เราได้ให้ไกด์ท้องถิ่นพาไปเก็บผลไม้ในพื้นที่ สำรวจหมู่บ้านร้าง และสนุกกับกิจกรรมที่น่าตื่นเต้นมากมาย นอกจากธรรมชาติที่สวยงามแล้ว ปัจจัยทางวัฒนธรรมที่แฝงอยู่เบื้องหลังก็ช่วยให้เราเข้าใจมนต์เสน่ห์ของฟุคุชิมะได้ลึกซึ้งขึ้น หากคุณมีโอกาสได้มาฟุคุชิมะ ก็ไม่ควรพลาดที่จะลองสัมผัสธรรมชาติที่สวยงามของฟุคุชิมะ และสนุกไปกับแง่มุมใหม่ๆ ของจังหวัดนี้
บทความที่เกี่ยวข้อง: สัมผัสมนต์เสน่ห์ของงานฝีมือและสินค้าท้องถิ่นของฟุคุชิมะ
● บล็อกข้อมูลการท่องเที่ยวจังหวัดฟุคุชิมะ
https://fukushima.travel/blogs/ (ภาษาอังกฤษ)
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่