ชมทิวทัศน์สุดตระการตาใน 5 จังหวัดลับของญี่ปุ่น!
แม้ญี่ปุ่นจะเป็นเพียง "เกาะเล็กๆ” ที่มี 47 จังหวัด แต่ที่นี่ก็มีธรรมชาติอันหลากหลายและทิวทัศน์ที่สวยงามอยู่มากมาย ด้วยเหตุนี้ ทุกจังหวัดในญี่ปุ่นจึงมีความพิเศษรอคุณอยู่! คุณอาจจะเคยได้ยินเรื่องเทศกาลหิมะฮอกไกโด หรือหาดเขตร้อนอย่างโอกินาว่ามาบ้างแล้ว แต่หากพูดถึง "วังน้ำวนนารุโตะแห่งโทคุชิม่า" หรือ "นาขั้นบันไดแห่งจังหวัดโคจิ" ล่ะ เคยได้ยินไหม!? บทความนี้จะพาทุกคนไปชมสถานที่ท่องเที่ยวอันน่าประทับใจใน 5 จังหวัดลับของญี่ปุ่น (จังหวัดละ 2 แห่ง) นอกจากจะสวยแล้วยังมีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดอีกด้วย เหมาะกับยุคนี้สุดๆ ไปเลย!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
5 จังหวัดในญี่ปุ่นที่คุณอาจไม่เคยรู้จัก!
จริงอยู่ที่โตเกียว โอซาก้าและเกียวโตถือเป็นเมืองใหญ่น่าเที่ยวของญี่ปุ่น แต่หากคุณมาอ่านบทความนี้ก็แปลว่าคุณกำลังมองหาอะไรที่ต่างออกไปอยู่ใช่ไหม?
อะไรบางอย่างที่จะพาคุณออกไปจากเส้นทางเดิมๆ และทำให้มีเรื่องพิเศษๆ ไปเล่าให้เพื่อนๆ ฟัง จิตวิญญาณนักผจญภัยในตัวคุณมันกำลังเรียกร้องให้เดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก!
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการหลีกเลี่ยงสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตใหญ่ๆ และพื้นที่ดังๆ ก็เป็นความคิดที่เหมาะสำหรับช่วงเวลานี้มากๆ เราจึงอยากมาชวนคุณไปผจญภัยในดินแดนที่ไม่รู้จัก ณ 2 สถานที่ลับสุดพิเศษใน 5 จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดในญี่ปุ่นซึ่งได้แก่ ฟุคุอิ (Fukui), โคจิ (Kochi), ชิมาเนะ (Shimane), โทคุชิม่า (Tokushima), อาคิตะ (Akita)
จากรายงานขององค์การการท่องเที่ยวญี่ปุ่น (JNTO) จังหวัดเหล่านี้มีคนเที่ยวน้อยกว่า 0.3% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่มาเยือนญี่ปุ่นตลอดช่วงปี 2018 - 2019 ซึ่งถือว่าน้อยมากทีเดียว
จังหวัดฟุคุอิ - เชื่อมต่อกับจิตวิญญาณและตื่นตาไปกับธรรมชาติ
จังหวัดฟุคุอิ (Fukui) ตั้งอยู่ทางเหนือของเกียวโต สามารถเดินทางไปหากันได้ด้วยการนั่งรถไฟเพียง 1 ชั่วโมง เนื่องจากฟุคุอิอยู่ใกล้กับจังหวัดยอดนิยมอื่นๆ ของภูมิภาคคันไซ อย่างโอซาก้า เกียวโตและนารา จึงมักจะถูกมองข้าม ทำให้มันเป็นหนึ่งในจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดในญี่ปุ่น
แต่หากคุณได้ไปเยือนภูมิภาคคันไซแล้วล่ะก็ บอกเลยว่าการเที่ยวฟุคุอิแบบไปเช้า - เย็นกลับนี้ถือเป็นทริปที่คุ้มค่าสุดๆ เพราะที่นี่มีทั้งวิวทะเลแสนสวยและป่าอันเงียบสงบหลายแห่ง อย่างที่เราจะพาคุณไปชมกันในวันนี้!
วัดแสนตระการตา ทั้งแบบโบราณและวัดสมัยใหม่
เมืองเล็กๆ ที่ชื่อ "คัตสึยามะ" (Katsuyama) ในจังหวัดฟุคุอิเป็นที่ตั้งของวัดที่น่าหลงใหลถึง 2 แห่งด้วยกัน ที่หนึ่งมีประวัติศาสตร์มากกว่า 1,300 ปี ในขณะที่อีกวัดมีอายุเพียง 40 ปีเท่านั้น
ศาลเจ้าเฮเซ็นจิ-ฮาคุซัง (Heisenji Hakusan)
วัดที่เก่าแก่นี้มีชื่อว่า "ศาลเจ้าเฮเซ็นจิ-ฮาคุซัง" หรือที่รู้จักกันในนาม “ศาลเจ้ามอส” เป็นหนึ่งในสถานที่ที่เงียบสงบที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น ถูกสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 717 ภายใต้ชื่อวัดเฮเซ็นจิ-ฮาคุซัง เพื่อใช้เป็นหนึ่งในศูนย์รวมศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในช่วงยุคสงครามเซ็นโกกุ ที่นี่เป็นที่อยู่อาศัยของพระนักรบกว่า 8,000 รูป ที่กระจายตัวกันไปตามศาลเจ้า 48 แห่งและวัด 36 แห่ง (ในขณะนั้น ศาสนาพุทธและลัทธิชินโตยังไม่ได้แยกออกจากกัน)
อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องเศร้าที่ศูนย์รวมศาสนาแห่งนี้ถูกเผาทิ้งทั้งหมดระหว่างการสู้รบใน ค.ศ. 1574 ตึกที่ยังพอหลงเหลืออยู่ก็กลับคืนสู่อ้อมกอดของธรรมชาติ และในปัจจุบัน ที่นี่ก็กลายเป็นพื้นที่อันแสนกว้างใหญ่และเงียบสงบที่ถูกโอบล้อมไปด้วยมอสสีเขียวและต้นสนที่สูงใหญ่ ดูสวยงามทั้งในยามฝนตกและยามที่มีแสงแดดส่องผ่านช่องใบไม้ อีกทั้งยังมีบรรยากาศที่ชวนให้คุณคิดถึงอดีตอันยาวนานของสถานที่แห่งนี้ด้วย
วัดคิโยไดจิ (Kiyodaiji Temple)
"วัดคิโยะไดจิ" เป็นเหมือนขั้วตรงข้ามของศาลเจ้าเฮเซ็นจิ-ฮาคุซัง ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน หากคุณเดินทางโดยรถยนต์ สถานที่ทั้ง 2 แห่งนี้ก็ตั้งอยู่ห่างกันเพียง 8 นาทีเท่านั้น วัดคิโยไดจิก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1987 ถึงจะใหม่แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความน่าประทับใจของที่นี่ลดลงเลย
วัดคิโยไดจิมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่มีชื่อเสียงด้วยความสูงถึง 17 เมตร นับเป็นพระพุทธรูปที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 5 ของญี่ปุ่น และใหญ่กว่าพระพุทธรูปในจังหวัดนารา พระพุทธรูปองค์นี้ตั้งอยู่ในโถงขนาดใหญ่ โดยมีพระพุทธรูปองค์เล็กๆ อีกกว่า 100 องค์ฝังอยู่ในกำแพงรอบๆ ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าประทับใจราวกับออกมาจากซีรีส์ Game of Thrones พื้นของวัดแห่งนี้ได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างงดงาม อีกทั้งยังมีเจดีย์สูง 5 ชั้นให้ได้ชมกันอีกด้วย หากคุณมาถึงคัตสึยามะแล้วล่ะก็ ไม่ควรพลาดไปเยี่ยมชมวัดทั้ง 2 แห่งนี้เลย
หน้าผาโทจินโบ (Tojinbo Cliffs)
"หน้าผาโทจินโบ" แห่งนี้มีระยะทางยาว 1 กิโลเมตร ตั้งตระหง่านอยู่ในเมืองริมทะเลเล็กๆ ที่ชื่อ "มิคุนิโจ" (Mikunicho) โดยอยู่เลียบตามแนวชายหาดและเสาหินอันมีเอกลักษณ์ หน้าผานี้เกิดจากการรวมตัวของหินไพรอกซีน แอนดีไซต์ (Pyroxene Andesite) ซึ่งเป็นหินหายากที่พบเพียง 3 แหล่งบนโลกเท่านั้น นอกจากนี้ หน้าผาโทจินโบยังได้รับการกำหนดเป็นอนุสาวรีย์ธรรมชาติอีกด้วย
นักท่องเที่ยวจะได้ชมหน้าผาที่เต็มไปด้วยหินขรุขระนี้จากทางด้านบน หรือจะขึ้นเรือสำราญ 30 นาที ไปชมการก่อตัวของหินหรือล่องผ่านหินสูงใหญ่ไปตามลำน้ำก็ได้ นอกจากตัวหน้าผาแล้ว ในบริเวณนี้ยังมีถนนช็อปปิ้งย้อนยุคน่ารักๆ ที่เต็มไปด้วยร้านขายของสุดมีเสน่ห์และร้านอาหารที่รอให้คุณไปฝากท้องยามกลางวันอยู่ หากคุณต้องการจะค้างคืน ที่นี่ก็มี "อาวาระออนเซ็น" (Awara Onsen) ที่คุณสามารถไปดื่มด่ำกับที่พักสไตล์ญี่ปุ่นและบ่อน้ำพุร้อนได้ บอกเลยว่าดีสุดๆ
จังหวัดโคจิ - สุดยอดแห่งภูเขาและชายหาด
จังหวัดโคจิ (Kochi) เหมาะกับการปลีกวิเวกมากๆ ด้วยความที่เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ในญี่ปุ่น คุณจึงสามารถสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เพราะกว่า 84% ของพื้นที่จังหวัดนี้ปกคลุมไปด้วยต้นไม้ แถมบริเวณชายขอบทางเหนือของจังหวัดก็ยังติดกับภูเขา จึงมีความเป็นไปได้สูงว่าสาเหตุที่คนไม่มาเที่ยวที่โคจินั้นเป็นเพราะว่าโคจิถูกซ่อนไว้ในธรรมชาติอันกว้างใหญ่นี่เอง!
นอกจากนี้ ชายแดนทางใต้ก็ยังทอดตัวยาวขนานไปกับมหาสมุทรแปซิฟิก อีกทั้งยังมีเมืองริมทะเลแสนสงบมากมายด้วย สถานที่ลับทั้ง 2 แห่งที่เราจะพาคุณไปดูนี้ นับเป็นจุดท่องเที่ยวที่นำเสนอความงามของทั้งภูเขาและทะเลของจังหวัดโคจิได้อย่างดีเยี่ยมทีเดียว
นาข้าวแบบขั้นบันไดแห่งเมืองยาสุฮาระ (The Terraced Rice Fields of Yusuhara Town)
นี่คือคำตอบสำหรับคนที่อยากจะไปในที่ที่ไม่เคยมีใครไปเยือน! ยาสุฮาระ (Yasuhara) เป็นพื้นที่ย่านชนบทที่มีเสน่ห์ของญี่ปุ่นซึ่งตั้งอยู่ท่ามกลางภูเขาในจังหวัดโคจิ และ "นาขั้นบันไดแห่งยาสุฮาระ" นี้ก็อยู่ห่างจากตัวเมืองเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น
ทุ่งนานี้จะพาคุณไปดูความแปลกของเกษตรกรรมที่หาดูได้ยาก อีกทั้งยังสวยงามและเหมาะสำหรับการถ่ายภาพ ยาสุฮาระเคยเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขา และก็เป็นเพราะความไม่มีพื้นที่ราบนี้เอง ที่ทำให้ยาสุฮาระพัฒนาระบบการปลูกข้าวแบบนาขั้นบันไดที่เรียกว่า "คามิไซ เซ็นไมดะ" (Kamizai Senmaida) ขึ้นมา ขั้นบันไดที่ดูเหมือนระเบียงเหล่านี้เป็นทิวทัศน์ที่หาชมได้ยากในญี่ปุ่น ทั้งมีเอกลักษณ์และสวยงามมากทีเดียว
นอกจากทุ่งนาแล้ว ที่นี่ก็ยังมีเส้นทางปีนเขาสวยๆ และพิพิธภัณฑ์ของ "เคนโกะ คุมะ" (Kengo Kuma) สถาปนิกชื่อดังผู้ออกแบบตึกที่สวยงามถึง 6 แห่งตั้งอยู่ในบริเวณนี้ด้วย จุดท่องเที่ยวนี้อยู่ค่อนข้างไกลออกไปในชนบท ดังนั้น เราขอแนะนำให้พักค้างคืนกันที่มินชูกุ (เกสต์เฮาส์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม) ในเมืองยาสุฮาระ และแช่ออนเซ็นในท้องถิ่นดู!
ทะเลมรกตแห่งคาชิวะจิม่า (The Emerald Sea of Kashiwajima)
เกาะเล็กๆ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของจังหวัดโคจินี้เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านริมทะเลสุดน่ารักแห่งเมืองโอสึกิ (Otsuki Town) เมืองนี้ต้องเดินทางด้วยรถยนต์เป็นหลักเช่นเดียวกับเมืองยาสุฮาระ ดังนั้น คุณจึงสามารถเตรียมตัวเที่ยวแบบโร้ดทริปได้เลย!
คาชิวะจิม่า (Kashiwajima) ถือเป็นสถานที่ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก จึงหนีจากความวุ่นวายในตัวเมืองได้ ที่นี่มีมหาสมุทรที่สวยตรึงตาตรึงใจและน้ำทะเลสีฟ้าใสอย่างไม่น่าเชื่อ จนบางคนถึงกับบอกว่าน้ำทะเลที่นี่ใสกว่าโอกินาว่าเสียอีก
บนผิวน้ำที่ใสราวกับแก้วมักจะมีเรือหลายลำจอดนิ่งอยู่ คุณสามารถไปว่ายน้ำเล่นในบริเวณท่าเรือแสนสงบและสนุกกับการดำน้ำตื้นได้ นอกจากนี้ ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมดำน้ำลึกได้เช่นกัน เพราะทะเลมรกตแห่งนี้มีปลาอยู่กว่า 1,000 ชนิดเลยทีเดียว!
ดังนั้น หากใครอยากได้พื้นที่ชายหาดสำหรับปลีกวิเวกหรือดำน้ำชิวๆ แล้วล่ะก็ ทะเลมรกตแห่งคาชิวะจิม่านี้ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดีที่สุด!
จังหวัดชิมาเนะ - เทพเจ้าและธรรมชาติสุดพิศวง
ชิมาเนะ (Shimane) เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของประเทศญี่ปุ่น และยังเป็นจังหวัดที่มีประชากรน้อยที่สุดเป็นอันดับ 2 ด้วย การที่มีคนน้อยนี้ก็อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครรับรู้ถึงความพิเศษของจังหวัดนี้ก็เป็นได้!
ชิมาเนะตั้งอยู่ในเกาะฮอนชู (Honshu เกาะหลักญี่ปุ่น) ซึ่งอยู่ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือติดทะเลญี่ปุ่น ที่นี่เต็มไปด้วยธรรมชาติอันน่าพิศวงและตำนานเทพเจ้ามากมาย ดังนั้น เราจะขอพาทุกคนไปดู 2 จุดท่องเที่ยวน่าสนใจของจังหวัดชิมาเนะที่พร้อมจะโอบล้อมจินตนาการของคุณเอาไว้ด้วยตำนานและประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์กันเลย!
ศาลเจ้าอิซูโมะ (Izumo Taisha) ศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น
"ศาลเจ้าอิซูโมะ" แห่งนี้ได้รับการขนานนามว่าเป็นศาลเจ้าชินโตที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับความเคารพเป็นอันดับ 2 รองจากศาลเจ้าอิเสะ (Ise Grand Shrine) ในจังหวัดมิเอะ
ตามตำนานเรื่องเล่าของชินโต ประเทศญี่ปุ่นเคยตกอยู่ภายใต้ความควบคุมของบริเวณที่เรียกว่า "อิซูโมะ" แห่งนี้ คนญี่ปุ่นเชื่อกันว่าเทพเจ้าในศาสนาชินโตทั่วประเทศจะมารวมตัวกันที่ศาลเจ้าในช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปีเพื่อประชุมเทพเจ้า ในช่วงเวลานั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ในอิซูโมะจะพยายามไม่ทำเสียงดังรบกวนเหล่าเทพเจ้าในช่วงสัปดาห์นั้นกัน และเมื่อเทพเจ้าทุกองค์เดินทางกลับไปสู่พื้นที่ของตนแล้ว ทางศาลเจ้าก็จะจัด "งานเทศกาลคามินาริ" (Kaminari Festival) เพื่อเป็นการส่งเทพเจ้า
นอกจากนี้ ศาลเจ้าอิซูโมะยังมีความน่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ เป็นสถานที่ที่ "เทพเจ้าโอคุนินุชิ โนะ โอคามิ" (Okuninushi no Okami) ผู้สร้างประเทศญี่ปุ่นสถิตอยู่ด้วย
เช่นเดียวกับสถานที่อื่นๆ ที่เราแนะนำมา การไปเยือนศาลเจ้าอิซูโมะนั้นค่อนข้างไกล คุณจะต้องนั่งรถไฟยาว 4 ชั่วโมงจากโอคายาม่า รถบัส 4 ชั่วโมงจากฮิโรชิม่า หรือหากคุณเดินทางจากโตเกียวก็สามารถใช้บริการรถไฟค้างคืนที่เรียกว่า Sunrise Izumo ได้เช่นกัน ดังนั้น หากใครสนใจศาสนาชินโตหรือตำนานญี่ปุ่น เราขอแนะนำว่าไม่ควรพลาดไปเยือนศาลเจ้าแห่งนี้กันให้ได้สักครั้ง!
โคโตกาฮามะ (Kotogahama) หาดแห่งทรายร้องเพลง
แค่ได้ยินชื่อ “หาดแห่งทรายร้องเพลง” หรือ "โคโตกาฮามะ" (Kotogahama) ก็น่าสนใจแล้ว! ชื่อของมันที่ดูราวกับหลุดออกมาจากนิยายแฟนตาซีนี้มาจากเสียงเอี๊ยดอ๊าดที่เกิดจากการเพิ่มความดันลงไปบนทรายนั่นเอง เพียงคุณเดินย่ำไปตามชายหาดทรายก็จะสามารถฟัง “เสียง” ของทรายได้ในทุกย่างก้าว สิ่งนี้เองที่ทำให้โคโตกาฮามะเป็น 1 ใน 3 หาดทรายที่แปลกประหลาดที่สุดในญี่ปุ่น
นอกจากทรายร้องเพลงที่มีเอกลักษณ์แล้ว โคโตกาฮามะยังมีหาดทรายอันสวยงามที่ผู้คนนิยมมาว่ายน้ำเล่นกันในช่วงฤดูร้อนด้วย โคโตกาฮามะอยู่ห่างจาก Izumo เพียง 1 ชั่วโมง ดังนั้น ถือว่าคุ้มสุดๆ หากคุณจะไปเที่ยวทั้ง 2 ที่ในรอบเดียว!
จังหวัดโทคุชิม่า - เดินบนเส้นทางเถาวัลย์ทดสอบความกล้า และสำรวจวังน้ำวน
โทคุชิม่า (Tokushima) เป็นจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดเป็นอันดับ 4 ของญี่ปุ่น จังหวัดนี้ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของเกาะชิโกกุ (Shikoku) เกาะเล็กอันดับ 2 ของประเทศ คุณสามารถมาเยือนโทคุชิม่าได้ผ่านทางโอซาก้า โดยนั่งรถบัสประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ที่นี่เป็นสถานที่จัด "งานเทศกาลอาวะโอโดริ" (Awa Odori) อันมีชื่อเสียงของญี่ปุ่น!
หลายๆ คนอาจจะไม่สนใจที่จะเดินทางมาโทคุชิม่าเพราะต้องเดินทางไกลถึงชิโกกุ หรือไม่ก็อยากไปเที่ยวจังหวัดโกเบ ซึ่งเป็นสถานที่เที่ยวชื่อดังใกล้ๆ มากกว่า! แต่เราขอบอกเลยว่าโทคุชิม่าไม่ได้มีดีแค่ประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่ยังมีธรรมชาติอันสวยงามอีกด้วย!
ข้ามสะพานเถาวัลย์ที่หุบเขาอิยะ (Iya Valley)
หากคุณกำลังมองหาการผจญภัยที่แท้จริง หุบเขาอิยะ (Iya Valley) อันแสนห่างไกลนี้คือคำตอบ! หุบเขาอิยะเป็นจุดเที่ยวที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการหนีจากโลกอันแสนวุ่นวายไปสู่ธรรมชาติ ที่นี่มีเส้นทางปีนเขาอันโด่งดัง บ่อออนเซ็น และช่องเขาที่เชื่อมกันด้วยสะพานเถาวัลย์สุดระทึกใจ
สะพานเถาวัลย์เหล่านี้เชื่อมต่อระหว่างรอยแยกของหุบเขาและห้อยอยู่เหนือแม่น้ำ สร้างอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรอันแสนอุดมสมบูรณ์ ดูน่าอัศจรรย์ราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยาย!
สะพานเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยเหล่าซามูไรในกลุ่มเฮอิเคะ (Heike) หลังพ่ายแพ้ไปในการต่อสู้ช่วงศตวรรษที่ 12 พวกเขาสร้างมันขึ้นมาจากเถาวัลย์เพื่อให้สามารถตัดทิ้งได้หากมีศัตรูมาไล่ล่านั่นเอง ในปัจจุบันมีสะพานเถาวัลย์หลงเหลืออยู่เพียง 3 แห่งเท่านั้น
"สะพานเถาวัลย์คาซึระบาชิ" (Kazurabashi Vine Bridge) ยาว 45 เมตร สูง 14 เมตร พาดผ่านเหนือแม่น้ำ แน่นอนว่าสะพานดั้งเดิมแห่งนี้สร้างจากเถาวัลย์แท้ๆ (โดยมีการซ่อนเหล็กเส้นเอาไว้ข้างใต้เพื่อรองรับน้ำหนักของตัวสะพานและเพื่อความปลอดภัย) เป็นผลงานที่ชวนมองและทำให้รู้สึกอยากลองเดินข้ามดูเมื่อคุณกำลังเดินเล่นอยู่ในหุบเขาอิยะ
สะพานแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมและได้รับการบูรณะทุกๆ 3 ปีเพื่อรักษาสภาพและความปลอดภัย นอกจากนี้ หากคุณเดินขึ้นไปตามแม่น้ำก็จะได้พบกับสะพานอีก 2 แห่งที่ดูวังเวงกว่าและมีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าด้วย บอกเลยว่าคุ้มค่าแก่การไปเยือนไม่แพ้กัน!
ด้วยความที่หุบเขาอิยะอยู่ค่อนข้างไกล เราจึงขอแนะนำให้พักในโรงแรมที่มีบ่อน้ำพุร้อนในบริเวณนี้ ตัวอย่างเช่น โรงแรม Iya Onsen Hotel หรือ Shin-Iya Onsen Hotel Kazurabashi
สัมผัสกับความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติที่วังน้ำวนนารุโตะ (Naruto Whirlpools)
ภายใต้สะพานแขวนขนาดมหึมาที่ทอดยาวอยู่เหนือน้ำสีฟ้าของช่องแคบคิอิ (Kii Channel) มีกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวด้วยพลังอันแข็งแรงของธรรมชาติซึ่งก่อให้เกิดเป็นกระแสน้ำวนขนาดยักษ์! "วังน้ำวนนารุโตะ" (Naruto City Whirlpools) ทั้งน่าตื่นตาตื่นใจและทรงพลังควรค่าแก่การไปเยือน เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้มีน้ำวนทั้งขนาดเล็กใหญ่ตั้งแต่เส้นผ่านศูนย์กลางยาว 2 เมตรเท่าๆ กับมนุษย์ จนไปถึงขนาด 20 เมตร ซึ่งจัดว่าใหญ่เป็นอันดับ 1 ของโลกเลยทีเดียว!
คุณสามารถชมวิวสวยๆ ของวังน้ำวนแห่งนี้ได้ 2 วิธี แบบแรกคือไปดูจากสะพานโอนารุโตะ (Onaruto Bridge) ที่อยู่สูง 45 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล หรือจะนั่งเรือเฟอร์รี่เข้าไปชมใกล้ๆ ก็ได้ อาจจะดูน่ากลัว แต่จริงๆ แล้วน้ำวนแห่งนี้ไม่สามารถทำอันตรายใดๆ ต่อตัวเรือได้ แถมยังจะได้เห็นวิวที่เป็นเอกลักษณ์และไม่เหมือนใครอีกด้วย!
จังหวัดอาคิตะ - สายอบอุ่นหรือสายชิลล์ก็เที่ยวได้
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด จังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวน้อยเป็นอันดับ 5 ของเราก็คือ จังหวัดอาคิตะ (Akita) นั่นเอง จังหวัดอาคิตะมีชื่อเสียงมาจากชื่อของสายพันธุ์สุนัข (ขึ้นชื่อในเรื่องการผสมกับพันธุ์แท้ด้วยกันเท่านั้น) แต่นอกจากสุนัขแสนแพงนี้ ที่นี่ก็ยังมีอะไรอีกมากมายให้คุณค้นหา
อาคิตะตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเกาะฮอนชู มีชื่อเสียงเรื่องหิมะและความสวยงามตามธรรมชาติ ที่นี่จึงเป็นจุดท่องเที่ยวอันยอดเยี่ยมในช่วงฤดูหนาว ตามปกติแล้ว อาคิตะจะมีนักท่องเที่ยวน้อยกว่าจังหวัดดังที่อยู่ใกล้เคียงอย่าง "ฮอกไกโด" ซึ่งคนมักจะนึกถึงเมื่อต้องการเที่ยวในฤดูหนาว แต่ในบทความนี้ เราจะมาพาคุณไปดู 2 สิ่งที่คุณสามารถทำได้ในอาคิตะระหว่างช่วงเวลาอันหนาวเหน็บนี้ ทั้งเทศกาลหิมะและความอบอุ่นสำหรับคลายหนาว!
อาบจิตวิญญาณแห่งอาคิตะที่นิวโตะออนเซ็น (Nyuto Onsen)
"นิวโตะออนเซ็น" ไม่ใช่บ่อน้ำพุร้อนบ่อเดียว ที่นี่มีเรียวกัง (ที่พักสไตล์โรงเตี๊ยมญี่ปุ่น) ถึง 7 แห่ง แต่ละแห่งมีบริการออนเซ็นจากแหล่งที่แตกต่างกันไป และก็ไม่ใช่แค่ดีไซน์เท่านั้น แต่สรรพคุณของออนเซ็นเหล่านี้ยังแตกต่างกันด้วย! นักท่องเที่ยวหลายคนจึงพยายามไปแช่ให้ครบทุกออนเซ็นขณะที่มาเข้าพัก
บรรยากาศเก่าแก่ของนิวโตะออนเซ็นนี้ สามารถเล่าย้อนกลับไปได้ถึง 300 ปีก่อน แน่นอนว่าคุณจะรู้สึกเหมือนกำลังก้าวเข้าสู่โลกแห่งอดีตได้ทันที เราขอแนะนำให้ใช้เวลานี้ดื่มด่ำและผ่อนคลายไปกับธรรมชาติและความสวยงามระหว่างแช่ออนเซ็นควันระอุอันแสนพิเศษนี้อย่างเต็มที่
นิวโตะออนเซ็นตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติโทวาดะ-ฮาจิมันไต (Towada-Hachimantai) แถมคุณยังสามารถไปเดินเขาเล่นได้ง่ายๆ ด้วย ลองไปเดินชมธรรมชาติอันสวยงามรอบภูเขา ฮาจิมันไต ต่อด้วยการขจัดความเหนื่อยล้าตลอดวันที่บ่อน้ำพุร้อนดูสิ!
ชมอิกลูหลากไซส์ในเทศกาลคามาคุระ (Kamakura Festival)
อย่างที่ได้กล่าวไปในตอนต้นว่าซัปโปโรมีเทศกาลหิมะที่ผู้คนรู้จักกันอย่างแพร่หลาย ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวหลายพันคนจากทั้งในและนอกประเทศมาเยือนเทศกาลหิมะนี้ แต่หากคุณอยากได้ประสบการณ์ที่คล้ายกัน พร้อมๆ กับการหลีกเลี่ยงผู้คนจำนวนมหาศาลแล้วล่ะก็ เทศกาลคามาคุระ (Kamakura Festival) ของเมืองโยโคเตะ (Yokote) จังหวัดอาคิตะก็อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ!
เทศกาลนี้จัดมานานกว่า 400 ปีแล้ว โดยจะมีขึ้นในช่วงวันที่ 15 - 16 กุมภาพันธ์ของทุกปี! (วันที่อาจแตกต่างกันไปในแต่ละปี) มีบ้านหิมะ "อิกลู" ที่เรียกว่า "คามาคุระ" หลายไซส์ตั้งประดับอยู่ทั่วตัวเมือง แถมยังมีแสงไฟยามค่ำคืนที่ช่วยขับบรรยากาศให้ดูอบอุ่นและดึงดูดใจ
คุณสามารถเข้าไปในคามาคุระเพื่อแสดงความเคารพแก่จิตวิญญาณของหิมะที่ทุกคนนับถือ และรับประทานโมจิกับอามะสาเกได้ (Amazake เหล้าหวานไม่มีแอลกอฮอล์ที่ทำจากข้าว) นอกจากนี้ ยังมีคามาคุระขนาดเล็กอีกมากมายอยู่ติดกับแม่น้ำโยโคเตะด้วย (Yokote River)
เมื่อทุกอย่างมารวมกับแสงไฟในยามค่ำคืน ก็จะได้เป็นทิวทัศน์อันสวยงามและน่าตื่นตาตื่นใจของจิตวิญญาณนับร้อยที่อยู่ท่ามกลางทะเลหิมะอันกว้างใหญ่
ในฤดูอื่นๆ อาคิตะก็เป็นสถานที่ที่ดีสำหรับการหนีฝูงชนมหาศาลเช่นกัน หากคุณอยากรู้ว่าชีวิตชนบทของชาวญี่ปุ่นเป็นอย่างไร เราขอแนะนำให้มาสัมผัสด้วยตัวเองดู!
ส่งท้าย
การที่จังหวัดเหล่านี้ไม่ค่อยมีคนไปเที่ยว ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีอะไรสักหน่อย! ถึงแม้สถานที่เหล่านี้จะเดินทางไปยากสักหน่อย แต่กลับทำให้คุณสามารถตามหาสถานที่สุดเจ๋งที่ไม่ซ้ำใครได้เลย ดังนั้น อย่าลืมเก็บเป็นตัวเลือกในการแพลนทริปครั้งต่อไปนะ!
หากคุณสนใจในสถานที่ลึกลับและซ่อนอยู่ในญี่ปุ่นเหล่านี้ ลองไปดู 5 สถานที่สุดสยองในญี่ปุ่นที่คุณไม่ควรไป (และที่ควรไป! ก่อนได้เลย!
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่