ชวนเที่ยวสิ่งก่อสร้างโบราณที่สวยไม่ซ้ำใครใน "ภูมิภาคชูโกคุ" !
"ชูโกคุ" เป็นภูมิภาคที่อยู่บริเวณสุดปลายตะวันตกของเกาะฮอนชู เป็นที่ตั้งของเมืองหลวงเก่าอย่าง "เกียวโต" ศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างญี่ปุ่นกับจีนแผ่นดินใหญ่ และดินแดนต่างๆ ในคาบสมุทรเกาหลี อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของ "เมืองดาไซฟุ" ซึ่งเป็นสถานที่เจรจาการทูตที่รุ่งเรืองด้วย ที่นี่จึงมีสิ่งก่อสร้างโบราณให้ชมกันมากมาย ในครั้งนี้ เราจะมาพาคุณไปรู้จักกับสถานที่ที่เป็นดั่งอัญมณีแห่งภูมิภาคชูโกคุกันค่ะ!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
ภูมิภาคชูโกคุที่มีอาคารประวัติศาสตร์อยู่มากมาย
"ภูมิภาคชูโกคุ" (中国) ตั้งอยู่บริเวณสุดปลายตะวันตกของเกาะฮอนชู ประกอบไปด้วย 5 จังหวัด ได้แก่ ยามากุจิ, ฮิโรชิม่า, โอคายาม่า, ทตโตริและชิมาเนะ อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของมรดกโลกทางวัฒนธรรมอย่าง "ศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ" (厳島神社) และสมบัติชาติที่มีสถาปัตยกรรมปราสาทสมัยใหม่จากยุคสมัยที่รุ่งเรืองอย่าง "ปราสาทมัตสึเอะ" (松江城) นอกจากนี้ก็ยังมี "สวนโอคายาม่า โคราคุเอ็น" (岡山後楽園) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 สวนที่ดังที่สุดของญี่ปุ่น และมีทิวทัศน์อันงดงามที่เกิดจากการผสมผสานระหว่างประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมด้วย นับเป็นจุดท่องเที่ยวที่เปี่ยมไปด้วยมนต์เสน่ห์มากมายเลยทีเดียว
ในครั้งนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์และเมืองโบราณที่อยู่ในภูมิภาคนี้กันค่ะ ตามมาดูอาคารต่างๆ ที่เต็มไปด้วยความเป็นมาอันน่าสนใจกันเลย
ชมเสน่ห์ทิวทัศน์เมืองโบราณใน "ย่านอนุรักษ์คุราชิกิบิคัง" (โอคายาม่า)
"ย่านอนุรักษ์คุราชิกิบิคัง" (倉敷美観地区) ที่ตั้งอยู่ในเมืองคุราชิกิ จังหวัดโอคายาม่านี้ เป็นแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังที่มีทั้งคฤหาสน์กำแพงขาวอันสวยงามที่เรียงรายอยู่ตามถนน และต้นหลิวที่ขึ้นอยู่ริม "แม่น้ำคุราชิกิ" (倉敷川)
ในอดีต คุราชิกิตั้งอยู่ในดินแดนที่เรียกว่า "เท็นเรียว" (天領) ซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองของรัฐบาลโชกุนโดยตรง และเป็นพื้นที่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะแหล่งรวมสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน จนถึงทุกวันนี้ คุณก็ยังสามารถสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเท็นเรียวในทุกๆ มุมของเมืองคุราชิกิ และเพียงคุณเดินเล่นไปรอบๆ เมืองก็จะรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลากลับไปในยุคเอโดะเลยทีเดียว
ในบรรดาจุดท่องเที่ยวทั้งหมดนี้ เราขอแนะนำให้ลองแวะไปยังพื้นที่บริเวณ "ฮอนมาจิ" (本町) และ "ฮิกาชิมาจิ" (東町) ดูสักครั้ง เพราะในอดีต ที่นี่เคยเป็นทางผ่านของบรรดาพ่อค้า ซึ่งเชื่อมระหว่างศูนย์กลางของเมืองคุราชิกิ กับ "เมืองฮายาชิมะ" (早島) ที่อยู่ทางทิศตะวันออก คุณจะได้เห็นวิวที่เต็มไปด้วยอาคารที่มีกำแพงสีขาวและหน้าต่างระแนงไม้แบบโบราณตั้งเรียงรายกันอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมีโกดังสินค้ากับทาวน์เฮ้าส์สไตล์เอโดะที่ได้รับการรีโนเวทใหม่ รวมถึงคาเฟ่ แกลลอรี่ และอิซากายะ (居酒屋 บาร์ญี่ปุ่น) ให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับการช้อปปิ้งและทานอาหารระหว่างเดินเล่นด้วย
เงาอดีตจากยุคเอโดะใน "ไดเมียวเทเอ็นการ์เด้น" สวนโอคายาม่า โคราคุเอ็น (โอคายาม่า)
"สวนโอคายาม่า โคราคุเอ็น" (岡山後楽園) เป็นสวนหย่อมแสนสงบที่สร้างขึ้นโดย อิเคดะ สึนะมาสะ (池田綱) ผู้ครองแคว้นโอคายาม่ารุ่นที่ 2 เมื่อประมาณ 300 ปีก่อน และเป็นหนึ่งในสามสวนที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่นเคียงคู่ไปกับ "สวนเค็นโรคุเอ็น" (兼六園) ในคานาซาว่า และ "สวนไคราคุเอ็น" (水戸) แห่งเมืองมิตะ
ภายใน "สวนไดเมียวเทเอ็น" (大名庭園) ที่เปรียบเสมือนตัวแทนจากยุคเอโดะนั้น มีทั้งสระน้ำ เนินเขาจำลอง และสนามหญ้าประดับอยู่บนพื้นที่อันกว้างใหญ่ ทุกอย่างล้วนมีทางเชื่อมกันทั้งในน้ำและบนบก ที่นี่จัดเป็นสวนประเภท "ไคยูชิกิเทเอ็น" (回遊式庭園) ที่ได้รับการปรับแต่งให้มีสระน้ำ เพื่อให้ทุกคนได้เพลิดเพลินกับทัศนียภาพอันงดงามระหว่างที่เดินเล่นไปรอบๆ ด้วย
ทิวทัศน์ที่แทบไม่เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่สมัยเอโดะนี้ สวยสะกดทุกลมหายใจ เป็นความงดงามที่ทำให้สวนแห่งนี้ได้รับรางวัลสามดาวจากหนังสือนำเที่ยวที่มีชื่อเสียงระดับโลก
ที่นี่มีการจัดงานเทศกาลตลอดทั้งปี ไม่ว่าจะเป็นงานเก็บยอดใบชา ชมจันทร์ ฯลฯ อีกทั้งยังมีการเปิดสวนให้ชมการประดับไฟสุดพิเศษภายใต้ธีม "Genso - Teien" (幻想庭園) หรือ "Fantasy Garden" ในช่วงกลางคืนด้วย คุณจะได้ชมแสงไฟที่สวยงามราวกับความฝัน
"ศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ" เสาโทริอิแดงขนาดยักษ์สุดลึกลับกลางทะเล (ฮิโรชิม่า)
"ศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ" (厳島神社) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมใน ค.ศ. 1996 และเป็นจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากทั้งจากในและนอกประเทศได้ตลอดทั้งปี ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 593 โดยสร้างขึ้นกลางทะเลเพื่อไม่ให้ตัว "เกาะมิยาจิม่า" (宮島) ที่ผู้คนเชื่อว่าเป็นที่สถิตของเทพเจ้าต้องแปดเปื้อน
ความสวยงามของศาลเจ้าอิตสึคุชิมะที่ลอยอยู่กลางทะเลในปัจจุบันนี้ เป็นผลงานจากช่วงหลังของศตวรรษที่ 12 โดยได้รับการสนับสนุนจาก ไทระ โนะ คิโยโมริ (平清盛) ผู้ทรงอิทธิพลในสมัยนั้นที่มีความเลื่อมใสศรัทธาในศาลเจ้าอิตสึคุชิมะ
ทิวทัศน์ที่เกิดจากการถักทอสีเขียวชอุ่มของป่าที่ไม่เคยถูกรุกล้ำใน "ภูเขามิเซ็น" (弥山) ที่อยู่เบื้องหลัง กับเสาโทริอิขนาดยักษ์สีแดงสดที่ลอยอยู่กลางผืนน้ำแสนสงบของทะเลเซโตะในนั้นเป็นภาพที่สวยสะกดใจ ทำให้ที่นี่ได้รับการยกย่องเป็น 1 ใน 3 ทิวทัศน์ที่สวยงามที่สุดของญี่ปุ่น เคียงคู่ไปกับ "หมู่เกาะมัตสึชิม่า" (松島) จังหวัดมิยางิ และ "สันทรายอามาโนะฮาชิดาเตะ" (天橋立) จังหวัดเกียวโต
ย้อนเวลาสู่ยุคเอโดะใน "เขตอนุรักษ์อาคารเมืองมิตะไร" (ฮิโรชิม่า)
"เขตอนุรักษ์อาคารเมืองมิตะไร" (御手洗町並み保存地区) ในเมืองคุเระ จังหวัดฮิโรชิม่านี้ เป็นเมืองท่าที่สร้างขึ้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 17 ในสมัยเอโดะ มิตะไรเคยเจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะแหล่งรวมโรงน้ำชา ร้านค้าขนาดใหญ่และเล็กมากมาย รวมไปถึงกิจการที่เกี่ยวกับการเช่าเรือต่างๆ ที่นี่จึงเต็มไปด้วยสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์จำนวนมาก และแม้แต่ในปัจจุบัน ที่นี่ก็ยังคงเต็มไปด้วยสีสันและกลิ่นอายจากสมัยเอโดะที่หลงเหลืออยู่
คุณสามารถมาเดินเล่นชมวิวของวัดที่มีกำแพงหินที่ดูสง่างาม บ้านที่มีกำแพงสีขาวสวย และดื่มด่ำไปกับบรรยากาศที่ดูราวกับได้ย้อนเวลากลับไปในสมัยเอโดะได้อย่างเพลิดเพลิน
ภายในเมืองแห่งนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวอยู่เต็มไปหมด เช่น "ศาลเจ้าอุตสึ" (宇津神社) ที่มีประวัติยาวนานกว่า 2,100 ปี "โอโตเมะสะ" (乙女座) โรงละครย้อนยุคที่ส้รางขึ้นใน ค.ศ. 1937 และอีกมากมาย! นอกจากนี้ หากคุณได้ชมทัศนียภาพจากจุดชมวิวบนยอดเขา "มิเนะเดระ" (峰寺山) ในระดับความสูง 449 เมตรซึ่งนับว่าสูงที่สุดในเมืองแล้วล่ะก็ คุณจะได้เห็นน้ำทะเลสีฟ้าใสอันนิ่งสงบที่ทอดตัวยาวจากฮอนชูไปจนถึงชิโกคุ และหมู่เกาะที่กระจายอยู่กลางทะเลเซโตะในได้อย่างทั่วถึงเลยทีเดียว
ยิ่งไปกว่านั้น เมืองมิตะไรก็ยังมีจุดถ่ายรูปสวยๆ อีกมากมาย และเป็นหนึ่งในสถานที่ยอดนิยมสำหรับการถ่ายโฆษณาในญี่ปุ่นด้วย โดยล่าสุดก็ถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "สุดทางรัก" หรือ "Drive My Car" ที่ได้รับรางวัล Academy Award for Best International Feature Film ประจำปี 2022 ดังนั้น หากมีโอกาส เราก็ขอแนะนำให้มาเพลิดเพลินกับการเดินเล่นระหว่างที่นึกถึงฉากในภาพยนตร์กันดูค่ะ
"เจดีย์ 5 ชั้นแห่งวัดรูริโคจิ" สถาปัตยกรรมที่เป็นสมบัติชาติอันแสนภูมิใจของจังหวัดยามากุจิ (ยามากุจิ)
"เจดีย์ 5 ชั้นแห่งวัดรูริโคจิ" (瑠璃光寺五重塔) ที่อยู่ใน "สวนโคซัง" (香山公園) จังหวัดยามากุจิ ถูกสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1442 และเป็นที่ตั้งของเจดีย์ห้าชั้นที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับ 10 จากที่มีอยู่ทั้งหมดกว่า 80 แห่งในญี่ปุ่น เจดีย์นี้สูงราว 31 เมตร ดูโดดเด่นด้วยหลังคาทรงโค้งที่แผ่ออกไปทั้งสี่ทิศทาง มีความลาดเอียงเล็กน้อย ดูสวยงามอ่อนช้อยจนได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติประจำชาติ และเป็น 1 ใน 3 เจดีย์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น เคียงคู่ไปกับ "วัดไดโกจิ" (醍醐寺) จังหวัดเกียวโต และ "วัดโฮริวจิ" (法隆寺) จังหวัดนารา แม้แต่ในบรรดาสิ่งก่อสร้างจากสมัยมูโรมาจิด้วยกันเอง เจดีย์แห่งนี้ก็ถือเป็นที่สุดด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ สวนโคซังก็ยังเป็นจุดชมซากุระและดอกบ๊วยที่มีชื่อเสียง คุณสามารถชมภาพเจดีย์ที่แตกต่างกันไปในสี่ฤดูกาลได้ อีกทั้งยังมีการจัดไฟประดับในช่วงเย็นของทุกๆ วัน ซึ่งบอกได้คำเดียวว่าห้ามพลาด! ภาพสะท้อนของเจดีย์ 5 ชั้นประดับไฟที่สะท้อนอยู่ในสระน้ำนั้น ดูสวยงามราวกับความฝัน สะกดได้ทุกลมหายใจเลยทีเดียว
ห้าโค้งแสนสวยของ "สะพานคินไตเคียว" จุดชมวิวที่จังหวัดยามากุจิภูมิใจ (ยามากุจิ)
"สะพานคินไตเคียว" (錦帯橋) ตั้งอยู่ในเมืองอิวาคุนิ จังหวัดยามากุจิ มีชื่อเสียงในเรื่องความงดงามของสะพานไม้ 5 โค้ง และได้รับการกำหนดให้เป็น 1 ใน 3 สะพานที่มีชื่อเสียงที่สุดในญี่ปุ่น สะพานแห่งนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1673 ตามคำสั่งของ คิคาวะ ฮิโรโยชิ (吉川広嘉) ผู้ปกครองเมืองอิวาคุนิในสมัยนั้น ตัวสะพานมีความยาวทั้งสิ้น 193.3 เมตร กว้าง 5 เมตร และจุดที่สูงที่สุดของส่วนโค้งใต้สะพานนั้นก็สูงจากก้นแม่น้ำถึง 13 เมตรเลยทีเดียว
สะพานคินไตเคียวมีโครงสร้าง 5 ชั้นซึ่งถือว่าหาชมได้ยากแม้แต่ในระดับโลก นับเป็นทักษะการสร้างสะพานแบบเฉพาะตัวชั้นสูงที่ได้รับการยกย่องมาจนถึงยุคปัจจุบัน การเชื่อมไม้ในลักษณะนี้จะช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้สะพานได้มากขึ้นเมื่อแรงกดทับมาจากด้านบน ทำให้แต่ละโค้งสามารถรับน้ำหนักได้มากถึง 60 ตันเลยทีเดียว! นอกจากนี้ หากคุณมองขึ้นมาจากใต้สะพาน ก็จะได้เห็นการวางไม้ที่ดูสวยงามมีระเบียบด้วย เราขอแนะนำให้หาเวลาไปชมให้ได้เลย
คุณสามารถเพลิดเพลินกับทิวทัศน์ของฤดูกาลทั้งสี่ที่สะพานคินไตเคียวได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นซากุระในฤดูใบไม้ผลิ สีเขียวชอุ่มของฤดูร้อน ใบไม้เปลี่ยนสีในฤดูใบไม้ร่วง หรือการประดับไฟในแต่ละฤดูกาล
ดื่มด่ำกับสมบัติชาติที่อันตรายที่สุดในญี่ปุ่น ณ "ห้องโถงนาเกอิเระแห่งวัดซัมบุตสึจิ" (ทตโตริ)
"ภูเขามิโตกุ" (三徳山) ที่ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางของจังหวัดทตโตริ เป็นสถานที่ที่เจริญรุ่งเรืองขึ้นในฐานะสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของผู้สักการะภูเขา และท่ามกลางธรรมชาติอันสูงชันนี้ ก็มี "วัดซัมบุตสึ" (三佛寺) ตั้งอยู่ ว่ากันว่าพระสงฆ์นามว่า เอนโนะเคียวจะ (役小角) เป็นผู้บุกเบิกเส้นทางแสวงบุญสายนี้และได้ก่อตั้งสำนักขึ้นใน ค.ศ. 706 วัดแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่ของภูเขาทั้งลูก โดยมีตัววัดหลักอยู่บริเวณเชิงเขา และมีการสร้างห้องโถงมากมายตลอดเส้นทางไปจนถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า "โอคุโนะอิน" (奥の院)
ไฮไลท์อันดับหนึ่งของที่นี่ คือ "โถงนาเกอิเระ" (投入堂) ที่อยู่ในโอคุโนะอินนั่นเอง! โถงนี้ถูกสร้างขึ้นในบริเวณหน้าผาอันสูงชันที่ยุบตัวเข้าไปในภูเขา ไม่มีใครทราบเวลาที่แน่ชัดว่าถูกสร้างขึ้นเมื่อใด แต่มีตำนานเล่าว่าเอนโนะเคียวจะได้ใช้พลังของพระพุทธศาสนา ปาห้องโถงนี้ไปยังหน้าผาจนมันฝังลึกเข้าไปในหินอย่างที่เห็น และเนื่องจากสิ่งก่อสร้างแบบนี้มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่ซ้ำใคร ที่นี่จึงได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นด้วย
จุดท่องเที่ยวแห่งนี้ได้รับฉายาว่าเป็น "การดื่มด่ำกับสมบัติชาติสุดอันตรายของญี่ปุ่น" (日本一危険な国宝鑑賞) เนื่องจากคุณจะต้องเดินไปตามเส้นทางปีนเขาสุดท้าทาย แต่หากคุณปีนไม่ไหวก็สามารถชมวิวระยะไกลจากบริเวณเชิงเขาได้เช่นกัน
"ศาลเจ้าอิซุโมะ" จุดรับพลังงานธรรมชาติชั้นแนวหน้าของญี่ปุ่นที่ต้องไปให้ได้สักครั้งในชีวิต! (ชิมาเนะ)
"ศาลเจ้าอิซุโมะ" (出雲大社) ตั้งอยู่ในเมืองอิซุโมะที่ได้ชื่อว่าเป็นบ้านเกิดของตำนานเทพเจ้าญี่ปุ่น ศาลเจ้าแห่งนี้มีประวัติยาวนานมากซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็ได้ถูกบันทึกอยู่ในหนังสือประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่นอย่าง "โคจิกิ" (古事記) ว่ากันว่าเป็นที่ประดิษฐานของเทพโอคุนินุชิ โนะ มิโคโตะ (大国主命) ที่มีชื่อเสียงในเรื่องการอวยพรการแต่งงาน ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นจุดท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง และมีนักท่องเที่ยวจำนวนมากถึง 2,000,000 คนต่อปี
ตัวศาลเจ้าหลักที่เห็นกันในปัจจุบันนี้ เป็นส่วนที่สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1744 ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ "ไทฉะ - ซุคุริ" (大社造) ที่เก่าแก่ที่สุดในญี่ปุ่น อาคารหลักมีความสูง 24 เมตร สร้างขึ้นจากท่อนไม้ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น และได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติประจำชาติญี่ปุ่นอีกแห่งหนึ่งเช่นกัน
นอกจากนี้ก็อย่าลืมแวะไปชมเชือกป่าน "ชิเมนาวะ" (注連縄) ซึ่งเป็นเชือกป่านประจำศาลเจ้าชินโตที่อยู่บริเวณสถานที่สักการะหน้าห้องโถงใหญ่ด้วย! เชือกเส้นนี้มีความยาวรวม 13.6 เมตร และมีน้ำหนักถึง 5.2 ตัน ใช้เวลาทำมากกว่าหนึ่งปี แถมยังต้องอาศัยแรงของชาวเมืองมากถึง 1,000 คนในการทำเลยทีเดียว
ศาลเจ้าอิซุโมะมีวิธีการสักการะที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ต่างจากศาลเจ้าทั่วไปที่ผู้สักการะจะต้อง "โค้ง 2 ครั้ง - ปรบมือ 2 ครั้ง - โค้งอีก 1 ครั้ง" (2礼2拍手1礼) เพราะที่นี่ คุณจะต้อง "โค้ง 2 ครั้ง - ปรบมือ 4 ครั้ง - โค้งอีก 1 ครั้ง" (2礼4拍手1礼) ดังนั้น อย่าลืมสักการะให้ถูกวิธีกันด้วยนะ!
ความสง่างามและเสน่ห์เกินต้านของ "ปราสาทมัตสึเอะ" (ชิมาเนะ)
"ปราสาทมัตสึเอะ" (松江城) แห่งนี้เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองมัตสึเอะ ถึงแม้ว่าที่นี่จะสร้างขึ้นใน ค.ศ. 1611 แต่ก็สามารถคงสภาพเดิมมาได้ถึงปัจจุบันโดยไม่เคยถูกเผาหรือสร้างใหม่เลย นอกจากนี้ ป้อมของปราสาทแห่งนี้ก็ยังเป็น 1 ใน 12 ป้อมที่ยังหลงเหลืออยู่ในญี่ปุ่น และใน ค.ศ. 2015 ป้อมปราสาทแห่งนี้ก็ได้รับการกำหนดให้เป็นสมบัติประจำชาติที่เป็นตัวแทนสถาปัตยกรรมจากยุคสมัยที่รุ่งเรืองของญี่ปุ่นด้วย
ป้อมของปราสาทมัตสึเอะนี้ถูกเรียกในอีกชื่อหนึ่งว่า "จิโดริโจ" (千鳥城) เนื่องจากมีรูปลักษณ์ที่เหมือนนกสยายปีก อีกทั้งยังมีรูปปั้นสัตว์ในตำนานของญี่ปุ่นที่เรียกว่า "ชาจิโฮโกะ" (鯱鉾 ปลาคาร์พที่มีหัวเป็นเสือหรือมังกร มักใช้ตกแต่งหลังคาปราสาท) ที่ทำจากไม้หุ้มทองแดงประดับอยู่บนหลังคาด้วย รูปปั้นนี้สูงประมาณ 2 เมตร ซึ่งนับว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นเลยทีเดียว
หากคุณไปยังชั้นที่สูงที่สุดของป้อมปราสาทแห่งนี้แล้วล่ะก็ จะสามารถชมวิวแบบพาโนราม่าของทั้งเมืองมัตสึเอะและ "ทะเลสาบชินจิ" (宍道湖) ได้เลย
บริเวณรอบปราสาทแห่งนี้ได้รับการปรับปรุงให้เป็นวนอุทยานที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลทั้งสี่ได้ เช่น ดอกบ๊วย, ซากุระ, ดอกคามิเลีย ฯลฯ ที่นี่มีทางเดินอยู่รอบสวน ทำให้ผู้มาเยือนสามารถเดินเล่นชมวิวกันได้อย่างสบายใจ
ส่งท้าย
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ? เห็นไหมว่าภูมิภาคชูบุนี้ก็มีแหล่งท่องเที่ยวอยู่มากมายเช่นกัน แต่สถานที่ที่เรานำมาแนะนำกันในวันนี้ยังเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น เพราะที่นี่ยังมีสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์ที่สวยงามมีเสน่ห์อีกมากมาย หากคุณมีโอกาสได้มาเที่ยวในภูมิภาคชูบุแล้วล่ะก็ อย่าลืมมาสัมผัสกับประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมญี่ปุ่นกันให้ได้นะ
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่