ชมธรรมชาติสี่ฤดูกาล พร้อมเข้าชมเทศกาลศิลปะระดับโลกที่「เอชิโกะสึมาริ-ไดจิ」(ตอนจบ)
ในบทความที่แล้ว เราได้พาคุณไปรู้จักกับสามจุดสำคัญที่ห้ามพลาดของงานเทศกาลศิลปะเอชิโกะสึมาริ-ไดจิ (Echigo-Tsumari Art Triennale) ไปแล้ว บทความนี้จะมาแนะนำให้คุณได้รู้จักกับที่พักเก๋ๆ งานศิลปะขึ้นชื่อที่ผสมผสานเข้าเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติ และงานอีเวนต์ที่คุณสามารถมาสัมผัสได้ในทุกฤดูกาล ! หากคุณอ่านบทความนี้จบทั้งสองตอน รับประกันว่าคุณจะอยากจัดทริปชมงานศิลปะสักครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน !
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
ที่พักแนะนำในพื้นที่
ฮิคาริโนะยาคาตะ (Hikari no Yakata・光の館)
ที่พักแห่งนี้เป็นผลงานศิลปะที่ 'James Turrell' ศิลปินชาวอเมริกาผู้มีชื่อเสียงในการใช้แสงและพื้นที่คิดวางคอนเซ็ปต์ไว้เมื่อครั้งที่เขาได้รับมอบหมายให้ออกแบบอาคารเมย์โซคัง (Meisoukan 瞑想館) หนึ่งในสถาปัตยกรรมขึ้นชื่อของพื้นที่เอชิโกะสึมาริ
Turrell ประทับใจในแนวคิด “ความงาม” ของญี่ปุ่นในยุคเก่าจากนิยาย “เยิรเงาสลัว (In Praise of Shadows 陰翳礼讃)” ของทานิซากิ จุนอิจิโร่ (谷崎潤一郎) และได้นำแนวคิดมาปรับใช้ด้วยการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยที่กลมกลืนไปกับแนวของลำแสงทั้งจากในและนอกห้อง กลายมาเป็นที่พัก “ฮิคาริโนะยาคาตะ” แห่งนี้
หากคุณขึ้นไปที่ชั้นสองของตัวอาคาร คุณจะพบกับทางเดินที่สามารถชื่นชมทิวทัศน์ของทิวเขาที่อยู่ไกลออกไปได้ และภายในห้องพักแต่ละห้องของที่นี่ยังมีครัวแบบเปิดโล่ง ให้คุณได้ทำอาหารไปพลางชมธรรมชาติที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวไปพลางได้อีกด้วย
นอกจากนี้ คุณยังสามารถเข้ามานอนพักผ่อนหย่อนใจบนเสื่อทาทามิ มองดูแสงบนเพดานที่ค่อยๆ เคลื่อนที่ หรือนั่งชมแสงเงาที่สาดส่องเข้ามาและพาดซ้อนทับกันเป็นลวดลายแปลกตาได้อีกด้วย ลองเข้ามาพักแล้วคุณจะค้นพบวิธีเพลิดเพลินกับสิ่งรอบตัวในแบบฉบับของคุณเอง
เมื่อคุณเดินลงมาที่ชั้น 1 คุณจะพบกับห้อง “กลางสวน (庭之間)” ห้องสไตล์ญี่ปุ่นที่สามารถมองออกไปเห็นระเบียงที่ปูด้วยหินและสวนสีเขียวขจีภายนอก คุณจะรู้สึกราวกับว่าคุณกำลังอยู่ในป่าไม้ที่รายล้อมไปด้วยธรรมชาติรอบตัว
ในยามค่ำคืน อ่างอาบน้ำภายในห้องอาบน้ำของที่นี่จะถูกประดับไปด้วยแสงสีแดงและเขียวสะดุดตาจากเส้นไยแสงไฟเบอร์ที่จะสาดส่องบนเรือนร่างของคุณเมื่อลงไปแช่ ให้ความรู้สึกเสมือนว่าคุณกำลังอยู่ท่ามกลางโลกแฟนตาซี ที่ “ฮิคาริโนะยาคาตะ” แห่งนี้
แม้ว่าตัวอาคารจะถูกออกแบบมาให้มีบรรยากาศของความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิม แต่คุณก็ยังสามารถเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศแบบโลกในยุคอนาคตไปได้พร้อมๆ กัน ถือเป็นการผสมผสมระหว่างอดีตและความทันสมัยด้วยการใช้ประโยชน์จากแสงจากธรรมชาติและแสงสังเคราะห์ได้อย่างลงตัว
ซันโชเฮาส์ (Sansho House・三省ハウス)
ที่พักแห่งนี้เดิมทีเคยเป็นอาคารของโรงเรียนประถมซันโชว์มาก่อน แม้จะเป็นโรงเรียนเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเชิงเขา แต่เมื่อปี 1940 โรงเรียนแห่งนี้เคยมีนักเรียนอยู่ถึงกว่า 200 คน แต่เนื่องด้วยแนวโน้มการย้ายออกไปอาศัยอยู่ต่างจังหวัดและแนวโน้มมีบุตรหลานที่น้อยลงของผู้คนในพื้นที่ ทำให้โรงเรียนจำเป็นต้องปิดตัวลงในปี 1989
ต่อมาผู้คนในพื้นที่เกิดความคิดว่าทำอย่างไรจึงจะสามารถอนุรักษ์อาคารไม้ที่เต็มไปด้วยความทรงจำของคนท้องถิ่นหลังนี้ จึงได้เริ่มทำการสำรวจความคิดเห็น และในช่วงเทศกาลศิลปะในปี 2006 อาคารแห่งนี้ก็ได้ถูกเปิดใหม่เป็นที่พัก “ซันโชเฮ้าส์” จนถึงปัจจุบัน
ซันโชเฮ้าส์ได้กลับมาเป็นที่สนใจของทั้งผู้คนในพื้นที่และเหล่านักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นอีกครั้งในฐานะสถานที่ซึ่งรวบรวมรอยยิ้มและความทรงจำของผู้คน แม้ว่าสไตล์ของอาคารโรงเรียนประถมซันโชจะต้องเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่ที่นี่ก็จะอยู่คู่ชุมชนมัตสึโนะยามะไปอีกเนิ่นนาน
แนะนำประวัติมาจนถึงจุดนี้แล้ว เรามาเข้าไปดูในอาคารกันเถอะ ภายในอาคารขนาดสองชั้นเรียงรายไปด้วยห้องพักต่างๆ ที่ให้บรรยากาศของห้องเรียน ประกอบด้วยห้องขนาด 16 ที่นอน 4 ห้องและห้องขนาด 8 ที่นอน 2 ห้อง สามารถรับรองแขกได้ทั้งสิ้น 80 คน
ห้องนอนแต่ละห้องจะแยกชายหญิง และลักษณะที่นอนจะเป็นเตียงสองชั้น ตามภาพ ที่นอนแต่ละที่จะมีผ้าม่าน ปลั๊กไฟ ไฟอ่านหนังสือ และผ้าห่มทั้งแบบปกติและแบบไฟฟ้าเตรียมไว้ให้ ถือเป็นอุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากในฤดูหนาว
ในส่วนโรงอาหารของโรงเรียนยังมีข้าวขาวท้องถิ่นและอาหารที่ใช้วัตถุดิบท้องถิ่นตามฤดูกาลเตรียมไว้ให้บริการ และหากเดินทางมาเป็นคณะ คุณยังสามารถปรึกษาเพื่อขอให้ทางที่พักช่วยเตรียมอาหารว่างหรือเบนโตะให้ได้ด้วย
นอกจากนี้ โรงอาหารแห่งนี้ยังถูกใช้สำหรับหลากหลายวัตถุประสงค์ ทั้งการจัดประชุม หรือกิจกรรมสันทนาการเช่น นั่งเล่นนอกระเบียงในฤดูร้อน หรือนั่งผิงไฟร่วมกันในฤดูหนาว ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณจะสามารถสัมผัสบรรยากาศของทั้งสี่ฤดูได้อย่างมีระดับ
ถัดจากโรงอาหารคือห้อง “คอมมิวนิเคชันรูม“ เป็นห้องที่เมื่อก้าวเข้าไปคุณจะได้รับความอบอุ่นจากวัสดุไม้
ห้องนี้คือผลงานศิลปะในชื่อ “Lost Winter” โดยศิลปิน Leandro Erlich ที่ได้แนะนำไปในบทความที่แล้ว จากห้องนี้หากคุณมองไปนอกหน้าต่างคุณจะรู้สึกราวกับว่าฤดูใบไม้ผลิได้มาถึงเร็วขึ้นกว่าปกติ นอกจากนี้ เมื่ออยู่ในห้อง เงาของตัวคุณจะถูกสะท้อนผ่านเพดานเล็กๆ สามด้าน ให้ความรู้สึกน่าประหลาดใจที่ต้องมาลองด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจ
พื้นที่ในงานศิลปะชิ้นนี้ถูกออกแบบมาให้จำลองบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิอยู่เสมอ ทำให้ไม่ว่าคุณจะมาที่นี่ในช่วงไหนของปี คุณก็จะรู้สึกราวกับว่าคุณกำลังอยู่ในฤดูใบไม้ผลิได้ !
ตลอดระยะเวลาหนึ่งคืนที่ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้ามาพักที่นี่ ผู้เขียนเกิดความรู้สึกว่าได้ย้อนระลึกถึงชีวิตหอพัก รวมถึงค่ายฤดูร้อนและฤดูหนาวที่เคยเข้าร่วมเมื่อยังเด็ก แม้ว่าจะเป็นช่วงระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็ราวกับว่าได้ย้อนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นอีกครั้ง ถือเป็นหนึ่งวันหนึ่งคืนคุ้มค่าและน่าจดจำเลยทีเดียว
ยูเมะโนะอิเอะ บ้านแห่งความฝัน (Dream House・夢の家)
บ้านแห่งความฝัน “ยูเมะโนะอิเอะ” แห่งนี้เป็นผลงานศิลปะของศิลปินชาวยูโกสลาเวีย Marina Abramović ผู้ได้รับการขนานนามว่า “มารดาแห่งงานศิลป์” หากจะยกตัวอย่างผลงานขึ้นชื่อคนศิลปินท่านนี้ คงหนีไม่พ้นผลงานไลฟ์เพอร์ฟอร์แมนซ์ “The Artist is present” ที่จัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ศิลปะ MOMA ณ นครนิวยอร์ก หากใครยังนึกไม่ออก ไลฟ์เพอร์ฟอร์แมนซ์นี้คืองานที่ให้ผู้เข้าชมมานั่งเงียบๆ แล้วมองจ้องตากับผู้เข้าร่วมงานทีละคนจนกว่าจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหมดความอดทนไป โดยทำต่อเนื่องวันละ 7 ชั่วโมง 6 วันต่อสัปดาห์
หากคุณอยากรู้จักศิลปินท่านนี้ให้มากกว่านี้ เราขอแนะนำให้คุณลองชมภาพยนตร์สารคดี “Marina Abramovic:The Artist Is Present” นอกจากชื่อเสียงจากตัวศิลปินแล้ว ที่พักแห่งนี้ยังมีคุณค่าในด้านสถาปัตยกรรม เพราะอาคารของที่นี่ถูกปรับปรุงมาจากอาคารเก่าแก่กว่าร้อยปี คุณจะได้ซึมซับทั้งบรรยากาศและเรียนรู้วิถีชีวิต รวมถึงสถาปัตยกรรมเก่าแก่ของพื้นที่เอชิโกะสึมาริ ในจังหวัดนีกาตะได้เป็นอย่างดี
ผลงานศิลปะชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นภายใต้แนวคิดที่อยากให้ผู้คนได้มองความฝันแล้วหันมาพิจารณาตัวเอง ภายใต้สังคมปัจจุบันที่ทุกสิ่งอย่างต่างดำเนินไปอย่างรีบเร่ง ด้วยเหตุนี้ ที่พัก “ยูเมะโนะอิเอะ” แห่งนี้จึงมีกฎการเข้าพักที่แตกต่างจากที่อื่น
อย่างแรกคือ แขกทุกคนจะต้องเข้าไปชำระร้างร่างกายในบ่อออนเซ็นสมุนไพรที่ทำจากทองแดง จากนั้นต้องเปลี่ยนเป็นชุดสีสันสดใสที่ถูกออกแบบโดย Abramovic เอง หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ คุณต้องไปที่ “ห้องชมฝัน”
ภายในห้องชมฝันนี้คุณจะไม่พบกับเฟอร์นิเจอร์ที่พบเห็นได้ตามที่พักทั่วไปอย่างโซฟา หรือทีวี แต่จะพบเพียงเตียงนอนรูปร่างคล้ายโลงศพหนึ่งเตียงวางอยู่ใต้ไฟสลัวสีประหลาด หลังนอนหนึ่งตื่นที่ห้องนี้ คุณจะต้องมาเขียนความฝันของคุณใน “หนังสือรวมฝัน” ในเช้าวันถัดมา
งานศิลปะชิ้นนี้ถูกเริ่มจัดแสดงเป็นครั้งแรกในงานเทศกาลศิลปะครั้งที่หนึ่งในปี 2000 และยังเปิดให้ผู้สนใจเข้าพักได้จนถึงทุกวันนี้ “หนังสือรวมฝัน” กลายเป็นสิ่งรวบรวมเรื่องราวความฝันของผู้คนจากหลากหลายที่เข้าไว้ด้วยกัน
ในปี 2012 ได้มีการคัดเลือก 100 เรื่องราว จากหนังสือรวมฝันแล้วตีพิมพ์ออกเผยแพร่ ในหนังสือเล่มนี้ยังได้รวบรวมบันทึก บทสัมภาษณ์ และรูปภาพล้ำค่าหลากหลายรูปของ Abramovic เอง และของผู้ที่เกี่ยวข้องในโปรเจกต์นี้ทั้งหมดไว้ด้วย
หากการมาเข้าพักของคุณทำให้คุณได้ “มองย้อนสำรวจตัวเองอย่างจริงใจ” ตามคอนเซ็ปต์ที่ศิลปินตั้งใจไว้ ก็อาจเรียกได้ว่าประสบการณ์ที่คุณได้สัมผัสที่นี่ก็เป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งในแบบฉบับของคุณแล้ว
แนะนำผลงานศิลปะ
ชมแสงปลายอุโมงค์ที่ Tunnel of Light
หุบเขาคิยตสึเคียว (Kiyotsukyo・清津峡) ถือเป็นหนึ่งในสามหุบเขาสำคัญของประเทศญี่ปุ่น และได้รับความนิยมอย่างมากในพื้นที่เอชิโกะสึมาริ ตัวหุบเขาและสภาพภูมิประเทศแบบเสาเหลี่ยมนี้ถือเป็นจุดท่องเที่ยวขึ้นชื่อและได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่คุ้มครองทางธรรมชาติของประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ ที่นี่ยังถือเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติโจชินเอสึโคเก็น (Jōshin'etsu-kōgen National Park) อีกด้วย
ต่อไปเราขอแนะนำ “อุโมงค์คิยตสึเคียว (Kiyotsukyo Tunnel・清津峡渓谷トンネル)” หนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับชื่นชมความยิ่งใหญ่ของหุบเขาแห่งนี้ !
ในงานเทศกาลศิลปะเอชิโกะสึมาริปี 2018 มา ยังซอน (馬岩松) สถาปนิกชาวจีนและทีมจากสำนักงานสถาปนิก MAD Architects ได้ออกแบบและสร้างคาเฟ่ที่ทางเข้า ออนเซ็นแช่เท้า และได้ปรับปรุงตัวอุโมงค์ตลอดความยาว 750 เมตร ทำให้การเดินทางเข้าชมหุบเขาคิยตสึเคียวมีความแฟนตาซีขึ้นอีกหลายระดับ
ยังซอนและทีมงานได้สร้างและปรับปรุงพื้นที่ภายตัวอุโมงค์ด้วยแนวคิด “องค์ประกอบของธรรมชาติทั้งห้า” อันได้แก่ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และโลหะ โดยในที่นี้จะขอแนะนำไฮไลท์ส่วนหนึ่งของผลงานชิ้นนี้
ที่จุดชมวิวหมายเลข 2 “ฟองที่มองไม่เห็น (見えない泡)” คุณจะพบกับโดมทรงแคปซูลที่ภายนอกเคลือบผิวสะท้อนคล้ายกระจกเงาตั้งตระหง่านอยู่กลางอุโมงค์ คนที่เดินผ่านมาที่นี่คงเกิดความคิดสงสัยว่าข้างในเจ้าแคปซูลนี้มีอะไรอยู่ แต่หากได้ลองเปิดประตูดูก็จะพบว่าภายในคือ “สุขาชมวิว” ห้องสุขาที่ออกแบบมาให้คุณสามารถทำธุระไปพลางและชื่นชมวิวทิวทัศน์อันตระการตาของหุบเขาคิยตสึเคียวไปพลางได้!
แน่นอนว่า ในเมื่อเจ้าผนังของห้องสุขาชมวิวนี้สามารถมองทะลุจากข้างในได้ คนที่อยู่ข้างในย่อมจะสามารถมองเห็นใบหน้าของคุณที่เดินมาส่องแคปซูลนี้ด้วยความฉงนได้ โดยที่คุณไม่รู้ตัวเลยว่าถูกมองอยู่ !
ส่วนที่จุดชมวิวหมายเลข 3 “หยาดน้ำ (しずく)” คุณจะพบกับกระจกเลนส์นูนจำนวนมากที่ฝังอยู่ตามผนังทางเดินรูปโค้ง กระจกเหล่านี้สะท้อนภาพธรรมชาติรอบๆ และผู้คนที่มาชื่นชมธรรมชาติเหล่านี้เข้าด้วยกัน และแบ็กไลต์สีแดงเพลิงที่ส่องออกมาจากหลังกระจกยิ่งทำให้บรรยากาศของจุดชมวิวนี้ดูลี้ลับน่าค้นหาขึ้นไปอีก
ณ ปลายอุโมงค์ คือจุดชมวิวหมายเลข 4 “บ่อน้ำกระจก (鏡池)” เป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญที่คุณจะพลาดไม่ได้ วิวทิวทัศน์ที่แตกต่างไปตามฤดูกาลทั้งสี่จะถูกสะท้อนลงบนผิวน้ำ ประสานภาพวิวทิวทัศน์ครึ่งวงกลมจากปลายอุโมงค์ให้เป็นวงกลมหนึ่งวงที่สมบูรณ์ ที่จะสะกดทุกลมหายใจของผู้มาเยือนได้อย่างไม่ต้องสงสัย
รับความสดชื่นและพลังชีวิตจากประติมากรรมดอกไม้ Tsumari in Bloom (花咲ける妻有)
การมาเที่ยวในพื้นที่เอชิโกะสึมารินี้ หนึ่งในปัจจัยที่จะมองข้ามไม่ได้คือ หิมะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูหนาวที่หิมะปริมาณมหาศาลจะเข้าปกคลุมงานศิลปะหลายชิ้น ทำให้การจัดแสดงงานศิลปะบางชิ้นต้องปิดตัวลงจนกว่าจะถึงช่วงฤดูเทศกาลศิลปะอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อฤดูหนาวสิ้นสุดลงและหิมะเริ่มละลาย บรรยากาศเริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ งานศิลปะหลายๆ ชิ้นที่ถูกปิดไม่ให้เข้าชมมาตลอดฤดูหนาวจะเริ่มเปิดให้เข้าชมได้อีกครั้ง กล่าวได้ว่า ฤดูใบไม้ผลิเป็นสิ่งที่รวมงานศิลปะและผู้คนเข้าไว้ด้วยกันนั่นเอง
งานประติมากรรมขนาดยักษ์ “Tsumari in Bloom (花咲ける妻有)” ถือเป็นหนึ่งในตัวอย่างงานศิลปะที่มีเวลาเปิดปิดตามฤดูกาลดังที่ได้กล่าวมา งานศิลปะชิ้นนี้เป็นงานประติมากรรมรูปดอกไม้จำลองที่ประกอบไปด้วยเกสร กลีบดอกไม้ และใบประดับสีสันสดใส ตั้งตระหง่านอยู่ที่เนินขนาดย่อมนอกสถานีมัตสึได ด้วยรูปร่างที่ออกแบบมาอย่างน่ารัก ให้ความรู้สึกสดใสกระปรี้กระเปร่า ผลงานชิ้นนี้จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้คนทุกเพศทุกวัย
งานประติมากรรมชิ้นนี้เป็นผลงานของคุซามะ ยาโยอิ (草間彌生) ศิลปินชาวญี่ปุ่นชื่อดังที่ได้รับสมัญญาจากชาวไต้หวันว่าเป็น “เจ้าหญิงลายจุด” ความมีชีวิตชีวาของสีสันและรูปร่างของดอกไม้ดอกนี้จะทำให้ให้ผู้พบเห็นรู้สึกสดชื่นขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
ชมงานศิลปะสุดอินดี้ “แด่กระจกทุกบานที่จากมา” (For lots of lost windows・たくさんの失われた窓のために)
หน้าต่างบานใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่กลางที่โล่งกว้างในพื้นที่นากะซาโตะนี้น่าจะทำให้ผู้ที่สัญจรผ่านมาหลายคนเกิดความฉงนขึ้นในใจ ที่กรอบของหน้าต่างใบนี้มีผ้าแพรสีขาวสว่างติดอยู่ มันจะพัดลู่เริงระบำขึ้นทุกครั้งที่มีลมพัดมา หน้าต่างบานนี้เป็นหนึ่งในงานศิลปะที่ถูกออกแบบโดยอะกิโกะ อุตสึมิ (內海昭子) ภายใต้ชื่อผลงาน “แด่กระจกทุกบานที่จากมา”
หากคุณได้เดินทางมาที่นี่ ลองเดินขึ้นไปตามบันไดที่ตั้งอยู่หน้าหน้าต่างบานนี้แล้วมองลอดหน้าต่างออกไปยังวิวทิวทัศน์เบื้องหน้า คุณจะรู้สึกราวกับว่าความทรงจำเมื่อครั้งมองลอดหน้าต่างบ้านทุกหลังที่เคยอาศัยอยู่ได้ย้อนกลับมา นี่คือแนวคิดเบื้องหลังและที่มาของชื่อสุดสุนทรีย์ของผลงานศิลปะชิ้นนี้
ทัศนียภาพบางอย่างก็มีให้เห็นได้แค่ “เวลานั้น” ณ “ที่แห่งนั้น” ซึ่งเมื่อผ่านไปแล้วเราก็ไม่สามารถย้อนกลับไปดูได้ นอกจากในความทรงจำของเราเอง เพราะฉะนั้น ศิลปินจึงตั้งใจให้ผู้ชมได้ใช้เวลาค่อยๆ ทอดสายตามองและชื่นชมทัศนียภาพของนากะซาโตะแห่งนี้ เพื่อให้ภาพที่จะหลงเหลืออยู่ในความทรงจำนั้นละเอียดและเด่นชัดที่สุด
อีเวนต์ตามฤดูกาลที่ไม่ควรพลาด
แม้ว่าจะไม่ใช่ช่วงงานเทศกาลศิลปะ แต่ที่เอชิโกะสึมาริก็มีอีเวนต์ตามฤดูกาลให้ได้เข้าร่วมอยู่ตลอด นอกจากนี้คุณยังสามารถซื้อแพ็กเกจทัวร์ต่างๆ เช่น บัสทัวร์ 1 วัน เพื่อประหยัดงบในการเดินทางและประหยัดเวลาในการวางแผนทริปได้อีกด้วย ให้คุณเที่ยวชมเอชิโกะสึมาริในฤดูกาลทั้งสี่อย่างเต็มอิ่มได้ตามที่ใจคุณต้องการ
หากจะพูดถึงอีเวนต์ตามฤดูกาลของที่นี่ หลายคนจะต้องนึกถึงงานเทศกาลศิลปะหิมะ SNOWART (冬季 SNOWART) ที่จัดในช่วงวันที่ 19 มกราคมถึง 24 มีนาคม 2019 ที่ผ่านมา ที่มีกิจกรรมทั้งการชมดอกไม้ไฟบนหิมะ หรือการรับประทานอาหารท้องถิ่นอย่าง “ยูกิมิโกะเซ็น (雪見御膳)” ให้ได้เข้าร่วมนั่นเอง
เทศกาลศิลปะหิมะ SNOWART: ชมดอกไม้ไฟบนหิมะ ยูกิฮานาบิ (雪花火)
กิจกรรมชมดอกไม้ไฟบนหิมะ ถือเป็นหนึ่งในกิจกรรมหลักในงานเทศกาลหิมะปี 2019 “Gift for Frozen Village 2019” เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ทาคาฮาชิ เคียวตะ (高橋匡太) ศิลปินเบื้องหลังกิจกรรมนี้ได้ฝังไฟ LED เจ็ดสีดวงเล็กๆ เป็นจำนวนหลายล้านดวงไว้ใต้หิมะ เมื่อฉายขึ้นพร้อมกันในยามค่ำคืนจะให้ความรู้สึกราวกับว่าคุณได้หลุดเข้าไปในโลกแฟนตาซีสุดอลังการอีกใบหนึ่ง
ทันทีที่นาฬิกาบอกเวลาทุ่มตรง ท้องฟ้ายามค่ำคืนอันเงียบสงบเหนือพื้นที่เอชิโกะสึมาริจะคึกคักและถูกประดับประดาไปด้วยแสงไฟจากดอกไม้ไฟหลากสีสัน คุณจะรู้สึกราวกับว่าภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าคือผ้าใบสีดำผืนใหญ่ที่ถูกแต่งแต้มทาสีลงด้วยแสงสีจากดอกไม้ไฟแต่ละดวง เป็นผืนผ้าใบที่คุณจะไม่อยากละสายตาแม้เพียงพริบตาเดียว
พร้อมกันนี้ แสงจากหลอดไฟนับล้านดวงเบื้องหน้าก็จะส่องแสงสว่างไสวเรียงต่อกันไปจนสุดขอบสายตาที่พื้นหิมะบรรจบกับท้องฟ้า ภายใต้ความหนาวเหน็บจากหิมะ แต่ค่ำคืนนี้จะเป็นหนึ่งคืนที่คุณจะรู้สึกอบอุ่นหัวใจและลืมไม่ลงอย่างแน่นอน
เทศกาลศิลปะหิมะ SNOWART: รับประทานอาหารท้องถิ่น “ยูกิมิโกะเซ็น” (雪見御膳)
บริเวณพื้นที่เกษตรกรรมละแวกนี้เป็นที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์พื้นเมืองมัตสึได (松代郷土資料館)” ซึ่งอยู่ภายในบ้านอยู่อาศัยอายุกว่า 140 ปี โครงสร้างภายในห้องพิพิธภัณฑ์นี้ได้ถูกอนุรักษ์ให้คงสภาพเดิมไว้ และได้มีการจัดแสดงเครื่องไม้เครื่องมือภูมิปัญญาชาวบ้านที่มีความผูกพัน และความสำคัญต่อวิถีชีวิตของคนท้องถิ่นในสมัยก่อน
และที่นี่ ภายใต้บรรยากาศแบบดั้งเดิมของมัตสึไดนี้ คุณสามารถมาลิ้มลองเซ็ตอาหารท้องถิ่น “ยูกิมิโกะ” ได้ บอกได้เลยว่าทั้งบรรยากาศ อาหาร และผู้คนทำให้คุณจะรู้สึกไม่เสียดายที่เดินทางมาถึงที่นี่เลยล่ะ
ทันทีที่คุณมาถึง จะมีเหล่าคุณป้าท่าทางใจดี สวมชุดแม่ครัวญี่ปุ่นโบราณแบบเต็มยศเรียงคิวออกมาต้อนรับคุณอย่างอบอุ่น
เหล่าบรรดาคุณป้าที่ทำงานอยู่ที่นี่ไม่เพียงแค่ทำอาหารมาเสิร์ฟตามออเดอร์ แต่หลายๆ ครั้งเหล่าคุณป้ายังออกแบบและทำเมนูโปรดของตัวเองออกมาเสิร์ฟบ้าง เพิ่มผักท้องถิ่นตามฤดูกาลเข้าไปในเมนูให้บ้าง หรือออกมาเติมน้ำให้พร้อมทั้งอธิบายถึงวัตถุดิบที่ใช้ในอาหารรวมถึงวิธีการทำก็มีเช่นกัน
ด้วยบริการสุดประทับใจนี้จะทำให้แขกที่มาเยือนทั้งอิ่มท้องและอิ่มใจกลับบ้านไปด้วยความทรงจำดีๆ อย่างแน่นอน
เชิญมาสัมผัสศิลปะและธรรมชาติแห่งเอชิโกะสึมาริด้วยตัวคุณเอง
อ่านบทความมาถึงตรงนี้แล้ว เริ่มรู้สึกอยากปลดเปลื้องจากภาระการงานมาให้ศิลปะและธรรมชาติเยียวยาร่างกายและจิตใจกันบ้างหรือยัง ?
บทความแนะนำงานเทศกาลศิลปะเอชิโกะสึมาริ-ไดจิทั้งสองตอนนี้น่าจะทำให้คุณผู้อ่านได้รู้สึกว่าศิลปะไม่ใช่เรื่องยากและไกลตัวอย่างที่คิด หากมีโอกาส เราอยากเชิญชวนให้คุณได้ลองมาท่องเที่ยวและสัมผัส “งานเทศกาลศิลปะเอชิโกะสึมาริ-ไดจิ” เพื่อชื่นชมความงามของศิลปะและธรรมชาติผ่านทริปท่องเที่ยวแนวใหม่ที่จะสร้างความประทับใจมิรู้ลืมให้กับคุณ !
ส่วนใครที่พลาดบทความครึ่งแรกไป สามารถย้อนกลับไปอ่านได้ที่ลิงก์ด้านล่างนี้เลย !
สามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับทัวร์นี้ได้ที่ http://www.echigo-tsumari.jp/eng/tour/
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา คุณสามารถติดต่อและติดตามเราได้ผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่