4 กิจกรรมแนะนำใน "ฟุคุชิมะ" เพื่อเพลิดเพลินไปกับภูเขาและทะเล! (ขี่ม้า - ตกปลา - พายเรือยืน - ทำฟาร์ม)
จังหวัดฟุคุชิมะตั้งอยู่ในภูมิภาคโทโฮคุของประเทศญี่ปุ่น สามารถเดินทางจากโตเกียวได้ด้วยรถไฟชินคันเซ็นโดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น พื้นที่บริเวณนี้เต็มไปด้วยธรรมชาติของภูเขาและทะเลที่อยู่โดยรอบ ตามมารู้จักกับดินแดนแห่งความสุขนี้กันให้มากขึ้นผ่านการทำกิจกรรมอย่างการขี่ม้า ตกปลา พายเรือยืน (SUP) และทำไร่ทำฟาร์มได้เลย
* บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก สมาคมการท่องเที่ยวและแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์ ประจำจังหวัดฟุคุชิมะ
จังหวัดฟุคุชิมะเป็นอย่างไร?
ลักษณะเด่น
จังหวัดฟุคุชิมะตั้งอยู่ทางใต้สุดของภูมิภาคโทโฮคุ มีเนื้อที่กว้างเป็นอันดับ3ของประเทศญี่ปุ่น และมีเทือกเขาทอดยาวในแนวเหนือ - ใต้ จังหวัดนี้แบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ ได้แก่ นากาโดริ, ไอสุ, ฮามาโดริ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของภูมิประเทศ, ภูมิอากาศ, เศรษฐกิจ, วัฒนธรรม และภาษาท้องถิ่น โดยสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงต่างๆ เช่น ทะเลสาบอินาวะชิโระ (猪苗代湖) ที่ราบสูงอุระบันได (磐梯高原) หมู่บ้านโบราณโออุจิจูคุ (大内宿) ปราสาทสึรุกะ (鶴ヶ城) ฯลฯ มักจะอยู่ในเขตไอสุ
นอกจากนี้ พื้นที่ต่างๆ ในจังหวัดฟุคุชิมะก็อาจจะมีอุณหภูมิที่ต่างกันอย่างลิบลับ โดยเริ่มตั้งแต่ -4 ไปจนถึง 35 องศาเซลเซียส หากคุณอยากสนุกกับกิจกรรมกลางหิมะหรือทิวทัศน์ของหิมะในฤดูหนาวแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้แวะไปพื้นที่แถวไอสุในช่วงเดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์
จังหวัดฟุคุชิมะเป็นจังหวัดที่อุดมไปด้วยอาหารการกิน คุณสามารถเพลิดเพลินไปกับรสชาติของวัตถุดิบทั้งจากภูเขาและท้องทะเล สิ่งที่เราอยากแนะนำเป็นพิเศษ คือ ลูกพีชฟุคุชิมะ โดยเริ่มที่ "อาคาสึกิ" (あかつき) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่เป็นตัวแทนของจังหวัด ฤดูเก็บเกี่ยวลูกพีชจะเริ่มตั้งแต่ช่วงต้นไปจนถึงปลายฤดูร้อน ซึ่งจังหวัดนี้ก็สามารถผลิตได้ในปริมาณมากเป็นอันดับ 2 ของญี่ปุ่น รองจากจังหวัดยามานาชิเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ฟุคุชิมะยังถูกล้อมไปด้วยภูเขาและธรรมชาติ ทำให้มีดินและน้ำอุดมสมบูรณ์ซึ่งส่งผลให้สามารถปลูกข้าวและผลิตเหล้าสาเกซึ่งเป็นของขึ้นชื่ออีกอย่างหนึ่งได้ แล้วยังมี "คิตะคาตะราเมง" (喜多方ラーメン) ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของราเมงเจ้าใหญ่ในญี่ปุ่นเช่นเดียวกับซัปโปโรและฮากาตะด้วย คิตะคาตะราเมงนี้จะใช้ซุปโชยุที่มีรสชาติสดชื่นเป็นฐาน รับประทานคู่กับเส้นหมี่ชิจิเระอันเหนียวนุ่มที่มีความหนาระดับกลาง เป็นเมนูที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว
วิธีเดินทางไปจังหวัดฟุคุชิมะ
ทางอากาศ
หากคุณเดินทางมาจากต่างประเทศก็สามารถนั่งเครื่องบินไปลงที่สนามบินนานาชาติเซ็นได (Sendai International Airport) หรือสนามบินอิบารากิ (Ibaraki Airport) ได้เลย แต่หากคุณต้องการเดินทางจากโตเกียวก็สามารถเช่ารถยนต์เพื่อขับไปจังหวัดฟุคุชิมะ หรือไม่ก็ซื้อตั๋วเที่ยวบินภายในประเทศไปลงที่ท่าอากาศยานฟุคุชิมะ (Fukushima Airport) โดยตรง นอกจากนี้ ญี่ปุ่นก็ยังมีรถบัสและยานพาหนะอื่นๆ อีกมากมายที่สามารถพาคุณเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางได้
ทางบก
หากคุณต้องการเดินทางจากโตเกียว เส้นทางที่ใกล้ที่สุด คือ การขึ้นโทโฮคุชินคันเซ็น ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง 30 นาที ในการเดินทางไปยังสถานีโคริยามะ (Koriyama) ที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองของจังหวัดฟุคุชิมะ จากนั้นคุณก็เพียงเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสายท้องถิ่น เช่น สาย JR Ban-Etsusai หรือสาย Ban-Etsutou เพื่อเดินทางไปยังที่หมายต่างๆ ได้
อีกวิธีหนึ่ง คือ คุณสามารถนั่งรถไฟ Tobu Railway Revaty เพื่อเดินทางจากสถานีอาซากุสะ (Asakusa Station) ในโตเกียวไปยังสถานีไอสุทาจิมะ (Aizu Tajima) ได้ โดยจะใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง 30 นาที จากนั้นจึงค่อยเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟท้องถิ่นของไอสุเพื่อเดินทางต่อ
ขี่ม้าเดินเล่นใน "เมืองที่ผู้คนและม้าอาศัยอยู่ร่วมกัน"
เมืองมินามิโซมะ (南相馬) ในจังหวัดฟุคุชิมะมีความเกี่ยวข้องกับม้าอย่างลึกซึ้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ ในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ที่นี่จะมีการจัดเทศกาล "โซมะโนะมาโออิ" (相馬野馬追) ซึ่งเป็นงานที่คนสวมชุดเกราะประมาณ 400 คนจะมาเข้าร่วมในการแข่งขันม้าเกราะและต่อสู้เพื่อชิงธงเทพเจ้ากันบนหลังม้า เป็นภาพที่ดูราวกับเรื่องเล่าในภาพวาดโบราณเลยทีเดียว
งานนี้จัดมาอย่างยาวนานกว่า 1,000 ปีแล้ว และในปัจจุบันก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นหนึ่งในทรัพย์สินทางวัฒนธรรมพื้นบ้านที่จับต้องไม่ได้ที่สำคัญของประเทศด้วย
ครั้งนี้เราได้เดินทางไปยัง โอดากะ อุมะซัมโปะ (小高うまさんぽ) ที่ตั้งอยู่แถวสถานีโอดากะ (Odaka Station) ของเมืองมินามิโซมะ เป็นจุดทำกิจกรรมขี่ม้าที่จะให้ประสบการณ์ที่ต่างจากการขี่ม้าทั่วไปแบบสุดขั้ว! ที่นี่จัดตั้งขึ้นโดยสมาคม Horse Value ซึ่งพวกเขาจะไม่ได้พาคุณไปขี่ม้าในฟาร์ม แต่จะพาไปเดินบนท้องถนนของโอดากะ กิจกรรมนี้มีวัตถุประสงค์ให้ผู้คนได้เจริญความสัมพันธ์ในการใช้ชีวิตร่วมกับม้าและเข้าใจม้าได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการช่วยให้ม้าแข่งวัยเกษียณได้มีโอกาสออกไปใช้ชีวิตข้างนอกด้วย
ม้าสองตัวที่ไปเดินเล่นกับเราในวันนี้ คือ น้องแองเจลโล่ (อายุ 13 ปี) ซึ่งเป็นม้าสีดำนิสัยอ่อนโยน และน้องวาตะริน (อายุ 8 ปี) ม้าขาวเสน่ห์แรง ทั้งคู่ดูหล่อเหลาสมกับเป็นอดีตม้าแข่งจริงๆ
ถนนบริเวณสถานีโอดากะเป็นถนนเลนกว้างที่ไม่ค่อยมีรถหรือผู้คนเดินผ่าน และเวลาที่คุณขี่ม้าก็จะมีผู้ดูแลมาช่วยจูงตลอดเวลาด้วย ดังนั้น ถึงแม้คุณจะไม่เคยขี่ม้ามาก่อนก็สามารถสนุกกับมันได้ไม่ยาก ใกล้ๆ กันนั้นมีศาลเจ้าโอดากะ (小高神社) ที่เป็นสถานที่สำคัญในการจัดงานเทศกาลโซมะโนะมาโออิอยู่ ชาวบ้านแถวนั้นเป็นมิตรกับม้ากันมากๆ แถมหลายๆ คนก็เลี้ยงม้ากันจริงๆ ด้วย! ระหว่างที่เดินไปรอบเมืองก็มีคนจากร้านค้าและบ้านเรือนมากมายออกมาทักทายเราอย่างอบอุ่นไปตลอดเส้นทาง เจ้าสองตัวนี้เป็นที่รักของชาวบ้านมากทีเดียว
กิจกรรมขี่ม้าของ "โอดากะ อุมะซัมโปะ" ไม่ได้ไปถึงแค่ไปถึงศาลเจ้าโอดากะเท่านั้น แต่เรายังสามารถไปเดินเล่นต่อในป่าหรือชายหาดได้ด้วย
มาลองขี่ม้าเล่นแถวสถานีโอดากะ เพื่อสัมผัสกับสายใยอันอบอุ่นระหว่างคนกับม้าดูสิ!
ตกปลาแบบดั้งเดิมด้วย "เบ็ดไม้ไผ่ทำมือ"
เมืองโซมะ (相馬) ตั้งอยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิกในเขตฮามาโดริของจังหวัดฟุคุชิมะ ที่นี่มีอุตสาหกรรมหลักเป็นการประมง และกิจกรรมที่เรากำลังจะไปทำนี้ก็อยู่ที่เรียวกังเล็กๆ แห่งหนึ่งในแถบมัตสึคาวะอุระ (松川浦) โดยคุณจะต้องซื้อแพ็กเกจทำกิจกรรมพร้อมที่พักก่อน จึงจะได้สนุกกับความท้าทายของการทำคันเบ็ดไม้ไผ่ ผูกสายเบ็ดกับขอเกี่ยว และมุ่งหน้าไปตกปลา
อันดับแรก เริ่มด้วยการเลือกไม้ไผ่ที่ชอบ ไม้ไผ่ดำเป็นไผ่ที่มีก้านบางและขนาดพอดีมือซึ่งถือว่าเหมาะสำหรับการทำคันเบ็ด เราจะใช้เลื่อยตัดใบไผ่แต่สิ่งสำคัญในการตัด คือ ต้องดูองศาและตำแหน่งในการลงเลื่อยอย่างระมัดระวังซึ่งจะช่วยให้เราตัดได้เรียบที่สุด เพราะหากมีกิ่งไม้เหลืออยู่ก็อาจจะตำมือและทำให้เจ็บเวลาจับนั่นเอง ส่วนใบไผ่ที่ตัดออกไปนั้น เราจะยังไม่ต้องทิ้ง เพราะสามารถนำไปใช้ต่อได้ในภายหลัง
หลังจากมัดสายเบ็ดและเข็มแล้วก็ถือว่าทำเบ็ดเสร็จเรียบร้อย จากนั้นเราก็ออกเดินทางไปย้งท่าเรือเพื่อตกปลากันต่อ ทุกคนเป็นมือใหม่กันหมด แต่พอเอาเบ็ดลงก็มีปลามากินทันที แม้แต่พวกเราที่มาตกปลาเป็นครั้งแรกก็รู้สึกได้ถึงความสำเร็จ ปลาที่เราตกได้ส่วนใหญ่จะเป็นปลาฮาเสะ (ハゼ) แต่หากใครโชคดีก็อาจจะตกปูได้ด้วย
หลังจากที่ตกปลาเสร็จ เราก็เดินทางไปยังสถานที่จับปลาแบบที่ต้องจุ่มใบไผ่ลงไปในน้ำ ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษตามคำบอกเล่าของคนในท้องถิ่น เขาว่าหากนำใบไผ่ที่ตัดไว้ตอนทำคันเบ็ดลงไปแช่ในน้ำทะเลเป็นเวลา 2 เดือน รสชาติของใบไผ่จะหายไปตามธรรมชาติ สีเขียวสดใสของใบไผ่จะกลายเป็นสีน้ำตาล และสุดท้ายก็จะมีกุ้งกับปูตัวเล็กๆ มาอาศัยอยู่ตามหลังใบไผ่
จากนั้น เมื่อนำใบไผ่ขึ้นมาเขย่าดู เราก็จะได้กุ้งและปูติดมาโดยตามธรรมชาตินั่นเอง เป็นความโชคดีที่วันนี้เราจับม้าน้ำป่าอันหายากมาได้ด้วย ว่ากันว่าม้าน้ำมักจะอาศัยอยู่ในแม่น้ำที่สะอาดและมีคุณภาพ ซึ่งก็แสดงให้เห็นว่าคุณภาพน้ำของมัตสึคาวะอุระนั้นดีจริงๆ
"Moon Road Starlight Cafe" ช่วงเวลาแห่งการเยียวยาด้วยแสงจันทร์และฟ้าพร่างดาว
เมื่อทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปยังชายฝั่งโอสุที่ตั้งอยู่ระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมัตสึคาวะอุระ บนชายฝั่งแห่งนี้ไม่มีแม้แต่ไฟจราจรหรือไฟถนน รอบๆ กายมีแต่ความมืดมิดจนสามารถเห็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวซึ่งส่องแสงระยิบระยับอย่างสวยงาม พวกเราไปนั่งดื่มกาแฟริมทะเลกันเงียบๆ โดยนั่งบนเขื่อนกันคลื่นที่สร้างขึ้นหลังเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่น และมีมัคคุเทศก์ชาวท้องถิ่นคอยเล่าประวัติศาสตร์ของพื้นที่ดังกล่าวให้เราฟังระหว่างที่นั่งมองพระจันทร์ที่กำลังลอยสูงขึ้นอย่างช้าๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เราได้เห็นพระจันทร์ที่ใหญ่และสวยงามขนาดนี้ ถึงแม้จะไม่ใช่การไปนั่งในร้านกาแฟจริงๆ แต่เราสามารถเข้าใจได้ถึงความหมายของประสบการณ์นี้ ว่าทำไมมันถึงชื่อ "Moon Road Starlight Cafe"
แสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำทะเลและท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาวระยิบระยับนี้จะเป็นภาพที่เราไม่มีวันลืมอย่างแน่นอน
สัมผัสประสบการณ์ "พายเรือยืนเมนุมะ" ท่ามกลางทิวทัศน์แสนสวย
SUP (Stand Up Paddleboarding) เป็นกีฬาที่มีต้นกำเนิดมาจากฮาวาย ซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลกในฐานะกีฬาทางน้ำชนิดหนึ่ง ญี่ปุ่นเองก็มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่สามารถทำกิจกรรมนี้ได้ และในครั้งนี้ เราก็ได้มาที่สึจิยุออนเซ็น (土湯温泉) ซึ่งอยู่บริเวณ "บึงเมะนุมะ" (女沼) ของอุทยานแห่งชาติบันไดอาซาฮี (磐梯朝日国立公園) ทางฝั่งตะวันตกของเมืองฟุคุชิมะ ทะเลสาบแห่งนี้มีคลื่นน้อยจึงเหมาะสำหรับคนที่กำลังหัดเล่น SUP มากๆ
พื้นที่บริเวณเมะนุมะและโอนุมะ (男沼) ที่อยู่ใกล้ๆ กันนั้น เกิดจากการระเบิดของภูเขาไฟและตะกอนไหลจากบนภูเขา ครั้งนี้เราได้แวะที่เมะนุมะซึ่งตั้งอยู่ในความสูง 532 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล และมีความลึกถึง 8.7 เมตร พื้นที่รอบๆ เต็มไปด้วยทิวทัศน์อันสวยงาม และเนื่องจากเราไปทำกิจกรรมกันในช่วงฤดูใบไม้ร่วง จึงได้พบกับความสวยงามอันน่าทึ่งของใบไม้ที่กำลังเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีแดง
การพายเรือยืนในเมะนุมะนั้น ไม่มีข้อกำหนดว่าจะต้องสวมเสื้อผ้าแบบไหน คุณจึงสามารถสวมชุดลำลองได้อย่างสบายๆ ผิวน้ำในทะเลสาบแห่งนี้ค่อนข้างนิ่งและไม่มีคลื่นสูง ดังนั้น เพียงทำตามคำแนะนำของผู้สอนก็ไม่ต้องกังวลว่าจะตกน้ำแล้ว
เมื่อฟังคำอธิบายวิธีควบคุมทิศทางจากผู้สอนบนฝั่งกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาสวมเสื้อชูชีพและออกไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์!
อันดับแรก เราขอแนะนำให้คุณฝึกนั่งและพายเรือดูก่อน เมื่อชินแล้วจึงค่อยลุกขึ้นยืน ตรงนี้หากคุณพายไปรอบทะเลสาบไปพร้อมกับไกด์และผู้สอน ก็จะได้เห็นปลาที่แหวกว่ายอยู่ในบริเวณน้ำตื้นอย่างชัดเจนด้วย นอกจากนี้ บนชายฝั่งยังมีต้นไม้กิ่งก้านใบสีเหลืองส้มดูสวยงามและทิวทัศน์สุดโรแมนติกราวกับภาพวาด ที่สามารถชมได้จากบนบอร์ด SUP บอกไกด์ให้กดชัตเตอร์เก็บภาพกันรัวๆ ได้เลย
หากใครกังวลว่าจะไม่ถนัดการพายเรือด้วยบอร์ดอย่าง SUP ที่นี่ก็มีเรือคายัคให้คุณด้วยเช่นกัน คุณสามารถนั่งพายได้ 1 - 2 คน และเพลิดเพลินไปกับธรรมชาติของเมะนุมะอย่างสบายใจ
สัมผัสกับวิถีชีวิตใน "ฟาร์มคิตะคาตะ" ด้วยการเก็บผักออร์แกนิค
คิตะคาตะเป็นพื้นที่ที่อยู่ทางทิศเหนือของเขตไอสุ มีลักษณะเป็นแอ่งที่ล้อมรอบด้วยภูเขาและมีชื่อเสียงในเรื่อง "คิตะคาตะราเมง" ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ราเมงหลักของญี่ปุ่น คิตะคาตะเป็นเมืองแรกที่ส่งเสริม "Green Travel" ในประเทศญี่ปุ่น โดยนักท่องเที่ยวจะสามารถเข้าใจวิถีชีวิตและวัฒนธรรมท้องถิ่นได้จากการเข้าร่วมทัวร์เปิดประสบการณ์ทางการเกษตร
กิจกรรมที่เราเข้าร่วมในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากเรียวกังออนเซ็นฟูจิยะ (温泉旅館ふじや) เริ่มต้นด้วยการมุ่งหน้าไปเก็บผักในฟาร์มของฟูจิยะ นอกจากจะมีหัวไชเท้าสีขาวแล้ว เรายังต้องตะลึงไปกับพืชผักพันธุ์พิเศษ อย่างหัวไชเท้าสีม่วงและแดง กับผักกาดแดงซึ่งไม่ค่อยจะมีให้เห็นตามซูเปอร์มาร์เก็ต หากเราอาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็จะสามารถนำผักที่เก็บกลับบ้านได้ แต่ถึงจะไม่ได้อาศัยอยู่ในญี่ปุ่นก็สามารถเพลิดเพลินกับผักออร์แกนิคในอาหารมื้อค่ำได้เหมือนกัน
เมื่อกลับมาถึงฟูจิยะ เราก็เข้าไปในครัวของฟูจิยะเพื่อทำอาหารกันต่อ โดยจะใช้ผักสดที่เก็บมาก่อนหน้านี้ในการทำอาหารภายใต้คำแนะนำของ "โอคามิ" (คำที่ใช้เรียกหญิงสาวเจ้าของเรียวกัง) หัวไชเท้าสีม่วงแดงนั้นสามารถรับประทานดิบได้ เพียงแค่นำมาหั่นเป็นชิ้นก็พอแล้ว รสสัมผัสกรอบหวาน และความเผ็ดซ่าติดลิ้นนิดๆ เป็นรสชาติที่ชวนให้รู้สึกอยากทานอยู่ตลอดเวลา เราเอาหัวไชเท้าและหัวผักกาดไปทำเป็นสลัดซึ่งเป็นหนึ่งในเมนูอาหารของมื้อเย็น และในส่วนของหม้อไฟ เราก็ได้ใส่ผักออร์แกนิคลงไป แล้วตามด้วยหัวไชเท้าสับเพื่อเพิ่มความหวาน
ความแตกต่างระหว่างฟูจิยะและเรียวกังออนเซ็นทั่วไปนั้นจะอยู่ที่เมนูอาหารที่ไม่ธรรมดา เพราะที่นี่ใช้ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคซึ่งดีต่อสุขภาพ อีกทั้งยังมีความสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการจัดเตรียมที่ไม่ถูกผูกมัดตามกฎเกณฑ์ หรือการจัดอาหารแบบเรียบง่ายที่ถึงแม้จะไม่ได้ดูหรูหรา แต่รับรองว่าคุณจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นอย่างแน่นอน
จากทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น จะเห็นได้ว่ากิจกรรมแต่ละอย่างนั้นใช้เวลาประมาณ 2 - 3 ชั่วโมง ดังนั้นหากคุณสนใจ ก็ขอให้เก็บไว้เป็นตัวเลือกในการแพลนทริปเที่ยวครั้งต่อไปของคุณเพื่อสัมผัสกับสีสันของฟุคุชิมะที่ต่างไปจากเดิม
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่