แนะนำ 10 เมืองน่าเที่ยวในญี่ปุ่นที่ถ้าได้มาต้องห้ามพลาดเด็ดขาด!
แม้ว่าประเทศญี่ปุ่นจะมีชนชาติญี่ปุ่นเป็นชนชาติหลักเพียงหนึ่งเดียว แต่คุณจะต้องประหลาดใจไปกับเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันของแต่ละเมืองที่คุณไปเยือน ไม่ว่าจะเป็นเอกลักษณ์ด้านอาหารท้องถิ่น เทศกาลที่น่าตื่นตาตื่นใจ หรือแลนด์มาร์กและจุดถ่ายรูปยอดนิยมที่แต่ละเมืองต่างภาคภูมิใจนำเสนอ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์ หรือเป็นนักช็อปตัวยง คุณก็จะพบเมืองที่ใช่สำหรับคุณอย่างแน่นอน มาดูกันว่า 10 สุดยอดเมืองในญี่ปุ่นที่คุณไม่ควรพลาดมาเหล่านี้มีที่ไหนกันบ้าง!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
1. โตเกียว (Tokyo) : เมืองที่มีทุกอย่างสำหรับทุกคน!
เมืองหลวงที่ไม่หลับไหลของประเทศญี่ปุ่นแห่งนี้ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในผู้นำเทรนด์แฟชั่นโลก จึงถือเป็นสวรรค์ของนักช็อปทั้งหลายที่จะสามารถมาจับจ่ายได้กับทุกสิ่งอย่างในงบประมาณที่ต้องการ เหล่าแฟชั่นนิสต้าจะสามารถมองหาเครื่องแต่งกายดีไซน์คุณภาพได้ในร้านสุดทันสมัยที่กระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่งในโตเกียว
ย่านชิบุย่า (Shibuya, 渋谷) และชินจูกุ (Shinjuku, 新宿) เป็นย่านสำหรับนักช็อปเยาว์วัยที่จะสามารถมาหาซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ดังของญี่ปุ่นหลากหลายแบรนด์ที่กระจายตัวอยู่ตลอดทั้งย่าน ในขณะที่เหล่าวัยรุ่นอาจจะถูกใจร้านรวงอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่เรียงรายอยู่ตลอดสองข้างฝั่งถนนทาเคชิตะ (Takeshita Street, 竹下通り) ที่อยู่ห่างออกมาจากสถานีรถไฟ JR ฮาราจูกุ (JR Harajuku Station, JR原宿駅) เพียงหนึ่งช่วงถนน สำหรับคนที่กระเป๋าหนักขึ้นมาหน่อยก็สามารถเพลิดเพลินไปกับการช็อปปิ้งได้ที่ร้านทันสมัยที่หรูขึ้นมาอีกระดับในย่านโอโมเตะซันโด (Omotesandō, 表参道) ได้เช่นกัน
หรือหากคุณต้องการที่จะเลือกซื้อสินค้าลดราคาและพูดคุยกับเจ้าของร้านอย่างเป็นกันเอง ขอแนะนำให้ลองไปที่ถนนช็อปปิ้งตามชุมชนต่างๆ หรือที่ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "โชเทนไก (商店街)" โดยหนึ่งที่ที่เราอยากแนะนำคือ เท็นจินโดริ โชเทนไก (Tenjin-dori Shotengai, 天神通り商店街) แต่หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบเสื้อผ้ามือสองสไตล์วินเทจหน่อยๆ ย่านชิโมะคิตะซาว่า (Shimokitazawa, 下北沢) ถือเป็นย่านที่คุณห้ามพลาด เพราะที่ย่านนี้เต็มไปด้วยเสื้อผ้าสุดเก๋ที่จะช่วยให้สไตล์แฟชั่นของคุณดูโดดเด่นขึ้นในราคาที่ถูกเหมือนได้เปล่าเลยทีเดียว
หากคุณต้องการวางแผนการท่องเที่ยวและช็อปปิ้งในโตเกียว ลองเข้าไปอ่านเพิ่มเติมที่ 10 ถนนช็อปปิ้งในโตเกียวที่คุณไม่ควรพลาด [ฉบับปี 2019] ที่ทางเราก็ได้รวบรวมรวมไว้เป็นไอเดียสำหรับคุณ!
นอกเหนือจากจุดเด่นในเรื่องการช็อปปิ้ง โตเกียวยังติดอันดับเป็นหนึ่งในเมืองน่าอยู่ของโลกอย่างไม่น่าแปลกใจ เพราะที่นี่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวในร่มและพื้นที่กลางแจ้งให้ครอบครัวได้ออกมาใช้เวลาร่วมกันอย่างคุ้มค่าและมีคุณภาพ
หากคุณเป็นคนที่ชอบสวนสนุก ก็สามารถที่จะพาครอบครัวของคุณไปเที่ยวที่ธีมพาร์คอย่าง Sanrio Puroland (サンリオピューロランド) หรือ Yomiuri Land (よみうりランド) ได้ หรือหากคุณต้องการที่จะให้เด็กๆ ได้มารับความรู้วิทยาศาสตร์ควบคู่ไปกับความสนุกสนานจากการท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และนวัตกรรมแห่งชาติ Miraikan (未来館) ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ส่วนครอบครัวที่ต้องการใช้เวลาไปกับธรรมชาติพร้อมเตรียมของไปปิคนิค หรือเดินเล่นก็สามารถไปได้เช่นกันที่สวนอาสุกะยามะ (Asukayama Park, 飛鳥山公園) หรือสวนโยโยกิ (Yoyogi Park, 代々木公園) ได้เช่นกัน
ที่โตเกียวยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่คุณสามารถมาทำและเพลิดเพลินไปกับการท่องเที่ยวของคุณได้ คุณสามารถหาดูไอเดียดีๆ เพิ่มเติมสำหรับทริปของคุณได้ได้จากบทความ 50 สิ่งยอดฮิตที่ต้องทำเมื่อไปโตเกียว หรือถ้าคุณไม่มีเวลามากสำหรับการท่องเที่ยวไปรอบๆ เมือง ลองพิจารณา แผนเที่ยว กิน ช็อป 1 วัน สำหรับใครที่มาโตเกียวเป็นครั้งแรก! ดูก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีเช่นกัน
2. คานาซาว่า (Kanazawa): เมืองที่ผสมผสานความโบราณและความทันสมัยเข้าด้วยกันอย่างสมดุล
เมืองที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น "เกียวโตขนาดย่อม" อย่างเมืองคานาซาว่านี้ ถือเป็นเมืองหลวงของจังหวัดอิชิคาว่า (Ishikawa) ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากได้เป็นประจำทุกปี จากบรรยากาศที่มีเสน่ห์ที่เกิดการผสมผสานกันอย่างกลมกลืนระหว่างวัฒนธรรมเก่าแก่และความทันสมัย ทั้งยังเป็นเมืองที่เดินทางไปได้สะดวกสบายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงครึ่งโดยรถไฟชินคันเซ็นจากโตเกียว
หากคุณเป็นคนที่มีความสนใจในสถาปัตยกรรมและการวางผังเมืองเป็นพิเศษ คุณจะตกตะลึงไปกับความงามของสถาปัตยกรรมของเมืองนี้ได้ตั้งแต่ที่สถานีรถไฟ JR คานาซาว่า (JR Kanazawa Station, JR金沢駅) สถานีนี้มีแลนด์มาร์คสำคัญคือประตูไม้โทริอิ (鳥居, ซุ้มประตูแบบญี่ปุ่น) ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงทางเข้า ซึ่งแม้ว่าจะทำจากไม้แต่ดีไซน์ของซุ้มประตูนี้ก็ผสมผสานเข้ากับโครงสร้างแท่งเหล็กและกระจกที่ตกแต่งอยู่ภายในสถานีได้เป็นอย่างดี เสมือนว่าประตูนี้เป็นสิ่งที่แสดงความเคารพต่อวัฒนธรรมเก่าแก่ของท้องถิ่นและพร้อมกันนี้ก็แสดงให้เห็นว่า เมืองคานาซาว่าก็พร้อมที่จะมองออกไปข้างหน้ายังอนาคตเช่นกัน
นอกจากนี้ คุณยังจะสามารถมาสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นของเมืองนี้ได้ที่โรงน้ำชาเก่าแก่ทั้งหลายในเขต Higashi Chaya (ひがし茶屋街) เพราะโรงน้ำชาในเขตนี้ได้รักษาบรรยากาศและวัฒนธรรมการดื่มชาแบบโบราณไว้ได้เป็นอย่างดี ภายในเขตนี้ยังมีร้านค้าท้องถิ่นที่จำหน่ายขนมและของฝากของจังหวัดคานาซาว่า ให้คุณได้มาลิ้มลองและซื้อติดไม้ติดมือกลับไปฝากเพื่อนๆ หรือครอบครัวของคุณได้อีกด้วย
ผู้ที่สนใจในงานสถาปัตยกรรมยังสามารถมาเพลิดเพลินไปกับงานจัดแสดงศิลปะที่ พิพิธภัณฑ์ศิลปะศตวรรษที่ 21 คานาซาวะ (21st Century Museum of Contemporary Art Kanazawa, 金沢21世紀美術館) ได้ ตัวอาคารทรงกลมและผนังกระจกของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ให้ความรู้สึกที่เปิดกว้างต่อผู้มาเยือน และงานศิลปะชื่อดังอย่าง "Swimming Pool" โดย Leandro Erlich ศิลปินชาวอาร์เจนตินา ที่จัดแสดงที่นี่จะเชื้อเชิญให้คุณมาใช้เวลาดื่มด่ำไปกับพื้นที่อันสร้างสรรค์แห่งนี้ พิพิธภัณฑ์นี้ยังได้รับการยอมรับจากผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ยืนยันได้จากรางวัลที่ได้รับมอบจากนิทรรศการสถาปัตยกรรมนานาชาติ เวนิส เบียนนาเล ครั้งที่ 9 เมื่อปี 2004
อ่านมาถึงตรงนี้ รู้สึกอยากจะไปคานาซาว่าขึ้นมาแล้วบ้างไหม? เราได้รวบรวมข้อมูลแหล่งท่องเที่ยว 11 แห่งที่ดีที่สุดในคานาซาว่าไว้ให้อ่านเพิ่มเติมกันได้ที่บทความ สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ 11 แห่งในคานาซาว่าที่จะได้สัมผัสวัฒนธรรมแบบแคว้นคางะ
3. เกียวโต (Kyoto): เมืองโบราณที่ไม่เคยหลับไหล
หากโตเกียวเป็นเมืองศูนย์รวมแฟชั่นที่ไม่เคยหยุดนิ่งของญี่ปุ่น เกียวโตก็เป็นเมืองที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมเก่าแก่ที่ตกทอดมาตั้งแต่โบราณ หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบวัฒนธรรมและอยากเรียนรู้ประวัติศาสตร์อันเข้มข้นและน่าติดตามของญี่ปุ่นนั้น เมืองหลวงแห่งวัฒนธรรมโบราณที่มีศาลเจ้าและวัดที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ถึง 17 แห่งนี้เป็นที่ที่ใช่สำหรับคุณ
ที่เมืองเกียวโต คุณจะสามารถมาชื่นชมความยิ่งใหญ่ของวัดคิโยมิซึเดระ (Kiyomizu-dera, 清水寺) จากระยะไกล ตกตะลึงไปกับความงดงามของวัดทองคินคะคุจิ (Kinkaku-ji, 金閣寺) และวัดกินคะคุจิ (Ginkaku-ji, 銀閣寺) หรือเพลิดเพลินไปกับสวนหินอันน่าฉงนที่วัดเรียวอันจิ (Ryoan-ji, 竜安寺) ได้ โดยคุณจะสามารถอ่านข้อมูลของวัดและศาลเจ้าเหล่านี้ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ ได้จากบทความ คู่มือเที่ยวเกียวโตฉบับสมบูรณ์! ที่ทางเราได้ค้นคว้าและรวบรวมมาอย่างละเอียดเพื่อคุณ
หลังจากเที่ยวชมวัด ศาลเจ้า และสถานที่ต่างๆ มาตลอดทั้งวัน คุณจะต้องดีใจหากได้ทราบว่ายามค่ำคืนของเมืองเกียวโตนั้นให้บรรยากาศที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบการเที่ยวกลางคืน คุณจะพบกับสถานที่ท่องราตรีที่ว่ากันว่าฮิปที่สุดในญี่ปุ่นที่เมืองเกียวโตแห่งนี้ คุณสามารถออกไปปลดปล่อยตัวเองไปกับดนตรีและการแดนซ์ในแบบของคุณที่ไนท์คลับชื่อดังอย่าง Club Metro หรือ World หรือถ้าคุณไม่ใช่ขาแดนซ์ก็ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะที่ Ponto-cho ย่านความบันเทิงยามค่ำคืนของเมืองเกียวโตแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านอิซากายะ (居酒屋, ร้านนั่งกินดื่มสไตล์ญี่ปุ่น) ที่ให้บรรยากาศคึกคักไม่แพ้กัน คุณสามารถค้นหาร้านอิซากายะที่ใช่สำหรับคุณได้ที่บทความ ร้านอาหาร 6 แห่งใน "พอนโตะโจ" ย่านเกอิชาในเกียวโตที่วัยรุ่นก็แวะไปได้!
เรียกได้ว่า เมืองเกียวโตเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมในเวลากลางวัน และเป็นเมืองแห่งสีสันที่ไม่เคยหลับไหลในเวลากลางคืนอย่างแท้จริง
4. โอซาก้า (Osaka): เมืองสำหรับคนรักการกินและเที่ยวเล่น
โอซาก้า เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคคันไซที่คุณสามารถเดินทางมาได้อย่างง่ายดายจากสนามบินนานาชาติคันไซ (Kansai International Airport) เมืองโอซาก้าแห่งนี้ดึงดูดและรองรับนักท่องเที่ยวที่รักในพลังความคึกคักและมีชีวิตชีวาของเมืองมหานครเป็นจำนวนมากทุกปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักท่องเที่ยวสายกินต้องห้ามพลาด เพราะที่นี่เต็มไปด้วยมีอาหารขึ้นชื่อรสเลิศ ทั้งคุชิอาเกะ (串揚げ, ของเสียบไม้ทอด) ทาโกะยากิ (たこ焼き, ขนมครกญี่ปุ่นใส่ปลาหมึกยักษ์ย่างเป็นลูกกลมๆ) โอโคโนมิยากิ (お好み焼き, พิซซ่าญี่ปุ่น) และอื่นๆ อีกมากมาย ย่านโดทงโบริ (Dotonbori, 道頓堀) และ ชินไซบาชิ (Shinsaibashi, 心斎橋) เป็นสองย่านใจกลางเมืองโอซาก้าที่คุณห้ามพลาด เพราะทั้งสองย่านต่างแน่นขนัดไปด้วยร้านอาหารนานาชนิดให้คุณได้เลือกลิ้มลองจนตาลายกันเลยทีเดียว
นอกจากอาหารเลิศรสแล้ว โอซาก้ายังมีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจอีกหลายแห่งสำหรับให้คู่รักจะมาสร้างความทรงจำอันล้ำค่าร่วมกันอีกด้วย ไม่ว่าจะมาเพลิดเพลินไปกับทิวทัศน์อันงดงามของอ่าวโอซาก้าจากชิงช้าสวรรค์เท็มโปซาน (Tempozan Giant Ferris Wheel, 天保山大観覧車) หรือสนุกไปกับสวนน้ำ Spa World (スパワールド世界の大温泉) ที่จะช่วยชำระล้างความเหนื่อยล้าของคุณไปกับสายน้ำ
อีกหนึ่งทางเลือกที่ดีสำหรับคู่รัก รวมไปถึงบรรดาครอบครัวก็คือสวนสนุก Universal Studios Japan (USJ) ที่ซึ่งคุณจะสามารถดื่มด่ำไปกับโลกแห่งเวทย์มนต์ของแฮร์รี่ พอตเตอร์ หรือปลดปล่อยความเป็นเด็กในตัวคุณไปกับเหล่ามินเนี่ยน เพื่อนร่วมทริปของคุณจะดีใจมากที่แผนการท่องเที่ยวของคุณมีรายการเที่ยว USJ อยู่ในนั้นอย่างแน่นอน!
5. ฮิโรชิม่า (Hiroshima): เมืองที่ไม่ว่าจะแฟนประวัติศาสตร์หรือแฟนกีฬาก็เพลิดเพลินได้
ฮิโรชิม่า เมืองแห่งสันติสุขนานาชาติที่เป็นที่รู้จักกันดีทั่วโลกจากการเป็นเมืองแรกและหนึ่งในสองเมืองในประวัติศาสตร์ที่ถูกทำลายโดยระเบิดปรมาณูในสงครามโลกครั้งที่สอง คนที่ชอบตามรอยประวัติศาสตร์จะต้องสนใจใคร่รู้ว่าฮิโรชิม่านั้นฟื้นกลับคืนมาเป็นเมืองแห่งสันติสุขภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองได้อย่างไรอย่างแน่นอน
แลนด์มาร์คที่ไม่คุณควรพลาดก็คือ โดมปรมาณู (Atomic Bomb Dome, 原爆ドーム) ซึ่งถือเป็นเหมือนอนุสรณ์เตือนให้ระลึกถึงความโหดร้ายและผลพวงจากระเบิดปรมาณู ซึ่งหลังจากดิ้นรนจนสามารถฟื้นคืนจากโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ เมืองฮิโรชิม่าจึงได้กลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการสนับสนุนสันติภาพและต่อต้านการใช้อาวุธปรมาณูตั้งแต่นั้นมา คุณจะสามารถสัมผัสกับความมุ่งมั่นเหล่านั้นได้โดยตรงที่ พิพิธภัณฑ์สันติภาพฮิโรชิม่า (Hiroshima Peace Memorial Museum, 広島平和記念資料館) เพราะผู้ที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดอันโหดร้ายในครั้งนั้นที่เป็นคนพาคุณทัวร์ไปรอบๆ พิพิธภัณฑ์ด้วยตัวเอง
หลังจากสัมผัสกับความโหดร้ายของหายนะจากระเบิดปรมาณูแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะมาชมกีฬาสดๆ ให้อารมณ์ของคุณกลับมาสดชื่นอีกครั้ง ที่ฮิโรชิม่า กีฬาเบสบอลเป็นกีฬายอดนิยมที่ดึงดูดผู้คนจำนวนมากมาที่นี่ ดังนั้น เหล่าแฟนกีฬาทั้งหลายจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ชมทีมท้องถิ่นอย่าง Hiroshima Toyo Carp แข่งที่สนาม MAZDA Zoom-Zoom Stadium (スタジアム広島) การได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งท่ามกลางเสียงเชียร์ของเหล่าแฟนๆ กีฬาก็เป็นอีกประสบการณ์ที่คุณจะได้สัมผัสกับอีกมุมหนึ่งของชาวญี่ปุ่น!
หากคุณต้องการที่จะท่องเที่ยวในฮิโรชิม่าสักสองสามวัน ทำวันท่องเที่ยวของคุณให้คุ้มค่าด้วยบทความ 25 สถานที่น่าสนใจในฮิโรชิม่า ดื่มด่ำไปกับประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติ!
6. โกเบ (Kobe): เมืองแห่งวัฒนธรรมอันหลากหลายที่ส่องสว่างตลอดค่ำคืน
คนที่ชื่นชอบประวัติศาสตร์จะถูกเสน่ห์ของเมืองโกเบดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว เพราะเมืองโกเบนี้มีเอกลักษณ์ตรงที่เป็นเมืองท่าที่เป็นแหล่งรวบรวมวัฒนธรรมอันหลากหลายเข้าด้วยกัน ตั้งแต่ในช่วงต้นปี 1887 ก็ได้มีพ่อค้าชาวต่างชาติจำนวนมากมาตั้งรกรากอยู่ในเมืองโกเบ ก่อเกิดเป็นวิถีชีวิตของชาวเมืองที่เป็นเอกลักษณ์ คุณจะสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมต่างชาติเก่าแก่เหล่านี้ได้ที่ Kitano Foreign Residences (北野異人館) ที่พักสไตล์ตะวันตกสำหรับชาวต่างชาติที่จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนกับได้ไปเที่ยวรอบโลกภายในเวลาเพียง 80 นาที ตั้งแต่การแวะเข้าชมบ้านสไตล์อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี และอื่นๆ อีกมากมาย
อีกหนึ่งที่ที่คุณไม่ควรพลาดในโกเบคือ Nankinmachi (南京町) ย่านไชน่าทาวน์สุดคึกคักที่คุณจะได้สัมผัสกับความเป็นจีนแท้ๆ จากอาหารจีนรสเลิศ พร้อมกับชมการเชิดสิงโตสุดอลังการในช่วงงานเทศกาล
แต่หากช่วงที่คุณมาไม่ตรงกับช่วงเทศกาลของไชน่าทาวน์ Nankinmachi ก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะคุณสามารถมาชมงานแสดงไฟ Kobe Luminarie (神戸ルミナリエ) สุดตระกาลตาได้ในช่วงต้นเดือนธันวาคม โดยงานแสดงไฟที่สวนสนุก Higashi Yuenchi Park (東遊園地公園) ใจกลางเมืองนี้ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายของบรรดาเหล่าคู่รักจำนวนมากที่จะเดินทางมาเพื่อถ่ายภาพคู่ปังๆ ไปลงอินสตาแกรมหรือเก็บเป็นที่ระลึก เป็นอีกทางหนึ่งไฮไลท์ที่ดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกมาท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองนี้!
หากคุณเดินทางมาเที่ยวเมืองท่าแห่งประวัติศาสตร์นี้ อย่าพลาดที่จะเช็คข้อมูลไกด์ร้านอาหารในโกเบที่บทความ ร้านอาหารรสเลิศ 10 แห่งที่ต้องมาลิ้มลองให้ได้ในโกเบ
7. คุมาโมโตะ (Kumamoto): เมืองแห่งปราสาทเก่าแก่ที่ยืนหยัดแม้ในวันที่ธรรมชาติพิโรธ
คุมาโมโตะ เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางเกาะคิวชูที่มีอดีตอันรุ่งโรจน์อันจะเห็นได้จากปราสาทคุมาโมโตะ (Kumamoto Castle, 熊本城) 1 ใน 3 ปราสาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศญี่ปุ่นที่เปรียบเสมือนศูนย์กลางของเมืองนี้ ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามของปราสาท และความโค้งเว้าอันมีเอกลักษณ์ของกำแพงหินที่เรียกว่า mushakaeshi (武者返し, แปลว่า "การกลับมาของซามูไร") ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อป้องกันศัตรูจากภายนอกนี้ สร้างความประทับใจแก่ผู้มาเยือนทุกเพศทุกวัย
เป็นที่น่าเสียดายที่เหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในปี 2016 ได้สร้างความเสียหายแก่ปราสาทคุมาโมโตะแห่งนี้อย่างใหญ่หลวง เป็นเหตุให้ผู้คนในท้องถิ่นต่างออกมาร่วมแรงร่วมใจกันทำการบูรณะปราสาทให้กลับคืนมาดังเดิม จึงเป็นไอเดียที่ไม่เลวที่จะแวะไปชมความยิ่งใหญ่ของปราสาทเก่าแก่หลังนี้จากภายนอกและสัมผัสถึงจิตวิญญาณที่ยืนหยัดไม่ย่อท้อของโบราณสถานและผู้คนในท้องถิ่นแห่งนี้
นอกจากนี้ เมืองคุมาโมโตะก็ยังมีงานเทศกาลต่างๆ ให้ผู้มาเยือนได้ร่วมสนุกเพลิดเพลิน ตัวอย่างเช่น งานเทศกาล Drunken Horse Festival ที่คุณจะได้ตื่นเต้นไปกับการได้เห็นผู้คนในเมืองแต่งตัวออกมาในชุดสุดละลานตาและเต้นรำกันไปตามจังหวะกลอง พร้อมกันนี้ ยังมีการแห่ม้าไปตามถนนโดยชายฉกรรจ์ในพื้นที่ให้บรรยากาศสุดครื้นเครง หากคุณโชคดีก็อาจจะได้เห็นลูกม้าสักตัวหรือสองตัวก็เป็นได้!
ในเมืองคุมาโมโตะยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอื่นๆ อีกมาก ทั้งสวนซุยเซนจิ (Suizenji Park, 水前寺) หรือร้านค้าโบราณย่านซากุระโนะบาบะโจไซเอน (Sakuranobaba Josaien, 桜馬場城彩苑) หากคุณสนใจมาท่องเที่ยวที่เมืองแห่งปราสาทเก่าแก่แห่งนี้ คุณสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่บทความ "แนะนำ 7 แหล่งท่องเที่ยวในคุมาโมโตะ เมืองที่กำลังฟื้นตัวหลังเหตุแผ่นดินไหว" ของเรา
8. เบปปุ (Beppu): เมืองแห่งออนเซ็นท่ามกลางหุบเขา
หนึ่งในประสบการณ์ในญี่ปุ่นที่คุณไม่ควรพลาดคือการแช่ตัวลงไปในน้ำแร่ธรรมชาติอุ่นๆ ให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า สำหรับแฟนๆ ออนเซ็นจะต้องไม่พลาดเมืองเบปปุในจังหวัดโออิตะแห่งนี้ เพราะที่นี่มีบ่อน้ำแร่ออนเซ็นท่ามกลางบรรยากาศชานเมืองอันเงียบสงบและทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามให้คุณได้เลือกลงแช่กว่า 100 แห่ง และความสวยงามของออนเซ็นบางแห่งของที่นี่ยังถูกกล่าวขานว่าเป็นถึงตำนานในหมู่ออนเซ็นเลยทีเดียว หากมีเวลา เราขอแนะนำให้คุณแวะไปลองแช่ 8 ตำนานแห่งออนเซ็นที่ได้รับสมญานาม jigoku (地獄, นรก) ต่อท้าย ไม่ว่าจะเป็น Umi Jigoku (海地獄, ทะเลนรก) บ่อออนเซ็นที่มีน้ำเป็นสีน้ำเงินเข้มที่จะช่วยผ่อนคลายจิตใจให้คุณรู้สึกสงบ หรือ Chinoike Jigoku (血の池地獄, บ่อน้ำเลือดนรก) ออนเซ็นที่มีน้ำเป็นสีแดงฉานที่จะช่วยกระตุ้นฮอร์โมนในร่างกายคุณให้ทำงานอย่างเต็มที่
สำหรับรายละเอียดของบ่อออนเซ็นนรกอื่นๆ สามารถดูเพิ่มเติมได้ที่บทความ "ยินดีต้อนรับสู่นรก! เที่ยวเหล่าบ่อน้ำพุร้อนแสนงดงามใน "เบปปุ" จังหวัดโออิตะ" ของเรา
หากคุณเป็นสายท่องเที่ยวธรรมชาติ คุณสามารถเลือกที่จะปีนเขา Tsurumi (鶴見岳) หนึ่งในภูเขาที่มีวิวทิวทัศน์สุดสวยยากจะหาที่เปรียบ หรือถ้าคุณไม่อยากที่จะเหนื่อยไปกับการปีนเขาด้วยตัวเอง ก็สามารถเลือกใช้บริการกระเช้า Kintetsu Beppu Ropeway (近鉄別府ロープウェイ) ขึ้นไปบนภูเขาเพื่อสัมผัสกับธรรมชาติด้วยตัวเองได้เช่นกัน!
9. ซัปโปโร (Sapporo): เมืองที่มีวิวยามค่ำคืนที่ตราตรึงใจ
ซัปโปโร เป็นเมืองที่ใหญ่ในจังหวัดฮอกไกโด จังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น จุดเด่นของเมืองนี้คือวิวยามค่ำคืนสุดอลังการ ซึ่งหากคุณนั่งกระเช้าจากสถานี Mt. Moiwa Sanroku Railway (もいわ山麓駅) ไปยังจุดชมวิวของภูเขา Moiwa (藻岩山) คุณจะได้พบกับทัศนียภาพอันงดงามของเมืองซัปโปโรที่จะทำให้คุณประทับใจได้ไม่ลืม แน่นอนว่าจุดชมวิวนี้เหมาะกับทั้งคู่รักและครอบครัว เพราะที่นี่เป็นหนึ่งในสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับการมาใช้เวลาร่วมกันพลางเพลิดเพลินไปกับความสวยงามของเมืองซัปโปโรยามค่ำคืนเบื้องล่างที่จะส่องแสงระยิบระยับราวกับเพชรเม็ดงามเลยทีเดียว
คุณสามารถอ่านรายละเอียดของสถานที่ชมวิวในซัปโปโรและที่พักในเมืองได้ที่บทความ 5 จุดชมวิวยามค่ำคืนที่ดีที่สุดของฮอกไกโด งดงามจนตกตะลึง!!! เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในทริปมาญี่ปุ่นของคุณ
สำหรับคนที่ชอบหิมะและกีฬาฤดูหนาว คุณจะต้องไม่พลาดกับการเล่นสกีที่เมืองซัปโปโรแห่งนี้ เพราะที่นี่เรียงรายไปด้วยสกีรีสอร์ตสุดหรูหราและคุณภาพดีจำนวนมากที่ให้เปิดบริการในราคาสมเหตุสมผล และบางรีสอร์ตยังเปิดให้บริการในตอนกลางคืนด้วย คุณจึงสามารถที่จะเล่นสกีได้ตั้งแต่เช้าจนถึงดึกเลยทีเดียว! นอกจากนี้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ของทุกปี เมืองซัปโปโรจะมีงานเทศกาลสำคัญคือเทศกาลหิมะ Sapporo Snow Festival (札幌雪まつり) ที่สวนสาธารณะ Odori (大通公園) ที่จะจัดเป็นเวลา 1 สัปดาห์เต็มๆ ให้เหล่าผู้มาเยือนจากทั่วโลกได้เดินชมความสวยงามตระการตาของผลงานประติมากรรมจากหิมะและน้ำแข็งที่หาดูได้ยาก ถือเป็นอีกประสบการณ์ที่น่ามาสัมผัสเป็นอย่างยิ่ง!
10. นาฮา โอกินาว่า (Naha, Okinawa): เมืองที่คุณสามารถค่อยๆ เพลิดเพลินไปกับอาหารและการช็อปปิ้ง
จังหวัดโอกินาว่าเป็นเกาะที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ่น และถือเป็นหนึ่งจุดมุ่งหมายของนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เหตุผลหนึ่งก็คือ ช่วงเวลาบนเกาะ ที่ทุกอย่างจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป โดยคุณอาจถูกคนในเมืองโอกินาว่านี้ชวนพูดคุยเล็กๆ น้อยๆ อยู่เสมอ ซึ่งทำให้เกิดบรรยากาศที่ผ่อนคลายและเป็นกันเอง นอกจากนี้ วัฒนธรรมในแบบฉบับของตัวเองของโอกินาว่าที่แตกต่างจากเมืองอื่นๆ ในญี่ปุ่น ก็เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่ดึงดูดผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี นั่นทำให้เมืองนาฮาเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะพาคุณหลบออกมาจากความเครียดและความกังวลและผ่อนคลายไปกับบรรยากาศอันน่าประทับใจบนเกาะนี้
ตลาด Makishi (Makishi Public Market, 牧志公設市場) เป็นหนึ่งสถานที่ที่น่าใส่ลงในลิสต์ท่องเที่ยวของคุณ เพราะที่นี่คุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับการลิ้มลองอาหารที่ผสมผสานความเป็นตะวันตกกับอาหารท้องถิ่น ไม่ว่าจะเป็นโกยะชัมปุรุ (ゴーヤチャンプル, ผัดมะระใส่เต้าหู้ หมู และไข่) หรือทาโกไรซ์ (タコライス, ข้าวหน้าทาโกเม็กซิกัน) นอกจากนี้ ยังมีถนนโคคุไซโดริ (Kokusai Street, 国際通り) ที่คุณสามารถมาลิ้มลององุ่นทะเล (Umibudou, 海ぶどう) โซบะซี่โครงหมูโซกิโซบะ (Soki Soba, ソーキそば) และอาหารท้องถิ่นอื่นๆ อีกหลากหลายรายการ และหลังจากอิ่มอร่อยไปกับอาหารรสเลิศแล้ว คุณยังจะสามารถใช้เวลาในช่วงบ่ายไปกับการเดินช็อปปิ้งตามร้านค้าต่างๆ เพื่อเลือกซื้อของที่ถูกใจได้อีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้ หากคุณเริ่มสนใจว่าที่เกาะสุดชิลแห่งนี้มีอะไรน่าสนใจอีกบ้าง เราได้เตรียมบทความ 50 Things to Do in Okinawa ไว้ให้คุณได้ออกไปค้นหากิจกรรมที่ถูกใจคุณไว้แล้ว!
ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ชอบใช้เวลากับตัวเองแบบชิลๆ หรือชอบออกไปข้างนอกเพื่อพบปะสังสรรค์ ชอบท่องเที่ยวในเมืองใหญ่หรือชอบความสบายเรียบง่ายตามชานเมือง ชอบช็อปปิ้งจนเดินไม่ไหวหรือชอบพักผ่อนหย่อนใจไปในธรรมชาติ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน สิ่งหนึ่งที่แน่นอนก็คือคุณจะสามารถเพลิดเพลินไปกับช่วงเวลาแห่งความสุขอย่างและพบเมืองที่ใช่สำหรับคุณในญี่ปุ่นได้อย่างแน่นอน!
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่