พาเที่ยวเมืองเก่าคาวาโกเอะกับ 4 สถานที่ท่องเที่ยวแนวใหม่สุดเก๋!

คาวาโกเอะ อยู่ในจังหวัดไซตามะ ใช้เวลาเดินทางเพียง 1 ชั่วโมงจากโตเกียว จุดสังเกตเด่นๆ ก็ไม่พ้นหอนาฬิกาอันโด่งดัง ศาลเจ้าที่ขึ้นชื่อเรื่องการขอพรเกี่ยวกับความรัก และถนนย้อนยุคอันแสนน่ารัก แต่จริงๆ แล้ว เมืองแห่งนี้ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกมากมายให้คุณได้ลองไปแวะชม ในบทความนี้ เราจะพาทุกท่านไปรู้จักกับเมืองคาวาโกเอะในแง่มุมใหม่ๆ ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบจากสถาปนิกชื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ไปจนถึงคาเฟ่ย้อนยุคที่มีเสน่ห์ ให้เป็นอีกทางเลือกในการท่องเที่ยวของคุณ!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ

Shimano Coffee Taisho-kan

"Shimano Coffee Taisho-kan (シマノコーヒー大正館)" ตั้งอยู่บนถนนไทโชโรมันยูเมะ (Taisho Roman Yume) เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1996 ถึงแม้คาเฟ่นี้จะมีอายุเพียงแค่ 20 ปี แต่บรรยากาศภายในร้านนั้นจะทำให้คุณรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลาไปถึงยุคไทโช! (ค.ศ. 1912 - 1926) 

ยุคไทโชเป็นยุคที่การเมืองแบบเสรีนิยมกำลังเข้ามาในญี่ปุ่น และเป็นยุคที่นิยมใช้สถาปัตยกรรมการตกแต่งแบบตะวันตก ดังนั้นของทุกอย่างภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็นชื่อร้าน ตัวอักษรที่ใช้บนป้ายต่างๆ หน้าต่างทรงครึ่งวงกลม ตลอดจนประตูไม้ที่มีที่จับที่ทำจากเหล็ก หลังคาผ้าใบแถบดำสลับเหลือง รวมถึงสถาปัตยกรรมและบรรยากาศภายในร้าน จะทำให้คุณรู้สึกราวกับได้นั่งอยู่ภายในคาเฟ่ของยุคนั้นเลยทีเดียว!

เมื่อเปิดประตูไม้เข้าไปแล้ว สิ่งแรกที่คุณจะได้เห็นก็คือการตกแต่งที่ใช้ไม้เป็นหลัก เก้าอี้หนังสีเข้ม และกำแพงที่ดูคลาสสิก ไฟสีเหลืองทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและอบอุ่น ยิ่งได้นั่งฟังเสียงเครื่องบดกาแฟในขณะที่นั่งผ่อนคลาย ก็ยิ่งทำให้รู้สึกถึงความโรแมนติกแถมยังย้อนยุคอยู่ไม่น้อยเลย

เมนูพิเศษที่ทางร้านภูมิใจนำเสนอ คือกาแฟคั่วโฮมเมดและชีสเค้กโฮมเมดนั่นเอง กาแฟของที่นี่มีทั้งชนิดที่ผลิตในภูมิภาคใดภูมิภาคหนึ่งและแบบเบลนด์ แถมยังมีชีสเค้กหลากหลายแบบให้เลือก ตั้งแต่รสดั้งเดิม กาแฟ ชาเขียว มันหวานไปจนถึงงาดำเลยทีเดียว

ทางร้าน Shimano Coffee Taisho-kan ให้บริการเซ็ตอาหารเช้าตั้งแต่ 08.00 - 12.00 น. โดยสามารถเลือกขนมปังปิ้งหรือแซนด์วิชเป็นจานหลัก ทานคู่กับสลัด ไข่ต้มและเครื่องดื่ม 1 ชนิด 

เซตอาหารเช้าของที่นี่ มี 2 แบบ ได้แก่ชุด A และชุด B ชุด A จะเสิร์ฟขนมปังแผ่นหนาที่ปิ้งจนกรอบ พร้อมด้วยครีมที่ทาอยู่บนผิวขนมปัง เสิร์ฟคู่กับแยมส้มและสตรอว์เบอร์รี่ ในขณะที่ชุด B จานหลักจะเป็นแซนด์วิชสอดใส้ด้วยชีส แฮมและสลัดไข่ เมื่อกัดเข้าไปจะได้รสชาติของทั้ง 3 องค์ประกอบที่สามารถเข้ากันได้ดีเลยทีเดียว

ในเซตอาหารเช้านั้น มีเครื่องดื่มเป็นกาแฟร้อนหรือกาแฟเย็นรวมอยู่ด้วย เมล็ดกาแฟเหล่านี้ถูกคัดสรรมาโดยเจ้าของร้าน และถูกชงในเครื่องทำกาแฟแบบกาลักน้ำย้อนยุค ทำให้ได้รสชาติที่เข้มข้นและกลมกล่อมไม่เหมือนที่อื่น หากไม่อยากดื่มกาแฟดำเพียวๆ แล้วล่ะก็ คุณก็สามารถเติมครีมสดลงไปได้ เพื่อให้ได้กาแฟแก้วที่หอมหวาน ละมุนลิ้น และถูกใจคุณที่สุด

ในสถานที่แห่งนี้ เวลาดูเหมือนจะหมุนไปอย่างช้าๆ ภาพอันแสนอบอุ่นในร้าน หากได้มาเห็นด้วยตนเองแล้ว รับรองได้เลยว่าจะประทับอยู่ในความทรงจำไปอีกนานแสนนาน ทั้งภาพเจ้าของร้านที่บางทีก็จะวุ่นกับการทำกาแฟอยู่หน้ากำแพงที่เต็มไปด้วยแก้วกาแฟ แต่ในบางเวลาเขาก็จะตั้งอกตั้งใจทำบัญชีอยู่ภายในร้าน เหล่าลูกค้าที่กำลังทานอาหารเช้าไปพร้อมกับอ่านหนังสือพิมพ์ หรือคุยกันเบาๆ อย่างสนุกสนาน เป็นบรรยากาศที่ผ่อนคลายและน่านั่งจริงๆ

ถ้าได้มาคาวาโกเอะก็อย่าลืมแวะมาที่นี่ดูนะ!

Abri Coffee

เดินเพียงแค่ 1 นาทีจากสถานที่ท่องเที่ยวยอดฮิตอย่าง โทคิโนะคาเนะ (時の鐘) หรือระฆังแห่งกาลเวลาอันมีชื่อเสียง ก็จะพบกับร้านกาแฟชื่อดังสไตล์ย้อนยุคอีกร้านที่ซ่อนอยู่ในซอยเล็กๆ ที่มีชื่อร้านว่า Abri Coffee (あぶり珈琲)

ชื่อ Abri นั้น แปลว่าที่พักพิงในภาษาฝรั่งเศส เจ้าของร้านเจาะจงเลือกชื่อนี้มา ก็เพราะมุ่งมั่นให้ร้านกาแฟแห่งนี้เป็นที่ที่ผ่อนคลาย ให้นักท่องเที่ยวได้หลบมาพักใจจากความยุ่งวุ่นวายในชีวิตประจำวันได้นั่นเอง

การตกแต่งภายในร้านทั้งหมด เป็นไม้สีเข้ม แม้กระทั่งที่นั่งบริเวณบาร์ก็ยังเป็นไม้ บรรยากาศดูเรียบง่าย ทว่าอบอุ่นและผ่อนคลาย ราวกับเดินเข้าไปในบ้านต้นไม้ลับในป่าเลยทีเดียว

บนฝาผนัง มีรูปภาพและรูปวาดมากมายถูกประดับไว้เรื่อยๆ และยังมีกองนิตยสารญี่ปุ่นกองโตที่เรียงอย่างไม่เป็นระเบียบ ให้ความรู้สึกสบายๆ ราวกับอยู่บ้าน

กาแฟของ Abri Coffee นั้น มีรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ กาแฟจะถูกคั่วและชงอย่างพิถีพิถัน ด้วยเครื่องบดที่สั่งทำมาเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ทางร้านยังมีเมนูพิเศษประจำวัน ประจำเดือนและประจำสามเดือนมาให้ลองชิมกันเรื่อยๆ อีกด้วย

นอกจากรสชาติและคุณภาพของกาแฟแล้ว ทางร้านยังมีความตั้งใจที่จะมอบตัวเลือกที่หลากหลายให้ทุกคน เพื่อให้คุณได้กาแฟแก้วที่ถูกใจและถูกปากมากที่สุดไปดื่มนั่นเอง นอกจากเมนูขายดีตลอดกาลอย่าง single-origin coffee ทางร้านยังมี blended coffee ให้เลือกอีก 5 แบบแบ่งตามระดับดีกรีการคั่ว

ตั้งแต่ 1 (light roast) ที่รสชาติคล้ายกับอเมริกาโน่
เลเวล 2  (light-medium roast) ที่ดื่มแล้วสดชื่นขึ้นมาหน่อย
เลเวล 3 (medium roast) ที่ทั้งขมทั้งเปรี้ยว ทั้งเข้มข้นและติดอยู่ในปาก เป็นกาแฟที่เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ 
เลเวล 4 (medium-dark roast) ที่รสชาติเข้มข้น แต่ไม่ขมและไม่เปรี้ยว
และสุดท้ายเลเวลที่ 5 (dark roast) รสที่ขมสุดๆ แต่ดื่มลงไปแล้วกลับมีรสหวานจางๆ ติดที่ปลายลิ้นนั่นเอง

สำหรับวิธีดื่มทางร้านได้เขียนแนะนำไว้บนเมนู คุณควรจะจิบเบาๆ พอมีเสียงเล็กน้อย ให้กาแฟอยู่ในปากเพื่อรับรสสักพัก รสชาติของกาแฟในปากจะเปลี่ยนไปตามเวลาที่คุณดื่มแต่ยังไม่กลืน นั่นคือทุก 30 วินาที 1 นาที 2 นาที 3 นาทีและ 5 นาทีตามลำดับ

นอกจากกาแฟแล้ว ทางร้านยังวางขายเค้กและขนมปังปิ้งให้ทานคู่กับกาแฟอีกด้วย แถมยังมีถุงดริปกาแฟที่มาเป็นแพค ชาดำ ชาคาราเมล ชากุหลาบและชาเขียวที่มาเป็นถุงชาให้เลือกซื้อกลับไปชงที่บ้าน หรือจะซื้อกลับไปเป็นของฝากก็เหมาะมากๆ หากเที่ยวชมถนนคุระสึคุริ (Kurazukuri Street) และโทริโนะคาเนะในคาวาโกเอะจนเหนื่อยแล้ว ก็ลองเดินแวะมาที่ร้านนี้ได้นะ

Vanitoy Bagel Kawagoe (สาขาหลัก)

ท่ามกลางบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นที่ตั้งเรียงรายบนถนนสายนี้ ร้าน Vanitoy Bagel (バニトイベーグル) เป็นร้านเดียวในย่านที่ตกแต่งแบบมินิมอล ในตึกทรงสีเหลี่ยมสีเข้มที่อาจจะดูไม่สะดุดตาเท่าไหร่ แต่ถ้าเทียบกับบ้านหลังอื่นแถวนี้แล้วล่ะก็ถือว่าโดดเด่นเลยทีเดียว

ร้าน Vanitoy Bagel เป็นร้านเบเกิลที่โด่งดัง เจ้าของร้านเป็นคู่รักที่ชอบขนมปังเป็นชีวิตจิตใจจนริเริ่มขายเบเกิลโฮมเมดในรถ จนกระทั่งทุกวันนี้ ได้ขยายกิจการจนเป็นร้านชื่อดังในย่านคุระซึคุริ (Kurazukuri Street) ใจกลางคาวาโกเอะนั่นเอง

แป้งเบเกิลของร้านถูกหมักมาอย่างดี ให้รสสัมผัสที่เหนียวนุ่มของเบเกิลแสนอร่อย ร้าน Vanitoy Bagel ยืนยันว่าจะใช้เพียงแป้งสาลี 100% ส่งตรงจากฮอกไกโดผสมกับน้ำตาลหัวผักกาดและเกลือทะเลเท่านั้นในการทำเบเกิลของพวกเขา นอกจากนี้ การหมักภายใต้อุณหภูมิต่ำยาวนานกว่า 12 ชั่วโมงนั้นยังทำให้เบเกิลที่นี่ชุ่มช่ำกว่าปกติ แถมยังเหนียวนุ่มจนคนที่ไม่ชอบเคี้ยวยังรับประทานทานได้อย่างเอร็ดอร่อย!

บริเวณชั้นหนึ่งของทางร้าน Vanitoy Bagel จะเเปิดขายเบเกิล ในขณะที่ชั้น 2 จะเป็นส่วนของคาเฟ่ เบเกิลที่วางเรียงรายอยู่หน้ากระจก มีตั้งแต่รสดั้งเดิมไปจนถึงรสหวาน อย่างบลูเบอร์รี่ชีส ส้ม ถั่วแดงและฟักทอง นอกจากนี้ ยังมีของคาวอย่างรสวอลนัต บัทเทอร์ ชีส และรสไข่ปลาพอลลอคอีกด้วย รวมๆ แล้ว ก็มีชนิดเบเกิลมากกว่า 20 ชนิด (ราคาเริ่มต้น 190 - 300 เยน) ทำให้เลือกไม่ถูกกันเลยทีเดียว!

เบเกิลแทบทุกชิ้นของที่นี่ จะถูกบรรจุในถุงพลาสติกเพื่อสุขอนามัยและเพื่อรับประกันความสะอาดของอาหาร แต่ในขณะเดียวกันก็สะดวกในการเดินถือไปมาอีกต่างหาก หากมาที่นี่ในช่วงกลางวัน ขอแนะนำให้ลองสั่งเซตอาหารกลางวันดู เพราะนอกจากเบเกิลชื่อดังแล้ว ในเซตยังมีซุป สลัดและขนมเล็กๆ น้อยๆ เสิร์ฟมาคู่กันอีกด้วย ไม่ว่าจะทานเป็นมื้อกลางวัน หรือจะจิบชายามบ่าย หากได้ทานเบเกิลคู่กับเอสเปรซโซร้อนๆ สักแก้วแล้ว ก็คงจะชื่นใจสุดๆ ไปเลย

 

นอกจากเบเกิลแล้ว ทางร้านก็ยังวางขายขนมโฮมเมดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น มัฟฟินวอลนัต ขนมปังถั่วทำจากถั่วดำแทมโบ ขนมปังวานิลลา บิสกิตหรือจะบิสกิตรสช็อกโกแลต ก็เลือกได้เลยตามใจชอบ!

แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

Yaoko Kawagoe Museum (Yuji Misu Memorial Hall)

พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 2012 ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัยอันเงียบสงบด้านหลังศาลเจ้าคาวาโกเอะฮิกาวะ (氷川神社) ผู้ออกแบบพิพิธภัณฑ์นี้ คือคุณโทโยะ อิโตะ (伊東豊雄) สถาปนิกด้านการออกแบบร่วมสมัยชาวญี่ปุ่นผู้ได้รับรางวัล Pritzker Architecture Prize ที่เทียบได้กับรางวัลโนเบลแห่งวงการสถาปนิกเลยทีเดียว สถานที่แห่งนี้ จัดเป็นสถานที่รำลึกถึงจิตรกรชาวญี่ปุ่น ยูจิ มิสึ (三栖右嗣) ผู้ได้รับรางวัล Yasui Prize รางวัลที่ถือได้ว่าเป็นยอดแห่งวงการศิลป์ญี่ปุ่นนั่นเอง

อาคารภายนอกของพิพิธภัณฑ์นั้นสร้างด้วยคอนกรีต ล้อมรอบด้วยสายน้ำและธรรมชาติเขียวขจี พื้นที่ฐาน (base area) มีขนาดประมาณ 100 ตารางเมตร ส่วนภายในถูกแบ่งเป็นสี่ส่วน คล้ายแบบแปลนทุ่งนา ได้แก่ ร้านค้าบริเวณทางเข้า บริเวณนิทรรศการ 2 แห่งและร้านกาแฟ

จุดเด่นของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้คือการเล่นแสงไฟ รูปทรงและวัสดุที่แปลกตาของตัวหลังคาที่ทำให้แสงและเงาในอาคารแตกต่างไปเมื่อเดินไปแต่ละจุด จุดแสดงนิทรรศการทั้งสอง มีลำแสงสาดส่องจากรูปทรงที่แปลกประหลาดของหลังคาที่ใช้เป็นสัญลักษณ์ของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ทั้งหมดนี้ สะท้อนให้เห็นวิธีการเล่นแสงและเงาของคุณยูจิ มิสึที่ใช้ในงานเขียน รวมไปถึงแสดงความสัมพันธ์ของภาพเขียนสีน้ำมันและภาพพิมพ์หินบนพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาแห่งนี้

ท่ามกลางภาพวาดมากมาย มีภาพที่โด่งดังอยู่ภาพหนึ่ง ชื่อว่า “Growing Old” เป็นภาพของหญิงสาวเปลือยกายนอนแอ่นตัวอยู่ ภาพดังกล่าวนี้เป็นภาพที่ทำให้คุณยุูจิ มิสึได้รับรางวัล Yasui Award ครั้งที่ 19 ในปีค.ศ. 1976 (ภาพนี้เป็นภาพวาดเลียนแบบ เนื่องจากผลงานจริงถูกจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Tokyo National Museum of Modern Art)

หญิงชราในภาพนี้ แท้จริงแล้วคือมารดาของอาจารย์ยูจิ มิสึ ท่านเคยกล่าวไว้ว่า ขณะที่เขียนภาพนี้ น้ำตาของท่านไม่ได้หยุดไหลเลย ถ้ามีโอกาสอย่าลืมไปเยี่ยมชมและปล่อยอารมณ์ของคุณไปกับงานศิลป์กันนะ

หลังจากชมนิทรรศการและใช้เวลายามบ่ายไปกับการจิบชาและการชมวิดีทัศน์ที่ทางเจ้าหน้าที่เปิดให้ชมแล้ว ลองปล่อยตัว ปล่อยใจไปกับแสงและศิลปะสถาปัตยกรรมของทางตัวอาคารได้ เพราะไม่ใช่เพียงแค่ผลงานด้านในเท่านั้นที่เป็นงานศิลป์ แต่สถาปัตยกรรมของตัวอาคารเองก็เป็นศิลปะเช่นกัน

Klook.com

Musubi Cafe

จุดสุดท้ายที่เราจะขอแนะนำในบทความนี้ก็คือศาลเจ้าฮิคาวะ (氷川神社) ซึ่งโด่งดังสุดๆ ด้านการขอพรเรื่องคู่ครองและความรัก Musubi Cafe (むすびcafé) ตั้งอยู่ภายในบริเวณชั้น 1 ของศาลเจ้าฮิคาวะ โลโก้ของร้านเป็นรูปปมด้ายญี่ปุ่นที่เรียกว่า roppou-ojime (六方御じめ結び) มี 6 ด้านแสดงถึงทิศทั้ง 6 ได้แก่ เหนือ ใต้ ตะวันออก ตะวันตก สวรรค์และโลกมนุษย์ผสมผสานกับสัญลักษณ์ "&"

มองไปรอบๆ คาเฟ่แห่งนี้ ก็จะพบว่าทั้งร้านตกแต่งด้วยเครื่องรางหรือโอมาโมริจากศาลเจ้า นอกจากนี้ ทางร้านยังเปลี่ยนสีเครื่องรางเหล่านี้ทุกๆ ฤดูกาล เป็นสีสันเล็กๆ น้อยๆ ให้นักท่องเที่ยวได้มาเก็บบรรยากาศกัน

หากคุณมาที่นี่ในช่วงเทศกาลเอนมุสึบิประจำปี หรือ Enmusubi Furin (Wind Chime Festival) ในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายนแล้วล่ะก็ อย่าลืมไปลองทานขนมพิเศษประจำช่วงฤดูร้อนกันนะคะ

ขนมนี้มีชื่อว่า Irodori Furin (Colorful Wind Charm) เป็นมูสและเยลลี่ ตกแต่งด้วยผลไม้หั่นเต๋า จัดวางมาอย่างน่ารักในแก้วทรงกลม ทำให้ขนมหน้าตาเหมือนกับกระดิ่งที่แขวนเล่นลมเลยล่ะ อิโระโดริ ฟูริน มีทั้งหมด 7 รสให้เลือกชิม ได้แก่ พีช ลิ้นจี่ มะม่วง องุ่น เสาวรส เมล่อนและโยเกิร์ต เกรปฟรุ้ตค่ะ

นอกจากขนมแสนน่ารักที่กล่าวไปแล้ว ทาง Musubi Cafe ยังมีเซตอาหารกลางวันที่วัตถุดิบแต่ละอย่างคัดสรรมาอย่างดี โดยเฉพาะผักที่รับมาโดยตรงจากเกษตรกรที่เชื่อถือได้ ไม่ใช่แค่อาหารเท่านั้นที่น่าสนใจ ขนมหวานชนิดอื่นๆ ก็ไม่น้อยหน้า ทางร้านมีชีสเค้กที่มีชื่อเสียงซึ่งมีส่วนผสมของชีสถึง 3 ชนิด ให้รสชาติที่เข้มข้น กลมกล่อม ละลายในปาก ตัวฐานของชีสเค้กนั้นทำมาจากบิสกิต กัดเข้าไปทีก็เข้ากันดีเหลือเกินกับตัวเนื้อเค้กที่ชุ่มฉ่ำแต่แน่นเต็มคำ มีหลายไซส์ให้เลือกด้วยนะ!

อีกตัวเลือกที่น่าสนใจก็คือ เค้กช็อกโกแลตโฮจิฉะ ที่ทำมาจากใบชาท้องถิ่น ช็อกโกแลตมูสที่ทั้งเข้มข้นและหอมหวาน มีส่วนประกอบของวานิลลาครีม โฮจิฉะและวอลนัต เมื่อมารวมกันแล้วก็จะได้รสที่นุ่มละมุนลิ้นจนอดรับประทานต่อไม่ได้เลย

 

หากมาถึงที่สุดท้ายแล้ว แต่ยังงงๆ อยู่ว่าจะหาอะไรเป็นของฝากดีนะ ก็แนะนำให้มาเลือกดูที่มุมของที่ระลึกในคาเฟ่นี้ได้เลย เพราะที่นี่ถือเป็นแหล่งรวมผลิตภัณฑ์จากศิลปินชาวญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นขนมญี่ปุ่นรูปร่างเครื่องราง หรือจะโอมาโมริที่ทำพิเศษเพื่อคุณก็หาซื้อได้ ถึงจะไม่ซื้อแต่แค่แวะมาลองดูๆ ก็น่าเพลิดเพลินไม่น้อย!

หลังจากมาเยี่ยมชมศาลเจ้าและไหว้ขอพรเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ขอแนะนำให้เผื่อเวลามาชิมขนมหวานอร่อยๆ ของ Musubi Cafe แห่งนี้ พร้อมกับจิบชาดอกไม้ร้อนๆ ไม่ก็กาแฟเย็นสักแก้วกันนะ!

 

มาสัมผัสบรรยากาศสุดพิเศษที่คาวาโกเอะกัน!

ถ้ามีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมคาวาโกเอะแล้ว อย่าพลาดกิจกรรมเหล่านี้กันนะ เมืองนี้เป็นเมืองที่มีเสน่ห์อย่างมาก แค่รอวันที่คุณจะเข้าไปค้นพบ! หากสนใจที่เที่ยวอื่นๆ อีกล่ะก็ ลองอ่านบทความอื่นๆ ของเราได้นะ!

หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !

มนต์เสน่ห์คันโต

เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่

รับส่วนลดมากมายในญี่ปุ่น ที่นี่!

เกี่ยวกับนักเขียน

Fuchi
Fuchi Pan
เกิดที่ไต้หวัน ปัจจุบันอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น ใฝ่ฝันที่จะใช้ชีวิตโดยห้อมล้อมไปด้วยภาชนะแฮนด์เมดและสิ่งที่ชื่นชอบ
  • แผนการท่องเที่ยวคัดสรรค์โดยนักเขียน tsunagu Japan!

ค้นหาร้านอาหาร