เที่ยววนไป! ชมงานศิลปะและวัฒนธรรมท้องถิ่น ผ่านจุดท่องเที่ยวที่น่าหลงใหลในมาเอะบาชิ, ทาคาซากิ, คิริว
“กุนมะ” (群馬) เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของภูมิภาคคันโต สามารถเดินทางจากโตเกียวมาได้ง่ายๆ และมีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวในฐานะพื้นที่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ที่เหมาะสำหรับการทำกิจกรรมกลางแจ้ง และการแช่ออนเซ็น หากคุณต้องการเที่ยวชมพื้นที่เมืองให้ครบก็อาจจะต้องใช้เวลาสัก 2 - 3 วัน แต่รับรองได้เลยว่าคุ้มค่า! เมืองทาคาซากิได้รับการพัฒนาจนกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ ส่วนเมืองมาเอะบาชิก็เป็นเมืองหลวงที่อยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างกลมเกลียว ในขณะที่เมืองคิริวเองก็เต็มไปด้วยของขวัญจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นสายน้ำหรือต้นไม้เขียวขจี อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์และประเพณีที่ยังมีชีวิตอยู่ด้วย พื้นที่เหล่านี้ใช้จัดแสดงงานศิลปะสุดล้ำสมัย แต่ในขณะเดียวกันก็มีการฝึกฝนการพัฒนาเมืองแบบยั่งยืนด้วย นับเป็นพื้นที่แสนสะดวกสบายที่คนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวสามารถมาพบกะพูดคุยกันได้ และเปรียบเสมือนการคืนชีวิตให้กับโครงสร้างเมืองที่มีอยู่แต่เดิม และดึงเอาสิ่งดีๆ ของจังหวัดกุนมะในอดีตกลับมานำเสนออีกครั้ง ซึ่งนับเป็นหนึ่งในความตั้งใจอันมุ่งมั่นของเมืองเลยทีเดียว และในบทความนี้ เราก็จะมาแนะนำโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร และหอศิลป์ที่ให้ความสำคัญกับค่านิยม วัฒนธรรม และงานศิลปะกัน!
*บทความนี้ได้รับการสนับสนุนจาก Gunma Excellence
● Gunma Excellence คืออะไร?
จังหวัดกุนมะให้ความสนใจกับการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาก ดังนั้นจึงมีการกำหนดเงื่อนไขในการสร้างสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เหมาะสำหรับการต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และหากที่ไหนผ่านเกณฑ์ ก็จะได้รับการจดทะเบียนให้เป็น 「Gunma Excellence」
บทความนี้จัดทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์จะแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับการรับรองโดย “Gunma Excellence” เป็นหลัก โดยมีทั้งข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวและคอร์สการเที่ยวมากมายที่ชาวต่างชาติสามารถเข้าร่วมได้อย่างไร้กังวล หากคุณมีโอกาสมาเที่ยวจังหวัดกุนมะ ก็ลองใช้บทความนี้เป็นคู่มือ แล้วไปเที่ยวตามรอยกันได้เลย
มาเอะบาชิ (Maebashi) : เมืองหลวงของจังหวัดกุนมะ
“มาเอะบาชิ” (前橋) เป็นเมืองหลวงของจังหวัดกุนมะ มีทั้งถนนศิลปะ อาหารแสนอร่อย และสวนสาธารณะสีเขียวชอุ่ม ในอดีตเมืองนี้เคยรุ่งเรืองขึ้นด้วยธุรกิจการค้าไหมดิบกับต่างประเทศ และในปัจจุบันก็เป็นที่รักของชาวบ้านในฐานะเมืองที่แสนสงบสุข
Arts Maebashi
Arts Maebashi เปิดตัวขึ้นครั้งแรกใน ค.ศ. 2013 บนถนนสายบาบากาวะใจกลางเมืองสุดครึกครื้น ในฐานะศูนย์รวมความคิดสร้างสรรค์อันทันสมัยของจังหวัดกุนมะ แกลลอรี่แห่งนี้เปรียบเสมือนศูนย์รวมความครีเอทีฟที่มีการจัดงานนิทรรศการต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นงานประจำซึ่งจัดแสดงงานศิลปะท้องถิ่น หรืองานนิทรรศการพิเศษของเหล่าศิลปินท้องถิ่น ทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์ในการส่งเสริมและสนับสนุนงานศิลปะและวัฒนธรรมเป็นหลัก
Arts Maebashi สร้างจากการรีโนเวทศูนย์การค้าที่ไม่ได้ใช้แล้ว นับเป็นการปรับปรุงที่มีส่วนช่วยในการปลุกความคึกคักให้กับเมือง อีกทั้งยังเป็นการฟื้นฟูพื้นที่โดยไม่ต้องทุบทำลายอาคารเก่าด้วย เดิมที บริเวณหน้าอาคารนี้จะทำด้วยแผ่นอลูมิเนียมเจาะรูสุดมีสไตล์ ทำให้ภายนอกดูสวยเก๋ แถมยังเปล่งประกายราวกับเป็นของขวัญจากโลกแห่งอนาคตเลยทีเดียว ส่วนด้านในก็เต็มไปด้วยห้องแกลลอรี่ที่มีดีไซน์และขนาดที่แตกต่างกัน แต่ก็ดูโดดเด่นและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่แพ้กันเลย ที่นี่มีการใช้ประโยชน์จากโครงสร้างอาคารแบบเดิม โดยนำมาดัดแปลงให้ผู้เข้าชมสามารถเดินเข้าห้องแกลลอรี่ต่างๆ ในระยะทางสั้นๆ ได้
นิทรรศการใหญ่ของ Arts Maebashi จะจัดขึ้นประมาณ 4 ครั้งต่อปี เป็นงานศิลปะหลายประเภทและหลายธีม ตั้งแต่ภาพวาด, ภาพถ่าย, งานประติมากรรม, งานดนตรี, งานเต้นรำ ฯลฯ โดยเนื้อหาทั้งหมดจะเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรากฐานของภูมิภาคนี้ ที่สร้างสรรค์ขึ้นจากความร่วมมือของเหล่าศิลปินที่มีความเกี่ยวข้องกับเมืองมาเอะบาชิและจังหวัดกุนมะ นอกจากนี้ ในพื้นที่ก็ยังมีคาเฟ่และร้านค้าที่มีบรรยากาศโปร่งสบายและอบอุ่นอยู่ด้วย เปรียบเสมือนแหล่งเก็บความรู้และภูมิปัญญาเกี่ยวกับศิลปะวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่มีความหลากหลายและกว้างขวางมาก คุณจึงสามารถใช้เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้กันได้ด้วย
เมื่อคุณเดินทางมาถึงตึก Arts Maebashi เราขอแนะนำให้ไปชมป้ายดิจิทัลบนดาดฟ้าของอาคารจอดรถที่อยู่ติดกันด้วย ที่นั่นเป็นส่วนหนึ่งของงานนิทรรศการ “Your Sky, My Sky” ที่จัดแสดงภาพถ่ายของท้องฟ้ากับเด็กๆ นอกจากนี้ก็ยังมีวัตถุคล้ายบอลลูนที่แขวนอยู่บนต้นไม้หน้าแกลลอรี่ ซึ่งเป็นการจัดแสดงที่มีชื่อว่า “Tiny Thing I Lost”
คุณสามารถชมนิทรรศการของ Arts Maebashi ในเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษได้ที่เว็บไซต์ทางการของแกลลอรี่ด้านล่างนี้เลย
รินโคคากุ / Rinkokaku
หลังจากที่เยี่ยมชมความทันสมัยของมาเอะบาชิกันไปแล้ว ก็มาชมสิ่งก่อสร้างทางประวัติศาสตร์กันดูบ้าง ในพื้นที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของ “ปราสาทมาเอะบาชิ” (前橋城) ในอดีตที่หันออกสู่แม่น้ำโทเนะนั้น เป็นที่ตั้งของ “รินโคคากุ” (臨江閣) หรือ แผนกต้อนรับสไตล์ญี่ปุ่นที่มีสวนญี่ปุ่นอันงดงามอยู่ด้วย
อาคารหลักหลังนี้สร้างขึ้นใน ค.ศ. 1884 เป็นอาคารไม้ 2 ชั้น ที่สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบ “สุคิยะ ซุคุริ” (数寄屋造り) สุดประณีต ที่นี่เคยเป็นสถานที่ต้อนรับจักรพรรดิเมจิใน ค.ศ. 1893 และจักรพรรดิไทโชใน ค.ศ. 1902 และ 1908 นอกจากนี้ก็ยังเคยถูกใช้เป็นที่ว่าการเมืองอยู่ช่วงหนึ่งด้วย พื้นที่ในอาคารตกแต่งด้วยเสื่อทาทามิและพรมปูพื้น ส่วนบริเวณข้างๆ กันก็เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของมาเอะบาชิและรินโคคากุ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการสร้างเมืองมาเอะบาชิ, ความรุ่งเรืองของอุตสาหกรรมผ้าไหม, การโจมทีทางอากาศในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ฯลฯ นับเป็นสถานที่ที่นำเสนอเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ได้อย่างน่าประทับใจเลย (*ข้อมูลเป็นภาษาญี่ปุ่นเท่านั้น)
ในปัจจุบัน อาคารที่แยกตัวออกมานี้ทำหน้าที่เป็นทางเข้าหลักของรินโคคากุ และเชื่อมเข้าสู่อาคารหลักด้วยทางเดินอันแสนยาว ในบรรดาห้องทั้งหมดนี้ ห้องที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษ คือ ห้องโถงต้อนรับในชั้น 2 เนื่องจากเคยถูกใช้เป็นห้องรับแขกกิตติมศักดิ์ในงาน “มหกรรมการรวมตัวของ 1 มหานครและ 14 จังหวัด” (一府十四県連合共進会) ที่จัดขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ด้านในเป็นห้องกว้างสไตล์ญี่ปุ่น มีเพดานไม้ที่ชวนให้สงบใจ และประดับประดาไปด้วยโถงทางเดินมากมาย นอกจากนี้ก็ยังมีการใช้เสื่อทาทามิเพื่อเพิ่มโทนสีแนวอบอุ่นอ่อนโยน ที่ทำให้บรรยากาศภายในดูสงบและละมุนยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ บนฝั่งตรงข้ามของสวนที่สงบสุขก็ยังมีห้องชงชาที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของช่างไม้ชื่อดังจากเกียวโตด้วย ห้องชงชานี้เปี่ยมไปด้วยความเรียบง่ายแบบ “วาบิ” (侘び) ซึ่งเป็นความสงบนิ่งตามหลักสุนทรียศาสตร์ของญี่ปุ่น การสร้างในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจาก “คาโตริ โมโตฮิโกะ” (楫取素彦) ผู้ว่าการคนแรกของจังหวัดกุนมะที่มาช่วยเรื่องการรวบรวมเงินบริจาค นับแต่นั้นมา ห้องชงชาแห่งนี้ก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของรินโคคาคุมาจนถึงปัจจุบัน
ร้านกิวยะ คิโยชิ (Gunma Excellence) / Gyuya Kiyoshi
กุนมะมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งเกษตรกรรมที่อุดมสมบูรณ์ มีวัตถุดิบคุณภาพสูงอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเห็ดชิตาเกะ, ต้นหอมเนงิ, บุกคอนเนียคุ, เนื้อโจชูคุโรเกะวากิว ฯลฯ ซึ่งเหมาะสำหรับเมนูหม้อไฟอย่าง “ชาบูชาบู” หรือ “สุกี้ยากี้” มากๆ รับรองว่าคุณได้ลิ้มลองรสชาติที่แท้จริงของวัตถุดิบเหล่านี้กันอย่างเต็มที่แน่นอน
“ร้านกิวยะ คิโยชิ” (牛や清) เป็นร้านอาหารดูมีรสนิยมที่ตั้งอยู่ในเมืองมาเอะบาชิ ตัวอาคารสร้างจากการรีโนเวทจากอาคารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม และเป็นร้านสุกี้ยากี้และเมนูหม้อไฟในดวงใจของชาวท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน ร้านใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของกุนมะทั้งหมด ตั้งแต่เปิดทำการมาใน ค.ศ. 1959 โดยเน้นวัตถุดิบที่สดใหม่และมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ตัวอย่างเช่น เนื้อวัวคุโรเกะวากิวระดับ A5 จากวัวสายพันธุ์โจชูที่เลี้ยงในจังหวัดกุนมะ เป็นต้น
“เนื้อโจชูวากิว” (上州和牛) เป็นเนื้อที่มีไขมันแทรกเป็นลายหินอ่อนที่สวยงามตามที่เห็นในภาพ ทานแล้วละลายในปาก และเต็มล้นไปด้วยรสชาติอันชุ่มฉ่ำของเนื้อ ที่มีทั้งความหวานและรสอูมามิกลมกล่อมลงตัว ซึ่งคุณสามารถมาเพลิดเพลินได้อย่างจุใจ นอกจากนี้ก็ยังมีต้นหอมเนงิจากเมืองชิโมนิตะที่เคี้ยวอร่อยนุ่มลิ้น ยิ่งถ้านำไปจุ่มในซอสทาเระก็จะได้รสชาติที่อร่อยหอมหวาน นอกจากนี้ก็ยังมีวัตถุดิบอื่นๆ อย่างเห็ดเอโนกิ เส้นบุกชิราทากิ และเต้าหู้ซึ่งเป็นวัตถุดิบพื้นฐานของเมนูสุกี้ยากี้ด้วย
ภาพนี้เป็นเมนูสุกี้ยากี้ที่เป็นความภาคภูมิใจของร้านกิวยะ คิโยชิ เพียงคุณใส่ส่วนผสมลงไปต้มในหม้อ ก็สามารถทานได้เลย ส่วนผสมทั้งหมดจะเข้าไปรวมกับน้ำซุปที่ทำจากโชยุแปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร จากนั้น ก็เอาไปจิ้มในไข่ดิบที่เปรียบเสมือนอัญมณีอันล้ำค่าที่จะช่วยดึงรสชาติที่แท้จริงของส่วนผสมแต่ละอย่างออกมา แล้วก็ทาน! ทางร้านจะมีพนักงานในชุดกิโมโนที่เป็นมิตรคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารแต่ละชนิดอย่างถูกวิธีด้วย คุณจึงสามารถเพลิดเพลินกับมื้ออาหารได้โดยไม่ต้องกังวลอะไร
โรงแรมชิโรอิยะ ( Gunma Excellence) / Shiroiya Hotel
หลังจากที่ชมความล้ำสมัยของ Art Maebashi และความงดงามของญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมในรินโคคากุกันไปแล้ว ก็มาจบวันด้วยการพักค้างคืนในโรงแรมศิลปะแห่งเมืองมาเอะบาชิกัน! “โรงแรมชิโรอิยะ” (白井屋ホテル) แห่งนี้ตั้งอยู่ข้างๆ Arts Maebashi และมีห้องพักที่เต็มไปด้วยงานศิลปะและความมีเอกลักษณ์ที่ไม่ซ้ำใคร อีกทั้งยังมีการออกแบบอันชาญฉลาดที่จะมากระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของคุณให้สนุกไปกันการเข้าพัก
อาคารแห่งนี้เคยถูกบังคับให้ปิดตัวลงด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจในช่วง ค.ศ. 2008 แต่ด้วยความช่วยเหลือของนักธุรกิจไฟแรงอย่าง “คุณฮิโตชิ ทานากะ” (田中仁เจ้าของแฟรนไชส์แว่นลำลองญี่ปุ่นชื่อดัง) อาคารของสถาปนิกอย่างคุณโซ ฟูจิโมโต้ (藤本壮介), ศิลปินแนวคอนเซ็ปต์อาร์ตอย่างคุณ Leandro Erlich, ช่างภาพและศิลปินโมเดิร์นอาร์ตอย่างคุณฮิโรชิ สุกิโมโตะ (杉本博司) รวมถึงนักออกแบบผลิตภัณฑ์อย่างคุณ Jasper Morrison โรงแรมแห่งนี้ก็ได้รับการรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “ชิโรอิยะ”
โรงแรมชิโรอิยะไม่ได้เป็นแค่ที่พักธรรมดา แต่เป็สถานที่ที่จะทำให้คุณได้เพลิดเพลินไปกับการกระตุ้นประสาทสัมผัสทั้ง 5 โดยส่วนที่เป็น “Heritage Tower” นี้ได้มีใช้ประโยชน์จากรูปทรงของอาคารคอนกรีตที่มีอยู่แต่เดิม และสร้างคอนทราสต์ที่ดูสดใสด้วยการทำพื้นที่ด้านในให้เป็นสีเขียวชอุ่ม และในอีกด้านหนึ่ง ชั้นกลางของที่นี่ก็เป็นห้องโถงใหญ่ที่เชื่อมต่อกับส่วนอื่นๆ ด้วยบันไดไต่ระดับและหลอดไฟ ซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของ Leandro Erlich นอกจากนี้ก็ยังมีการประดับชิ้นงานศิลปะมากมายไว้บนกำแพงด้วย ไม่ว่าจะเป็น “Inverted Discussion” กับ “Unity Channelled” ของศิลปินชาวอังกฤษ Liam Gillick, “Sea of Galilee, Golan” ของฮิโรชิ สุกิโมโตะ หรือป้ายแขวนขนาดยักษ์ที่ชื่อ “Lightfalls” ผลงานของคุณโยโกะ อันโดะ
นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแล้ว ที่นี่ก็ยังมีห้องพักที่เน้นความเป็นส่วนตัวและมีดีไซน์เป็นของตนเองซึ่งได้รับการออกแบบพิเศษแบบห้องต่อห้อง โดยเหล่าศิลปินที่เน้นในเรื่องของหลักสุนทรียศาสตร์ อย่าง “Jasper Morrison” ที่เป็นห้องสไตล์มินิมอลที่อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมของไม้ (ภาพซ้าย) และห้อง “Leandro Erlich” ที่เต็มไปด้วยงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการเดินท่อเปลือยที่จัดวางอย่างมีศิลป์, งานประติมากรรมต่างๆ (ภาพขวา) หรือลายไพ่ที่ดึงดูดสายตา นับเป็นห้องที่เต็มไปด้วยจุดน่าสนใจมากมายเลยทีเดียว
ถัดจาก Heritage Tower ก็เป็นเนินหญ้าที่ดูคล้ายกับหมู่บ้านฮอบบิท เป็นที่ตั้งของ “Green Tower” ซึ่งมีทั้งห้องพักและซาวน่า 3 แบบอยู่ภายใน ให้คุณได้มาใช้เวลาอย่างมีความสุขท่ามกลางธรรมชาติของพื้นที่ในเมืองใหญ่กัน
ร้านอาหารหลักของโรงแรมชิโรอิยะ ชื่อ “the RESTAURANT” ดำเนินการภายใต้การดูแลของเชฟจากร้านอาหารฝรั่งเศส “Florilege” ซึ่งเป็นร้านอาหารดาวมิชลินเลื่องชื่อในโตเกียว และ “เชฟฮิโระ คาตายามะ” (片山ひろ) แห่งจังหวัดกุนมะผู้มากประสบการณ์ ร้านอาหารแห่งนี้ก็ดำเนินการด้วยหลักการเดียวกับโรงแรม คือ เน้นการนำเสนอรสชาติดั้งเดิมด้วยอาหารที่แปลกใหม่ซึ่งจะมีการเปลี่ยนเมนูไปเรื่อยๆ และนอกจากร้านอาหาร “the LOUNGE” ที่เปิดบริการตลอดทั้งวันแล้ว ในโรงแรมก็ยังมีร้านเบเกอรี่และขนมหวานอย่าง “Blue Bottle Coffee Shiroiya Cafe” และบาร์ที่เปิดเฉพาะช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์อยู่ด้วย ทั้งหมดนี้เปิดให้คนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้บริการกันได้อย่างอิสระเสรี
นอกจากนี้ คุณยังสามารถจองกิจกรรมต่างๆ ผ่านโรงแรมชิโรอิยะได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นการเดินป่า พายเรือแคนู พิธีชงชา หรือการแต่งชุดกิโมโน ซึ่งจะทำให้คุณได้ดำดิ่งไปกับทิวทัศน์และวัฒนธรรมของจังหวัดกุนมะ หากคุณสนใจก็ลองสอบถามพนักงานตอนที่มาเข้าพักได้เลย
ทาคาซากิ (Takasaki) : เมืองประตูสู่กุนมะ
“ทาคาซากิ” (高崎) เป็นเมืองที่มีประชากรมากที่สุดในจังหวัดกุนมะ สามารถเดินทางจากโตเกียวได้ด้วยรถไฟชินคันเซ็น และเป็นที่รู้จักในฐานะประตูสู่จังหวัดกุนมะที่มีผู้คนจากภายนอกหลั่งไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก แม้ว่าทาคาซากิจะเป็นมหานครใหญ่ แต่ก็ยังคงมีวัฒนธรรมประเพณีและศิลปะเก่าแก่มากมายที่ยังหายใจอยู่ ที่นี่จึงเป็นจุดท่องเที่ยวที่คุณสามารถสัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจได้
สตูดิโอ อิมาอิดารุมะ นายะ (Gunma Excellence) / Imai Daruma store NAYA
ถึงแม้ว่าดารุมะจะมีหน้าตาที่ไม่เป็นมิตรเท่าไหร่ แต่มันก็เป็นคาแรคเตอร์น่ารักๆ ที่มีเฉพาะในญี่ปุ่นเท่านั้น อีกทั้งยังเป็นตุ๊กตาแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมที่ว่ากันว่าสามารถใช้ขอพรได้ด้วย ดารุมะเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของเมืองทาคาซากิที่ทุกคนภาคภูมิใจ เนื่องจากที่นี่เป็นแหล่งผลิตตุ๊กตาดารุมะมานานกว่า 200 ปีแล้ว และเพียงโรงงานทำตุ๊กตาดารุมะในทาคาซากิเพียงอย่างเดียวก็ผลิตตุ๊กตาดารุมะได้กว่า 80% ของการผลิตทั่วญี่ปุ่นเลย เมืองนี้จึงเป็นจุดท่องเที่ยวที่คุณสามารถมาเยี่ยมชมและหาซื้อตุ๊กตาดารุมะได้อย่างสนุกสนาน รวมถึงมีเวิร์คช็อปงานฝีมือให้คุณได้เข้าร่วมกันด้วย
“อิมาอิดารุมะ นายะ” (今井だるま店NAYA) เป็นสตูดิโอที่ดำเนินกิจการโดยครอบครัวที่อาศัยอยู่ในชานเมืองทาคาซากิ เปิดทำการมากว่า 90 ปีแล้ว ด้วยความที่สตูดิโอแห่งนี้ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีไปพร้อมกับการสร้างสรรค์ดีไซน์ใหม่ๆ ออกมา ตุ๊กตาดารุมะของที่นี่จึงดูราวกับเป็นดารุมะเวอร์ชั่นอัพเกรดที่ดูมีสไตล์และน่าเพลิดเพลินมากยิ่งขึ้น สตูดิโอแห่งนี้ทั้งผลิตและจำหน่ายตุ๊กตาดารุมะเองเลย
ตุ๊กตาดารุมะของที่นี่มีหลากสี หลายสไตล์ อีกทั้งยังมีหลายขนาดให้เลือก ตั้งแต่ “ตุ๊กตาดารุมะนำโชค” สีแดงสุดคลาสสิก ไปจนถึงตุ๊กตา “อามาบิเอะ” (アマビエ) ที่เป็นภูตครึ่งนกครึ่งนางเงือกสีฟ้าอมเขียวจากตำนานภูตผีของญี่ปุ่นที่เชื่อกันว่าสามารถป้องกันโรคระบาดได้, “ดีไซเนอร์ดารุมะ” (デザイナーだるま) ตุ๊กตาสไตล์มินิมอลที่เหมาะบ้านสมัยใหม่ และ “แพลตตินัมดารุมะ” (プラチナだるま) ที่เปล่งประกายระยิบระยับ นอกจากนี้ก็ยังมีดารุมะที่ดูมีเสน่ห์ดึงดูดอีกมากมายหลายรุ่นด้วยเช่นกัน อย่างเช่น “Daruma FIFA World Cup” ซึ่งเป็นรุ่น Limited Edition ที่ออกมาเพื่อให้กำลังใจนักฟุตบอลทีมชาติญี่ปุ่นโดยเฉพาะด้วย เป็นต้น
ตุ๊กตาของสตูดิโอ อิมาอิดารุมะ นายะ เป็นงานแฮนด์เมดทั้งหมด สร้างสรรค์ขึ้นโดยคุณ “ฮิโรฮิสะ อิมาอิ” (今井裕久 CEO และประธานบริษัท) และครอบครัวของเขา รวมถึงพนักงานทุกคนด้วย งานแต่ละชิ้นจะใช้เวลาประมาณ 1 สัปดาห์ เพราะต้องทำตั้งแต่การปั้นดินกระดาษ ทาสีพื้น ไปจนถึงการวาดลายคิ้วและหนวดเคราอันซับซ้อนเลย
นอกจากนี้ ทางสตูดิโอก็ยังใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อย่างกระดาษรีไซเคิล ดินธรรมชาติ และผงจากเปลือกหอยนางรมบดละเอียดด้วย ซึ่งก็เป็นเพราะสตูดิโอแห่งนี้มุ่งเน้นการทำธุรกิจแบบยั่งยืนนั่นเอง และในอีกด้านหนึ่ง ที่นี่ก็ยังมีกิจกรรม “เปิดประสบการณ์เพนท์ลายดารุมะ” ที่นำโดยคุณอิมาอิ ให้คุณสามารถออกแบบตุ๊กตาดารุมะในแบบของคุณเองได้ด้วย หากคุณสนใจ เราขอแนะนำให้ตามไปอ่านรายละเอียดในเว็บไซต์ล่วงหน้าก่อนเลย
ทาคาซากิ โอเรียนซ่าคาเฟ่ / Takasaki Orion-za Cafe
เช่นเดียวกับเมืองมาเอะบาชิ เมืองทาคาซากิก็เต็มไปด้วยผู้คนที่มุ่งมั่นปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงสถานที่ที่ไม่ใช้แล้วให้กลายเป็นศูนย์รวมของชุมชนเช่นกัน และหนึ่งในนั้นก็คือ “โอเรียนซ่าคาเฟ่” (オリオン座カフェ) ที่มีพื้นที่กว่า 300 ตารางเมตร ซึ่งดัดแปลงมาจากโรงภาพยนตร์เก่า ที่นี่เป็นสถานที่ที่คุณสามารถไปเพลิดเพลินกับกาแฟ, เครื่องดื่ม, ของว่าง ฯลฯ กันได้ ด้านในมีการใช้ประโยชน์จากตัวอาคารเก่าอย่างพื้นอิฐและเสาคอนกรีต ในขณะที่เพิ่มการตกแต่งสุดชิคเข้าไปด้วย นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับการชมงานศิลปะอันสวยงามจากที่นั่งแสนสบายได้ ส่วนภายนอกนั้นไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนอะไรเลย เพื่อเป็นการรักษาอาคารประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าเอาไว้
เดิมที โรงภาพยนตร์โอเรียนซ่า เคยตั้งอยู่บน Takasaki Chuo Ginza Shopping Street ถนนช้อปปิ้งที่มีความยาวรวม 430 เมตร ซึ่งไม่ต่างจากย่านช้อปปิ้งอื่นๆ ที่เจริญรุ่งเรืองในสมัยโชวะ ที่นี่จึงเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้าต่างๆ มากมาย ทำให้กิจกรรมและความคึกคักในวิถีชีวิตต่างๆ ของผู้คนลดลง จนในที่สุด โอเรียนซ่า ก็ปิดตัวไปใน ค.ศ. 2003 และถูกทิ้งร้างไว้จนกระทั่ง ค.ศ. 2021 ที่ผ่านมา
เมืองทาคาซากิมีเป้าหมายในการฟื้นฟูเมืองอย่างยั่งยืนเป็นหลัก โดยมี “คุณมาซายูกิ ยากิ” (八木正之 ผู้จัดการอสังหาริมทรัพย์และเจ้าของคนใหม่ของโอเรียนซ่าคาเฟ่) เป็นผู้ริเริ่ม และคาเฟ่แห่งนี้ก็กลายเปรียบเสมือนฐานหลักในการถ่ายทอดวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่มีการใช้ความทันสมัยของตัวคาเฟ่เป็นจุดขาย เพื่อดึงดูดผู้คนประเภทต่างๆ ให้ได้มาพบปะพูดคุยกัน ไม่ว่าจะเป็นชาวท้องถิ่น นักท่องเที่ยว หรือเหล่าครีเอเตอร์ นอกจากนี้ คุณมาซายูกิยังมีความตั้งใจที่จะดึงดูดธุรกิจใหม่ๆ ให้เข้ามาลงทุนในย่านนี้ เพื่อฟื้นฟูถนนช้อปปิ้งสายนี้ขึ้นมาใหม่ด้วย
นอกจากอาหารและเครื่องดื่มแล้ว โอเรียนซ่าคาเฟ่ก็ยังมีการแสดงแบบต่างๆ ทั้งไลฟ์โชว์, นิทรรศการศิลปะ, ร้านขายอาหารแบบป๊อปอัพ และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งคุณสามารถติดตามผ่าน Instagram ของทางคาเฟ่ได้ (ลิงก์ด้านล่าง) คาเฟ่แห่งนี้มีที่นั่งอยู่เยอะมาก คุณจึงสามารถมาพักผ่อนได้อย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่นั่งเหมือนเวลาไปคาเฟ่เล็กๆ ทั่วไปในญี่ปุ่น
โรงแรมโคโค่ แกรนด์ ทาคาซากิ (Gunma Excellence) / Hotel Coco Grand Takasaki
“โรงแรมโคโค่ แกรนด์” (ホテルココ・グラン) ตั้งอยู่ใจกลางของย่านนี้ โดยอยู่ติดกับสถานี Takasaki โดยตรงเลย ที่นี่จึงเป็นจุดแวะพักที่สะดวกสำหรับนักเดินทางเอามากๆ ห้องพักที่อยู่ชั้นบนๆ จะมีหลายราคาและหลายสไตล์ ไม่ว่าจะเป็นแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมหรือสไตล์ตะวันตกสมัยใหม่ นอกจากนี้ คุณยังสามารถเพลิดเพลินกับวิวเมืองและภูเขาจากทางหน้าต่างได้ และภายในก็มีการใช้โทนสีออร์แกนิคที่ให้ฟีลแบบชนบท และมีการใช้วัสดุธรรมชาติในการตกแต่ง ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนได้พักผ่อนจากชีวิตชาวเมืองอันแสนรีบเร่งและวุ่นวาย รวมถึงมีการใช้ต้นไม้และหินเพื่อเพิ่มความอบอุ่นใจให้กับผู้เข้าพักด้วย
ตัวโรงแรมประกอบไปด้วยโรงอาบน้ำขนาดใหญ่ที่มีทั้งห้องอาบน้ำคาร์บอร์เนตในที่ร่มและกลางแจ้ง ห้องซาวน่าแห้งแบบฟินแลนด์สำหรับผู้ชาย และซาวน่าหินเกลือสำหรับผู้หญิง ที่จะช่วยให้คุณได้คลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทาง โรงอาบน้ำเหล่านี้ตั้งอยู่บนชั้น 10 ซึ่งมีวิวพาโนรามาให้คุณได้เพลิดเพลินกันอย่างเต็มที่ในช่วงกลางวัน และมีแสงไฟระยิบระยับสวยงามให้ชมในตอนกลางคืน
สำหรับคนที่ต้องการการผ่อนคลายแบบเป็นส่วนตัว เราขอแนะนำห้องพักแบบ Premium Coco Suite ที่มาพร้อมอ่างสปาส่วนตัวทั้งกลางแจ้งและในที่ร่ม และอ่างหินซึ่งเหมาะมากสำหรับการผ่อนคลายในวันพิเศษ
การทานอาหารก็ทำให้เรามีความสุขได้เช่นกัน และในโรงแรมแห่งนี้ก็มีร้าน “โคโค่เชลล์” (ココ・シェル) ให้คุณได้ไปเพลิดเพลินกับอาหารมื้อค่ำสไตล์ฝรั่งเศสกันด้วย โดยทางร้านจะใช้วัตถุดิบท้องถิ่นของกุนมะในการปรุง และสำหรับมื้อเช้า ก็จะมีบุฟเฟ่ต์ทั้งสไตล์ญี่ปุ่นและตะวันตกให้ได้ทานกันด้วย
คิริว (Kiryu) : เมืองโอเอซิสแห่งจังหวัดกุนมะ
เมือง” คิริว” (桐生) มีประชากรประมาณ 100,000 กว่าคนเท่านั้น และพื้นที่ก็มีขนาดเล็กกว่าทั้งเมืองมาเอะบาชิและทาคาซากิ แต่ก็เป็นที่รู้จักในฐานะเมืองที่มีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่และทิวทัศน์ของเมืองประวัติศาสตร์ที่รุ่งเรืองด้านอุตสาหกรรมสิ่งทอมาอย่างยาวนาน
รถไฟหุบเขาวาตาราเซะ / Watarase Keikoku Railway
“รถไฟหุบเขาวาตาราเซะ” (わたらせ渓谷鐵道) เป็นรถไฟสายท้องถิ่นที่เริ่มต้นที่สถานี Kiryu ซึ่งทอดยาวจากชานเมืองคิริวไปจนถึงนิกโก้ที่อยู่ในจังหวัดโทชิกิ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางประวัติศาสตร์ที่อยู่ลึกลงไปในแอ่งที่มีแม่น้ำวาตาราเซะไหลผ่าน ซึ่งคุณสามารถนั่ง “โทรคโคะ วัชซีโก” (トロッコわっしー号) หรือ รถรางแบบเปิดโล่งไร้หน้าต่าง (ยกเว้นในหน้าหนาว) และเพลิดเพลินไปกับสายลมที่โชยมาปะทะใบหน้าระหว่างที่ชมวิวสุดงดงามกันได้ นอกจากนี้ก็ยังมี “โทรคโคะ วาตาราเซะ เคโคคุโก” (トロッコわたらせ渓谷号) หรือรถจักรดีเซลให้ได้ลองนั่งกันด้วย
การเดินทางด้วยรถไฟนั้นแสนเรียบง่ายและสะดวกสบาย คุณจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงของทิวทัศน์ที่เปลี่ยนจากเมืองอันแสนวุ่นวายเป็นพื้นที่ธรรมชาติอันกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็ดูสวยงามน่าชมทั้งนั้น นอกจากนี้ก็ยังมีไฮไลท์ตามฤดูกาล อย่างดอกฮานะโมโมะ ดอกซากุระและนาโนะฮานะในฤดูใบไม้ผลิ ใบไม้เปลี่ยนสีในช่วงปลายเดือนตุลาคมถึงปลายเดือนพฤศจิกายน รวมถึงการประดับไฟในช่วงฤดูหนาวด้วย
“รถไฟหุบเขาวาตาราเซะ” (わたらせ渓谷鐵道) เปิดใช้งานเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1912 เพื่อใช้ขนส่งทองแดงจาก “เหมืองทองแดงอาชิโอะ” (足尾銅山) โดยเฉพาะ จากนั้น ทางสายนี้ก็ถูกปิดลงตามการปิดตัวของเหมืองในช่วงปี ค.ศ. 1973 ซึ่งเป็นผลจากความต้องการสินค้าที่ลดลง และในที่สุดก็ถูกสั่งให้ปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์ในช่วงปี ค.ศ. 1985 แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากทางรถไฟสายนี้เป็นที่รักของคนในท้องถิ่นมาก จึงรอดพ้นจากการถูกบังคับให้ยกเลิกการเดินรถไฟ และใน ค.ศ. 1989 บริษัท Watarase Keikoku Railway Co., Ltd. ก็ได้เปิดตัวขึ้น เพื่อเป็นทางรถไฟสายพิเศษของจังหวัดกุนมะ
ตัวอาคารสถานีและอุโมงค์หลายแห่งตลอดเส้นทางสายนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ อีกทั้งยังมีไฮไลท์ต่างๆ มากมาย เช่น “อุโมงค์คันไบแห่งที่ 2” (第二神梅トンネル) ที่มีรูปทรงโค้ง สร้างขึ้นบนหน้าผาที่สูงชัน, คลังเก็บสินค้าอันตรายสถานีอาชิโอะที่สร้างด้วยอิฐ, ชานชาลาขาออกของสถานี Soriสุดอลังการ รวมถึงห้องไม้สำหรับนั่งรอรถไฟ และ “สะพานวาตาราเซะหมายเลข 2” (第二渡良瀬川橋梁) สีฟ้าสะดุดตาที่ได้ชื่อว่าเป็นสะพานที่ยาวที่สุดบนเส้นทางรถไฟสายอาชิโอะด้วย
หากคุณต้องการขึ้นรถไฟหุบเขาวาตาราเซะแล้วล่ะก็ เราขอแนะนำให้สอบถามเจ้าหน้าที่สถานีให้เรียบร้อยก่อนขึ้นรถด้วย เพราะเจ้าหน้าที่จะนำตารางการเดินรถมาให้คุณดู พร้อมกับอธิบายรายละเอียดให้คุณทราบ ที่คุณต้องทำ ก็แค่บอกว่าอยากขึ้นรถแบบไหนเท่านั้นเอง!
ออนเซ็นเซนเตอร์ สถานีมิซูนุมะ / Mizunuma Station Onsen Center
ระหว่างที่นั่งรถไฟหุบเขาวาตาราเซะ เราก็ได้แวะพักกันที่สถานี Mizunuma ที่เป็นสถานีไร้เจ้าหน้าที่สถานีนี้เป็นที่ตั้งของแหล่งน้ำพุร้อนธรรมชาติแห่งเดียวในภูมิภาคคันโต ซึ่งอยู่ใน “ออนเซ็นเซนเตอร์ สถานีมิซูนุมะ” (水沼駅温泉センター) นั่นเอง
ออนเซ็นเซนเตอร์แห่งนี้เปิดให้บริการใน ค.ศ. 1989 โดยตั้งอยู่บนชานชาลาของสถานี Mizunuma ตรงๆ เลย มีทั้งห้องอาบน้ำในที่ร่ม ห้องอาบน้ำกลางแจ้ง และซาวน่าที่ใช้ความร้อนใต้พิภพของ “ซารุคาวะออนเซ็น” (猿川温泉) ด้วย
ออนเซ็นเซนเตอร์ สถานีมิซูนุมะไม่ใช่อาคารที่ทันสมัย แต่เป็นสถานที่ที่สร้างขึ้นโดยมีวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่นเป็นที่ตั้ง มีพื้นที่จัดแสดงโปสเตอร์เก่าแก่ ของเล่น แผ่นเสียง ฯลฯ รวมถึงโรงอาบน้ำที่คุณสามารถเพลิดเพลินกับทัศนียภาพของฤดูกาลทั้ง 4 ได้ นอกจากนี้ ทั้งพนักงานและลูกค้าประจำของที่นี่ก็เป็นมิตรและพร้อมจะพบปะต้อนรับลูกค้าชาวต่างชาติกันมากด้วย อีกทั้งยังมีร้านอาหารเล็กๆ ที่มีข้าวกล่องมื้อกลางวันขาย ให้คุณซื้อทานในร้าน หรือจะซื้อกลับบ้านก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น Sauce Katsu เมนูคัตสึราดซอสสูตรพิเศษของเมืองคิริว เป็นต้น
สถานี Mizunuma เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของยุคโชวะ เปิดให้บริการครั้งแรกใน ค.ศ. 1912 ในฐานะสถานีของรถไฟสายอาชิโอะ และเนื่องจากมันเป็นเส้นทางที่ใช้ขนส่งของจากเหมือง จึงมีชานชาลาที่ทั้งยาวและกว้าง ไม่เหมือนกับสถานที่ท่องเที่ยวทั่วๆ ไป สถานีนี้ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 100 สถานีที่ดีที่สุดในภูมิภาคคันโต เพราะเป็นทั้งแหล่งออนเซ็นและสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมสุดงดงาม
ชุคุโบ คันนงอิน (Gunma Excellence) / Temple Hotel Kannon-in
“วัดคันนงอิน” (観音院) ตั้งอยู่ในชานเมืองคิริว เป็นวัดเล็กๆ ที่มีพระพุทธรูปอยู่หลายองค์ และดูมีเสน่ห์น่าชมสำหรับผู้ที่ได้พบเห็น นอกจากห้องโถงใหญ่ที่สวยงามแล้ว วัดแห่งนี้ก็ยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง เช่น โถงสักการะที่ประดับด้วยโคมแดงที่ส่องแสงเป็นประกายเรื่อเรือง พระพุทธรูปที่ดูสูงส่งหลานองค์ และรูปปั้นของเทพเจ้าที่ประดิษฐานอยู่ใต้ต้นไม้ที่มีใบไม้เปลี่ยนสีงามสง่า
วัดแห่งนี้มีที่พักอยู่ติดกับห้องโถงหลัก และเป็นหนึ่งในที่พักแบบนอนวัดที่เรียกว่า OTERA STAY ซึ่งกระจายตัวอยู่ทั่วญี่ปุ่น พื้นที่ในวัดแห่งนี้เป็นไปตามหลักปรัชญาแห่งความเรียบง่ายของศาสนาพุทธ คือ สะอาด เปิดกว้าง และเป็นมิตร นอกจากนี้ บริเวณรอบวัดก็ยังมีสวนอันเงียบสงบที่มีมอสขึ้นปกคลุมด้วย
ที่พักแบบ “โอริ โนะ มะ” (織の間) นี้มีการผสมผสานสไตล์แบบญี่ปุ่นดั้งเดิม อย่างเสื่อทาทามิและฟุตงเข้าด้วยกัน อีกทั้งยังมีสวนภูมิทัศน์แห้งแบบส่วนตัวที่หันหน้าไปทางโรงอาบน้ำกลางแจ้ง รวมถึงครัวส่วนกลางที่มีอุปกรณ์ทำอาหารอย่างครบครัน และห้องรับประทานอาหารที่เต็มไปด้วยคู่มือเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในวัดเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษ
“วัดคันนง” (観音院) นับเป็นวัดอันทรงเกียรติของศาสนาพุทธนิกายชินกอนที่ก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1644 และเป็นวัดลำดับ 10 ในเส้นทางจาริกแสวงบุญวัด 88 แห่งในคันโต ที่นี่เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นอันศักดิ์สิทธิ์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์ “โชคันนง” (聖観音像) และเทพเจ้าจิโซ (地蔵尊) ผู้คุ้มครองเด็กและนักเดินทาง เมื่อคุณไปถึงก็จะได้รับการต้อนรับอันอบอุ่นจากหัวหน้าคณะสงฆ์ เพื่อเข้าสู่วัดที่เต็มไปด้วยตำนานและเรื่องเล่า นอกจากนี้ วันที่ 24 ของทุกเดือนก็จะมีการจัดตลาดงานวัด ให้คุณได้สนุกตื่นเต้นไปกับการพบปะและพูดคุยกับคนในท้องถิ่นด้วย
คุณสามารถเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ของทางวัดได้ เช่น การทำพิธีทางศาสนายามเช้าที่ทุกคนสามารถเข้าร่วมได้ และการคัดลอกพระไตรปิฎกด้วยพู่กันและหมึก (สำหรับแขกที่พักค้างคืนเท่านั้น) อาจจะฟังดูยากสักหน่อย แต่หากคุณดูคู่มือที่แนบมาแล้ว ก็จะสามารถสนุกไปกับมันได้ไม่ยากเลยล่ะ
โอกิยะ เกสต์เฮ้าส์ (Gunma Excellence) / OKIYA GUEST HOUSE
นอกจากนี้ เมืองคิริวก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวโบราณที่น่าสนใจอีกมากมาย ไม่แพ้เมืองมาเอะบาชิและทาคาซากิเลย แต่ละแห่งล้วนรอวันที่จะได้กลับมาเปล่งประกายอีกครั้งในยุคปัจจุบัน และที่พัก “โอกิยะ เกสต์เฮ้าส์” (OKIYA GUEST HOUSE) แห่งนี้ก็เช่นกัน บ้านหลังนี้เป็นที่พักแสนสบายที่อยู่ห่างจากสถานี Kiryu ในระยะเดินเพียง 7 นาทีเท่านั้น ตัวอาคารได้รับการปรับปรุงมาจากบ้านญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมที่มีอายุกว่า 100 ปี และยังเปรียบเสมือนจุดยุทธศาสตร์อันเป็นที่รักของผู้คนในชุมชนด้วย
“โอกิยะ” (置屋) เป็นคำเรียกบ้านของเกอิชา และว่ากันว่าในอดีต อาคารแห่งนี้เคยรับเด็กกำพร้าจากภัยสงครามมาเป็นเกอิชาฝึกหัดกันด้วย ถึงแม้ว่าทุกวันนี้จะไม่มีเกอิชาในเมืองคิริวแล้ว แต่คุณยูโกะ (ชาวเมืองคิริว) และคุณกาเบรียล (ชาวอาร์เจนตินา) ก็ได้ร่วมมือกันสืบทอดมรดกล้ำค่าของบ้านหลังนี้เอาไว้ และเปิดขึ้นมาเป็นเกสต์เฮ้าส์ให้บรรดานักท่องเที่ยวและผู้คนในท้องถิ่นสามารถมาเพลิดเพลินกับอาหารและเครื่องดื่มได้ แถมที่นี่ยังเป็นจุดตั้งต้นในการฟื้นฟูพื้นที่ในภูมิภาคนี้อีกด้วยนะ
ยูโกะกับกาเบรียลรู้สึกเศร้าใจที่บ้านอันมีค่าหลังนี้ถูกทิ้งร้างไว้ พวกเขาจึงมาตกแต่งใหม่และดัดแปลงให้กลายเป็นเกสต์เฮ้าส์ รวมทั้งเปิดบาร์ทาปาสในธีมเมดิเตอร์เรเนียนที่ช่วยขับเน้นเสน่ห์ดั้งเดิมของบ้านหลังนี้ให้เปล่งประกายยิ่งขึ้น และที่ยิ่งไปกว่านั้น คือ เชฟกาเบรียลได้มาโชว์พรสวรรค์และความคิดสร้างสรรค์ในการปรุงอาหารหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นเอมปานาดา, พิซซ่า, พาสต้า และปาเอยา ให้แขกทุกคนได้อร่อยเพลิดเพลินระหว่างที่จิบไวน์นำเข้า หรือน้ำชามาเตแบบต้นตำรับจากอเมริกาใต้ บรรยากาศภายในเลานจ์ของบ้านหลังนี้เกิดจากการผสมผสานความเป็นญี่ปุ่นดั้งเดิมเข้ากับองค์ประกอบสีสันสดใสจากประเทศอาร์เจนตินา ทำให้มีบรรยากาศของบ้านที่ดูอบอุ่น แสนสบาย และน่าอยู่
บ้านหลังนี้มีห้องพักอยู่ 3 ห้องบนชั้น 2 นอกจากนี้ก็ยังมีครัวส่วนกลาง ห้องน้ำ และดาดฟ้าด้วย คุณสามารถเช่าจักรยานของที่พักไปปั่นสำรวจพื้นที่โดยรอบได้อย่างสนุกสนาน ตั้งแต่ “พื้นที่อนุรักษ์อาคารแบบดั้งเดิมคิริว-ชินมาจิ” (桐生新町重要伝統的建造物群保存地区) ไปจนถึงอาคารบ้านเรือนในท้องถิ่น
อย่างที่เราได้บอกไปแล้วว่า เมืองมาเอะบาชิ ทาคาซากิ และคิริวที่อยู่ในจังหวัดกุนมะนั้น ต่างก็เป็นพื้นที่ที่ต่างจากชานเมืองทั่วไปซึ่งมักจะเต็มไปด้วยตึกสูงที่เรียงราย ที่นี่เปรียบเสมือนขุมทรัพย์ของวัฒนธรรมเก่าแก่และวัฒนธรรมสมัยใหม่, งานศิลปะ, ประวัติศาสตร์, ธรรมชาติ และอาหาร ที่ได้รับการสนับสนุนและฟืันฟูอย่างยั่งยืนโดยเหล่าชาวท้องถิ่นผู้มุ่งมั่น หลังจากที่ปีนเขาสูงในจังหวัดกุนมะและเพลิดเพลินกับเมืองน้ำพุร้อนกันไปแล้ว ก็ลองมาพักค้างคืนที่นี่กันสัก 2 - 3 วัน แล้วเดินทางไปท่องเที่ยวในพื้นที่น่าสนใจที่เราแนะนำไปในบทความนี้กันดูสิ!
สามารถชมเว็บไซต์ Visit Gunma เพื่ออัพเดทข้อมูลการท่องเที่ยวในจังหวัดกุนมะ เพิ่มเติมได้อีกด้วย!
https://www.visit-gunma.jp/th/
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่