สถานที่แนะนำในนางาซากิ เที่ยวชมไฮไลท์มากมาย ตั้งแต่มรดกโลกไปจนถึงเมนูเด็ด!
นางาซากิ แหล่งท่องเที่ยวในภูมิภาคคิวชูของญี่ปุ่นที่คุณจะได้ชมมรดกโลกที่สวยงาม วิวธรรมชาติอันยอดเยี่ยมห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและทะเล และยังมีอาหารอร่อยๆ น่าสนใจอีกมากมาย ในอดีต สมัยที่ญี่ปุ่นยังปิดประเทศ นางาซากิเป็นเมืองท่าเพียงแห่งเดียวที่ได้รับอนุญาตให้เปิดได้ วัฒนธรรมอาหารและบ้านเรือนของนางาซากิจึงมีการผสมผสานเข้ากับอิทธิพลตะวันตกและจีนที่เข้ามาในช่วงนั้น ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับมนต์เสน่ห์ของนางาซากิ ทั้งสิ่งก่อสร้างทางวัฒนธรรมที่ได้รับเลือกเป็นมรดกโลก ทัวร์เรือสำราญชมเกาะกุนคังจิมะ แวะชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลก และตามไปชิมเมนูท้องถิ่นที่มีพื้นหลังแปลกๆ เช่น นางาซากิจังปงและคัสเตลลา นอกจากนี้ เรายังมีข้อมูลเกี่ยวกับการเดินทางในนางาซากิมาให้คุณด้วย โดยจะเน้นในตัวเมืองเป็นหลัก แม้ไม่มีรถเช่าก็สามารถเดินทางเที่ยวได้อย่างสบายใจ ลองให้บทความนี้เป็นผู้ช่วยในทริปเที่ยวนางาซากิของคุณดูสิ!
*บทความนี้เป็นบทความที่ได้รับการสนับสนุน
・"เกาะเดจิมะ (出島)" สัญลักษณ์ความสัมพันธ์ระหว่างนางาซากิกับต่างประเทศ
"เกาะเดจิมะ" เป็นสถานที่เพียงแห่งเดียวที่เปิดให้มีการติดต่อกับต่างประเทศในช่วงปี 1641 - 1859 ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐบาลญี่ปุ่นออกนโยบายเพื่อป้องกันการเข้ามาของชาวต่างชาติ จนถูกเรียกว่าเป็น "ประเทศปิด (鎖国)" เกาะเดจิมะเป็นเกาะที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝีมือมนุษย์ มีรูปทรงเหมือนพัด และมีขนาดที่ค่อนข้างกะทัดรัด ทั้งเกาะมีพื้นที่เพียง 1.5 เฮกตาร์โดยประมาณ และมีบทบาทหลักเป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศฮอลแลนด์ ภายในเกาะนี้ คุณจะได้ชมบ้านที่อยู่อาศัยและโรงเก็บของของคนในสมัยนั้น ซึ่งล้วนมีสไตล์การก่อสร้างที่โดดเด่น เพราะเป็นการก่อสร้างแบบญี่ปุ่นที่ผสมผสานเข้ากับอิทธิพลตะวันตก
แม้ว่าบทบาทของเกาะเดจิมะจะจบลงเมื่อยุคสมัยได้เปลี่ยนแปลงไป แต่มันก็ได้รับการยกย่องให้เป็นโบราณสถานทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่า และยังได้รับการคัดเลือกให้เป็นโบราณสถานแห่งชาติ ซึ่งญี่ปุ่นก็ได้ดำเนินการฟื้นฟูสภาพเกาะไปเมื่อปี 1950 ปัจจุบัน คุณสามารถเข้าไปเที่ยวชมภายในอาคารที่ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ และพบปะกับผู้คนที่แต่งกายแบบเดียวกับในยุคสมัยนั้นได้
บริเวณพื้นที่เกาะมีลักษณะเหมือนเป็นธีมปาร์คประวัติศาสตร์ แม้จะตั้งอยู่ค่อนข้างใกล้กับย่านเมืองทันสมัยของนางาซากิ แต่หากคุณย่างเท้าเข้าไปแล้วล่ะก็ จะรู้สึกราวกับว่าได้ย้อนเวลากลับไปในอดีตเลยทีเดียว
・"เกาะกุนคังจิมะ (軍艦島)" เกาะร้างที่มีประวัติศาสตร์น่าสะพรึงกลัว
"เกาะกุนคังจิมะ" หรือ "เกาะเรือรบ" ในอดีตเป็นเกาะที่เฟื่องฟูขึ้นจากการทำเหมืองถ่านหินใต้ทะเลซึ่งเริ่มขึ้นในปี 1890 เป็นเกาะฝีมือมนุษย์ที่ถมขึ้นเพื่อสำรวจและพัฒนาอุตสาหกรรมถ่านหิน เกาะนี้มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ "เกาะฮาชิมะ (端島)" แต่เนื่องจากตัวเกาะมีรูปร่างคล้ายเรือรบจึงถูกเรียกเป็นเกาะเรือรบไป เกาะขนาดเล็กนี้มีเส้นรอบเกาะเพียง 1.2 กิโลเมตร กินพื้นที่ประมาณ 6.3 เฮกตาร์ ซึ่งใหญ่พอๆ กับสถานีชินจูกุในโตเกียวเท่านั้น ภายในเกาะเรียงรายไปด้วยอพาร์ทเมนต์ของผู้คนที่อาศัยอยู่ในยุคนั้น
ในปี 1960 ซึ่งเป็นช่วงที่อุตสาหกรรมถ่านหินรุ่งเรืองถึงขีดสุด เกาะนี้มีประชากรทั้งสิ้น 5,267 คน ซึ่งนับว่ามีความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่มากกว่าโตเกียวถึง 9 เท่าเลยทีเดียว นอกจากเหมืองถ่านหินและอพาร์ทเมนต์แล้ว บนเกาะยังมีโรงเรียน โรงพยาบาล โรงยิม โรงหนัง วัด ร้านปาจิงโกะ และร้านเหล้า ไว้คอยส่งเสริมวิถีชีวิตของผู้คนด้วย แต่ท้ายที่สุด เหมืองถ่านหินก็ถูกปิดลงในปี 1974 และเกาะทั้งเกาะก็กลายเป็นเกาะร้างไปโดยปริยาย
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันได้มีนักท่องเที่ยวมากมายเดินทางมาที่เกาะเพื่อชมทิวทัศน์ที่ถูกทิ้งร้างดังกล่าว และในปี 2015 ที่นี่ก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกในฐานะ "แหล่งมรดกจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมญี่ปุ่นในยุคเมจิ: การถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกล้า การต่อเรือและการทำเหมืองถ่านหิน" และได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นซิกเนเจอร์ของนางาซากิไป
การเข้าชมเกาะกุนคังจิมะ
มีผู้ประกอบการที่ให้บริการเที่ยวชมเกาะกุนคังจิมะด้วยเรือสำราญอยู่หลายราย ซึ่งส่วนมากจะเดินทางออกจากท่าเรือในตัวเมืองนางาซากิ
และที่เราจะมาแนะนำในครั้งนี้ก็คือ ทัวร์ของ "Gunkanjima Concierge (軍艦島コンシェルジュ)" ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ประกอบการท้องถิ่น เรือสำราญของทัวร์นี้จะออกเดินทางจาก "Tokiwa Terminal (常盤ターミナル)" ที่อยู่ใกล้กับป้าย "Ourakaigan-dori (大浦海岸通)" ของรถราง Nagasaki Denki สาย 5 ทัวร์นี้จะวนรอบเกาะและขึ้นฝั่ง โดยระหว่างทางก็จะมีคนที่เคยอาศัยอยู่ในเกาะกุนคังจิมะมาบรรยายเรื่องราวต่างๆ ให้ฟังอย่างละเอียด ทัวร์นี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 45 นาที คุณจะได้ฟังเรื่องราวต่างๆ จากปากของผู้คนที่เคยอาศัยอยู่ในเกาะจริงๆ ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ของเกาะ ไปจนถึงสภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในสมัยนั้นซึ่งล้วนเป็นเรื่องที่หาฟังได้ยาก และในระหว่างการบรรยาย ก็จะมีเสียงภาษาอื่นๆ อย่างอังกฤษและเกาหลีช่วยรองรับไปด้วย ทำให้มีผู้เข้าร่วมทัวร์ที่เป็นชาวต่างชาติอยู่เป็นจำนวนมาก
ภาพของเกาะกุนคังจิมะที่ได้ขึ้นเกาะไปเห็นด้วยตาตัวเองนั้นช่างทรงพลัง และจะทำให้คุณขนลุกได้เลยทีเดียว นอกจากนี้ เกาะกุนคังจิมะยังเคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนต์อยู่เป็นครั้งคราวด้วย เช่น ภาพยนต์เรื่อง "007 Skyfall (2012)" และ "ATTACK ON TITAN (2015)"
วีดิโอด้านล่างนี้คือทิวทัศน์ของเกาะกุนคังจิมะที่ถ่ายโดยใช้โดรนติดกล้อง
"Gunkanjima Digital Museum (軍艦島デジタルミュージアム)" รู้จักเกาะกุนคังจิมะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ใกล้กับท่าเรือของทัวร์เป็นที่ตั้งของ "Gunkanjima Digital Museum" พิพิธภัณฑ์ที่บริหารโดย Gunkanjima Concierge เป็นสถานที่แนะนำสำหรับผู้ที่อยากรู้จักเกาะกุนคังจิมะให้มากยิ่งขึ้น ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้ นอกจากจะมีการบรรยายโดยพนักงานไกด์แล้ว คุณยังจะได้สัมผัสประสบการณ์เสมือนจริงด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลอย่าง VR และ Projection Mapping อีกด้วย และคำบรรยายเรื่องราวต่างๆ ในพิพิธภัณฑ์ก็มีหลายภาษา เช่น อังกฤษ จีน ฝรั่งเศส และเกาหลี รวมถึงมีการนำ Audiobook มาใช้ด้วย
หากคุณวางแผนที่จะเข้าร่วมทัวร์เรือเที่ยวชมเกาะกุนคังจิมะ เราก็ขอแนะนำให้ซื้อแบบเป็นเซตที่สามารถเข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ด้วย
・"Glover Garden (グラバー園)" ศูนย์รวมสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์นางาซากิ
ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 เป็นต้นไป นางาซากิได้เปิดรับผู้คนจากประเทศต่างๆ เพื่อประโยชน์ทางการค้า และในที่สุดก็มีย่านที่อยู่อาศัยสำหรับชาวต่างชาติเกิดขึ้น
ย่านดังกล่าวนี้ ส่วนใหญ่จะสร้างอยู่ในบริเวณที่เป็นเนินของตัวเมืองนางาซากิ หนึ่งในนั้นคือ "Glover Garden" ที่ไม่ว่าใครๆ ก็ควรไปชมให้ได้สักครั้ง ที่นี่เป็นสวนที่เรียงรายไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ตะวันตกที่สวยงามอย่างคฤหาสน์เก่าแก่ของ Thomas Blake Glover พ่อค้าชาวสก๊อตแลนด์, บ้านเก่าของ Frederick Ringer และบ้านเก่าของ William J. Alt
เดิมที เนินแห่งนี้มีแค่บ้านเหล่านี้อยู่เพียงอย่างเดียว แต่ในภายหลังได้มีการขนย้ายสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรมจากที่อื่นๆ ในนางาซากิเข้ามารวมไว้ด้วย และในปี 1974 ที่นี่ก็ได้เปิดให้ผู้คนเข้าชมเป็นครั้งแรกภายใต้ชื่อ Glover Garden ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีลักษณะคล้ายกับธีมปาร์คสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ และในฤดูใบไม้ผลิคุณก็จะได้เพลิดเพลินไปกับดอกไม้ที่สวยงามอย่างทิวลิปและกุหลาบ นอกจากนี้ วิวของอ่าวนางาซากิที่มองเห็นได้จากบนเนินก็ยังงดงามคุ้มค่าแก่การรับชมอีกด้วย
ในปี 2015 คฤหาสน์เก่าแก่ของ Glover ได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในฐานะ "แหล่งมรดกจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นในยุคเมจิ: การถลุงเหล็กและผลิตเหล็กกล้า การต่อเรือและการทำเหมืองถ่านหิน" ส่งผลให้ Glover Garden เป็นที่จับตามองมากขึ้นตามไปด้วย
เนื่องจากคฤหาสน์ของ Glover จะมีการปิดปรับปรุงตั้งแต่ปี 2019 ไปจนถึงช่วงฤดูใบไม้ผลิของปี 2021 เราเสียใจที่จะต้องบอกคุณว่าคุณอาจจะไม่ได้เข้าชมในส่วนนี้จนกว่าจะปรับปรุงจะแล้วเสร็จ อย่างไรก็ตาม สถาปัตยกรรมอื่นๆ อย่าง บ้านเก่าของ Ringer และ Alt จะยังเปิดให้เข้าชมได้ตามปกติ
・"สะพานเมกาเนะบาชิ (眼鏡橋)" สะพานโค้งแห่งแรกของญี่ปุ่น จุดถ่ายรูปยอดนิยม
"สะพานเมกาเนะบาชิ" เป็นสะพานที่ทอดข้ามแม่น้ำนาคาชิมะกาวะ (中島川) ที่ไหลผ่านเมืองนางาซากิ มีชื่อเสียงในฐานะสะพานหินทรงโค้งแห่งแรกของญี่ปุ่น และได้รับการระบุเป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่าของประเทศ
สะพานเมกาเนะบาชินั้น นอกจากจะถ่ายรูปสวยๆ ได้จากทางด้านหน้าแล้ว ภาพด้านข้างของมันที่สะท้อนอยู่บนแม่น้ำ ยังดูเหมือนแว่นตา (เมกาเนะ) สมชื่ออีกด้วย ด้วยเหตุนี้ มันจึงกลายเป็นสถานที่ที่ผู้คนมากมายนิยมถ่ายรูปไปลงโซเซียลกัน
นอกจากนี้ แม่น้ำนาคาชิมะกาวะยังเป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านจุดหลักๆ ของนางาซากิอย่าง เกาะเดจิมะ และ "นางาซากิไชน่าทาวน์ (長崎新地中華街)" อีกด้วย ดังนั้นการเดินเลียบแม่น้ำเพื่อมุ่งไปยังสะพานเมกาเนะบาชิจึงเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจไม่น้อย
เมื่อเร็วๆ นี้ "หินรูปหัวใจ (ハートストーン)" ที่ถูกฝังอยู่ในกำแพงกั้นแม่น้ำในบริเวณใกล้ๆ กับสะพานเมกาเนะบาชิหรือแม่น้ำนาคาชิมะกาวะ ได้กลายเป็นที่นิยมในฐานะพาวเวอร์สปอตด้านความรัก หากคุณได้มาเที่ยวนางาซากิกับคนรักแล้วล่ะก็ ขอแนะนำให้ลองมาเดินหาหินดังกล่าวนี้ดู
・"ออลันดาซากะ (オランダ坂)" สัมผัสบรรยากาศบ้านเมืองญี่ปุ่นที่ผสานกลิ่นอายตะวันตก
"ออลันดาซากะ" หรือ "เนินฮอลแลนด์" ตั้งอยู่ในย่านฮิกาชิยามาเตะ (東山手) ของเมืองนางาซากิ ซึ่งเป็นบริเวณย่านที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติในอดีต พื้นที่แถบนี้เรียงรายไปด้วยโรงเรียนสอนศาสนา โบสถ์ และสถานทูตของแต่ละประเทศ เป็นทิวทัศน์บ้านเมืองที่สัมผัสได้ถึงความเป็นต่างแดน และเนื่องจากพื้นที่แถบนี้เป็นเนินเขา มีทางลาดชันอยู่ค่อนข้างมาก ชาวญี่ปุ่นยุคนั้นจึงพากันเรียกเนินในบริเวณว่า "เนินฮอลแลนด์"
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงเป็น "เนินฮอลแลนด์" ทั้งๆ ที่เนินแห่งนี้ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับประเทศฮอลแลนด์เลย เหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ คือ เพราะเกาะเดจิมะในสมัยนั้นมีชาวฮอลแลนด์อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ชาวญี่ปุ่นเรียกคนเชื้อชาติอื่นๆ ที่ไม่ใช่คนเอเชียไปแบบรวมๆ ว่า "ชาวฮอลแลนด์" ทำให้เนินแห่งนี้ถูกเรียกในความหมายที่ว่า "เนินที่ชาวฮอลแลนด์ใช้สัญจรไปมา" นั่นเอง
・เรียนรู้เหตุการณ์ระเบิดปรมาณูและประวัติศาสตร์ในภายหลัง
พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (長崎原爆資料館)
วันที่ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945 เวลา 11:02 น.
หลังจากที่ระเบิดปรมาณถูกทิ้งลงในฮิโรชิม่าได้ 3 วัน ระเบิดปรมาณูอีกลูกหนึ่งก็ได้ถูกทิ้งลงในนางาซากิ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 150,000 ราย "พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ" เป็นสถานที่ที่จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับระเบิดปรมาณู ทั้งรายละเอียดของการทิ้งระเบิด สภาพอันน่าสลดใจของบ้านเมืองและผู้คน รายละเอียดการฟื้นฟูนางาซากิตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน รวมถึงการเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องสันติภาพที่ไร้ซึ่งอาวุธนิวเคลียร์ ที่นี่จึงเป็นสถานที่สำคัญที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มานางาซากิ
ในปัจจุบัน การโต้เถียงเกี่ยวกับพลังงานนิวเคลียร์จะยังคงมีอยู่ไม่ขาดสาย และการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ในพื้นที่ที่เกิดเหตุการณ์นี้ก็อาจทำให้คุณได้ลองคิดเกี่ยวกับความสงบสุขและพลังงานนิวเคลียร์ในมุมมองที่ลึกซึ้งขึ้นก็เป็นได้
นอกจากนี้ พิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิยังได้รับเลือกให้เป็นอันดับ 1 ของ "การจัดอันดับหอศิลป์และพิพิธภัณฑ์สถานประจำปี 2018 ที่คัดเลือกโดยผู้ชื่นชอบการท่องเที่ยว" ให้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บเอกสารคุณภาพสูงที่ได้รับคำชื่นชมจากทั้งในและนอกประเทศเลยทีเดียว
หอสันติภาพเพื่อระลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ (長崎原爆死没者追悼平和祈念館)
หอสันติภาพแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ระเบิดปรมาณู เป็นสัญลักษณ์เพื่อวิงวอนให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนสืบไป หอนี้ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกันกับพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ เป็นสถานที่ที่มีพื้นที่จัดแสดงอยู่ในชั้นใต้ดิน โดยมีธีมการจัดแสดงเป็น "วิงวอนเพื่อสันติภาพ รำลึกถึงผู้เสียชีวิต", "เอกสารเกี่ยวกับความเสียหายจากระเบิด การเก็บรวบรวมข้อมูลและการนำไปใช้" และ "ความร่วมมือในระดับประเทศเพื่อเยียวยารักษาเหยื่อระเบิด" ซึ่งเป็นเนื้อหาการจัดแสดงที่ค่อนข้างเน้นที่ตัวเหยื่อระเบิดมากกว่าการจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ระเบิดปรมาณูนางาซากิ
ในหอนี้คุณยังสามารถรับชมภาพถ่ายและสมุดไดอารี่ของผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้ได้อีกด้วย
สวนสันติภาพนางาซากิ (長崎平和公園)
สวนสันติภาพนางาซากิ ตั้งอยู่บนเนินยกสูงเล็กๆ บริเวณทางทิศเหนือของสวนสาธารณะที่เป็นจุดศูนย์กลางการระเบิด สวนแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นแทนคำปฏิญาณว่าจะไม่ยอมให้มีสงครามอันน่าสยดสยองนี้เกิดขึ้นได้อีก และยังสื่อถึงความหวังอย่างเต็มเปี่ยมที่จะให้เกิดสันติภาพขึ้นในโลกนี้อีกด้วย
บริเวณใกล้กับทางเข้าของสวนเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำที่ชื่อ "บ่อน้ำแห่งสันติภาพ (平和の泉)" ในขณะที่เกิดเหตุการณ์ทิ้งระเบิด เหยื่อระเบิดที่ถูกเผาไหม้ไปถึงอวัยวะภายในต่างพากันร้องตะโกน "ขอน้ำ ขอน้ำ" และล้มตายลง บ่อน้ำทรงกลมนี้จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อสวดส่งวิญญาณและมอบน้ำให้แก่เหล่าดวงวิญญาณที่น่าสงสารดังกล่าว ในขณะเดียวกันบ่อนี้ก็อัดแน่นไปด้วยความปรารถนาที่จะให้โลกนี้มีสันติภาพและปราศจากอาวุธนิวเคลียร์
ลึกเข้าไปในสวนแห่งนี้ยังมี "รูปปั้นเรียกร้องสันติภาพ (平和祈念像)" เป็นรูปทองสัมฤทธิ์หนัก 30 ตัน สูง 9.7 เมตร เป็นเหมือนสัญลักษณ์แสดงความปรารถนาในสันติภาพของชาวนางาซากิ โดยที่มือขวาที่ชี้นิ้วขึ้นฟ้าหมายถึง "ภัยอันตรายจากระเบิดปรมาณู" มือซ้ายที่ยื่นไปในระดับสายตามีหมายถึง "สันติภาพ" และตาที่ปิดลงหมายถึง "การสวดส่งวิญญาณให้แก่ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ทิ้งระเบิด"
・"จุดชมวิวอินาสะยามะ (稲佐山展望台)" 1 ใน 3 สุดยอดวิวยามค่ำคืนระดับโลก!
นางาซากิมีวิวยามค่ำคืนของย่านตัวเมืองและบริเวณอ่าวอันสวยงามซึ่งคุณสามารถรับชมได้จากบนภูเขา สิ่งหนึ่งที่คนไม่ค่อยทราบกัน คือ ในปี 2012 วิวกลางคืนของนางาซากิได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน "3 สุดยอดวิวตัวเมืองยามค่ำคืนของโลกยุคใหม่" เคียงคู่ไปกับฮ่องกงและโมนาโก (ใน "Night View Summit 2012 Nagasaki" ที่จัดขึ้นโดย "Yakei Convention Bureau")
และภายหลังในปี 2015 ที่นี่ก็ยังได้ไปอยู่ใน "3 สุดยอดวิวตัวเมืองยามค่ำคืนของญี่ปุ่นยุคใหม่" เช่นกัน หากมีโอกาสได้มานางาซากิแล้วล่ะก็ ไม่ควรพลาดที่จะแวะชมวิวยามค่ำคืนของที่นี่ดูสักครั้ง
"จุดชมวิวอินาสะยามะ" คือสถานที่ที่เราแนะนำสำหรับการรับชมวิวยามค่ำคืนของนางาซากิ จากสถานีฟุจิจินจะ (淵神社駅) ที่อยู่บนบริเวณตีนเขา คุณสามารถนั่ง "Nagasaki Ropeway (長崎ロープウェイ)" ไปถึงจุดชมวิวได้ภายใน 5 นาที
・เมนูท้องถิ่นที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มานางาซากิ
วัฒนธรรมอาหารของนางาซากิได้รับอิทธิพลมาจากอาหารจีนและตะวันตกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมนูอาหารจีนของนางาซากิที่ได้วิวัฒนาการขึ้นในรูปแบบที่ไม่เหมือนกับพื้นที่อื่นใดในญี่ปุ่น เมนูที่เป็นสัญลักษณ์ของอาหารจีนแบบนางาซากิอย่างนางาซากิจังปงและซาระอุด้ง ก็เป็นที่รู้จักไปทั่วญี่ปุ่นจนกล่าวได้ว่า เป็นเมนูที่ไม่ควรพลาดเมื่อได้มานางาซากิเลยทีเดียว
เราจะขอใช้พื้นที่ท้ายบทความนี้ เป็นพื้นที่แนะนำเมนูท้องถิ่นที่ห้ามพลาดของนางาซากิให้ทุกคนได้รู้จักกัน!
"นางาซากิจังปง (長崎ちゃんぽん)" สิ่งแรกที่ต้องลองเมื่อมาถึงนางาซากิ!
"นางาซากิจังปง" เมนูเส้นที่คุณ จิน เฮจุน (陳平順) ผู้ที่เดินทางจากมณฑลฝูเจี้ยน (ประเทศจีน) มายังนางาซากิในปี 1899 คิดค้นขึ้นเพื่อเสิร์ฟใน "ชิไคโร (四海樓)" ร้านอาหารที่เขาเป็นเจ้าของ ในสมัยนั้น คุณค่าทางโภชนาการของอาหารสำหรับนักเรียนจีนที่มาแลกเปลี่ยนนั้นค่อนข้างแย่ นางาซากิจังปงจึงถูกคิดขึ้นมาเพื่อเป็นเมนูราคาถูกที่เน้นปริมาณและเต็มไปด้วยคุณค่าสารอาหารสำหรับพวกเขา รสชาติของมันถูกปากและเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนมากมาย ในที่สุด เมนูนี้ก็ได้กระจายไปยังร้านอาหารจีนอื่นๆ ในเมืองนางาซากิ และได้กลายเป็นที่รู้จักในฐานะอาหารขึ้นชื่อของนางาซากิไป
นางาซากิจังปงมีรากฐานมาจากเมนูฝูเจี้ยนที่ชื่อ "ทงนิชิเมง (湯肉絲麺)" เมนูเส้นที่ประกอบด้วยซุปที่รับประทานง่ายลื่นคอ โปะด้วยเนื้อหมู เห็ดชีทาเกะ หน่อไม้ และต้นหอม นางาซากิจังปงเป็นเมนูที่นำทงนิชิเมงมาเป็นพื้น แล้วเพิ่มวัตถุดิบท้องถิ่นของนางาซากิอย่าง คามาโบโกะ ชิคุวะ ปลาหมึก หอยนางรม กุ้ง ถั่วงอก และกะหล่ำปลีลงไป
น้ำซุปได้มาจากการต้มกระดูกหมูและไก่ ดัดแปลงให้มีรสที่เข้มข้นขึ้นและมีสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้ ตัวเส้นที่ใส่ในนางาซากิจังปงก็มีเนื้อสัมผัสที่ไม่เหมือนใครด้วยเช่นกัน เส้นของจังปงนั้นเมื่อเทียบกับเส้นราเมงญี่ปุ่นทั่วไป จะมีลักษณะเหนียวนุ่มและยืดหยุ่นกว่า เส้นของราเมงทั่วไปจะทำขึ้นโดยผสม "คันซุย (かんすい โพแทสเซียมคาร์บอเนต)" ลงไปในแป้งในขั้นตอนการนวด ในขณะที่นางาซากิจัมปงจะใช้ "โทอาคุ (唐灰汁 โซเดียมคาร์บอเนต)" แทน และก็เป็นเพราะเจ้าสิ่งนี้เอง ที่ทำให้เส้นของจังปงมีรสสัมผัสที่เหนียวนุ่มไม่เหมือนใคร
*ร้านแนะนำสำหรับรับประทานางาซากิจังปง:
ชิไคโร (四海樓)
แม้ในปัจจุบัน นางาซากิจะมีร้านที่สามารถหานางาซากิจังปงรับประทานได้อยู่กว่า 1,000 ร้าน แต่ร้านที่เราอยากให้คุณลองแวะไปเป็นที่แรก คือ "ชิไคโร" ซึ่งเป็นร้านต้นกำเนิดของเมนูนี้ เนื่องจากรสของนางาซากิจังปงมักจะแตกต่างกันไปตามแต่ละร้าน จึงเป็นการดีที่สุด ที่จะมาทำความรู้จักกับรสชาติต้นตำรับไว้ก่อน
ชิไคโรเป็นร้านขนาดใหญ่ มีที่นั่งอยู่กว่า 100 ที่ บนชั้น 5 เป็นร้านอาหารที่คุณสามารถเห็นวิวท้องทะเลที่แผ่กว้างได้ นอกจากนี้ ที่ชั้น 2 ยังมี "Chanpon Museum (ちゃんぽんミュージアム)" ให้คุณได้เข้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ของนางาซากิจัมปงโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกด้วย
"ซาระอุด้ง (皿うどん)" นางาซากิจังปงแบบแห้ง?
"ซาระอุด้ง" หรือที่เรียกง่ายๆ คือ นางาซากิจังปงแบบไม่มีซุป เป็นเมนูที่คุณจิน เฮจุน แห่งร้านชิไคโรคิดค้นขึ้นมาเพื่อสร้างความหลากหลายให้กับนางาซากิจังปง วัตถุดิบที่ใส่ในซาระอุด้งนั้นเหมือนกันกับนางาซากิจังปงแทบทั้งหมด และทำขึ้นโดยใส่วัตถุดิบกับเส้นลงไปผัดกับซุปปริมาณน้อยๆ จนน้ำซุปแห้งหมด บางครั้งก็อาจปิดท้ายด้วยการราดซุปที่ละลายผงแป้งลงไปเพื่อเพิ่มความเข้มข้นด้วย กล่าวกันว่าการที่ไม่มีซุปนี้ ทำให้สะดวกต่อการขายแบบเดลิเวอรี่ตามสั่ง เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เมนูนี้เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง
แม้ตัวจะชื่อว่า "ซาระอุด้ง" แต่ก็เป็นเมนูที่ใช้เส้นราเมงชนิดเดียวกับนางาซากิจังปง ซาระอุด้งจึงไม่ใช่อุด้งแต่อย่างใด ในสมัยนั้น เมนูที่เสิร์ฟเส้นในจานที่ไม่มีน้ำซุปนั้นไม่ค่อยมีให้เห็นเท่าไร ประกอบกับรูปร่างหน้าตาของเส้นที่มองเผินๆ แล้วก็ดูคล้ายกับเส้นอุด้ง จึงทำให้มันถูกเรียกในชื่อนี้
ในบางครั้ง นอกจากเส้นจังปงแล้ว ยังมีการนำเส้นเรียวๆ ทอดกรอบมาทำเป็นซาระอุด้งอีกด้วย ซาระอุด้งแบบที่มีเส้นเหนียวนุ่มเรียกว่า "ยาวะเมง (柔麺)" หรือ "ฟุโตะเมง (太麺)" ส่วนเส้นกรอบจะเรียกว่า "คาตะเมง (硬麺)" หรือ "โฮโซะเมง (細麺)" ร้านอาหารจีนในนางาซากิไม่ว่าจะเป็นร้านไหนก็จะต้องมีนางาซากิจังปงและซาระอุด้งอยู่ในเมนูทั้งนั้น ในกรณีของซาระอุด้ง บางร้านอาจจะมีทั้งยาวะเมงและคาตะเมง หรือมีแค่แบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละร้าน
นอกจากนี้ ชาวนางาซากิยังนิยมรับประทานซาระอุด้งโดยราดซอสวูสเตอร์ลงไปด้วย เป็นวิธีการรับประทานที่แม้แต่คนญี่ปุ่นเองยังต้องตกใจ เนื่องจากในญี่ปุ่น อาหารลักษณะนี้ หากจะมีการเติมอะไรลงไปเพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับรสชาติก็มักจะใช้น้ำส้มสายชู แต่ในกรณีของซาระอุด้งที่มีรสหวานอ่อนๆ จากน้ำตาลนี้ รสชาติของมันจะเข้ากันได้ดีกับความเปรี้ยวของซอสวูสเตอร์เป็นอย่างมาก ทำให้คนท้องถิ่นนิยมรับประทานกันในลักษณะนี้
แม้ว่านางาซากิจังปงจะมีชื่อเสียงที่สุดในฐานะเมนูเด็ดของนางาซากิ แต่ซาระอุด้งเองก็เป็นอีกหนึ่งเมนูท้องถิ่นที่ควรรับประทานให้ได้เช่นกัน
*ร้านแนะนำสำหรับรับประทานซาระอุด้ง:
โคซังโร (江山楼)
"โคซังโร" ร้านอาหารจีนชื่อดังประจำนางาซากิไชน่าทาวน์ เป็นร้านยอดนิยมที่ได้รับคำชื่นชมจากเว็บไซต์รีวิวร้านอาหารของญี่ปุ่นอย่างไม่ขาดสาย ซาระอุด้งของที่นี่แบ่งเป็น 3 เกรดด้วยกัน ได้แก่ ซาระอุด้ง อุเอะซาระอุด้ง (上皿うどん) และโทคุโจซาระอุด้ง (特上皿うどん) มีทั้งเส้นแบบฟุโตะเมงและโฮโซะเมงให้เลือก (*ภาพด้านบนเป็นฟุโตะเมง)
โทคุโจซาระอุด้งมีราคา 1,500 เยน อาจจะดูสูงไปสักหน่อย แต่รับรองว่าคุณจะได้เพลิดเพลินไปกับสุดยอดรสชาติที่อัดแน่นไปด้วยอาหารทะเลของนางาซากิอย่างเต็มที่ ในย่านนางาซากิไชน่าทาวน์ร้านนี้มีอยู่ 2 สาขาด้วยกัน ได้แก่ สาขาหลัก และสาขาชินคัง (新館)
ชูกะ ไดฮาจิ (中華 大八)
"ชูกะ ไดฮาจิ" ร้านอาหารจีนในดวงใจของชาวนางาซากิ ตั้งอยู่ห่างจากสถานีนางาซากิในระยะเดินเพียง 5 นาที ที่นางาซากิ หากเป็นร้านเล็กๆ อย่างนี้ก็รับรองได้เลยว่าจะต้องมีนางาซากิจังปงและซาระอุด้งอยู่ในเมนูแน่นอน
ซาระอุด้งของที่นี่ราคา 850 เยน มีทั้งแบบฟุโตะเมงและโฮโซะเมงให้เลือกรับประทาน เป็นเมนูที่ทำให้ผู้ทานรู้สึกประทับใจได้ทุกครั้ง เนื่องจากมีเส้นปริมาณมากและอัง (あん ซอสข้น) รสชาติเข้มข้นที่อัดแน่นไปด้วยผัก รวมถึงรสชาติอาหารทะเลที่ยังมีอยู่เต็มจาน เรียกได้ว่า เป็นรสท้องถิ่นที่สมกับความเป็นนางาซากิสุดๆ ไปเลย และแม้ว่าทางร้านจะมีขนาดใหญ่พิเศษราคา 1,150 เยนให้สั่งอยู่ แต่แค่ขนาดธรรมดาก็มีปริมาณมากพอที่จะทำให้คนส่วนใหญ่อิ่มท้องกันได้แล้ว
"คาคุนิมันจู (角煮まんじゅう)" รสชาติเนื้อหมูที่เข้มข้น
ที่นางาซากิมีคอร์สอาหารอันเป็นเอกลักษณ์ เรียกว่า "ชิปโปกุเรียวริ (卓袱料理)" เป็นอาหารแบบคอร์สที่มักทำเสิร์ฟในงานเลี้ยง โดยผสมผสานอาหารสไตล์จีน ญี่ปุ่น และตะวันตกเข้าด้วยกัน หนึ่งในคอร์สดังกล่าวนี้เป็นเมนูหมูตุ๋นรสชาติเผ็ดอมหวานของนางาซากิ เรียกว่า "คาคุนิมันจู" เป็นเมนูที่นำหมูตุ๋นดังกล่าวมาประกบด้วยแป้งเพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน มองเผินๆ อาจดูเหมือน "นิคุมัง (肉まん ซาลาเปาไส้เนื้อ)" ที่ขายอยู่ตามร้านสะดวกซื้อทั่วไปของญี่ปุ่น แต่เจ้าสิ่งนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ที่แป้งซึ่งประกบทั้งบนและล่างของเนื้อหมูไว้ในลักษณะที่เหมือนแฮมเบอร์เกอร์ เป็นเมนูที่มีจำหน่ายทั้งในร้านอาหารจีน และตามร้านข้างทาง ซึ่งคุณสามารถเดินถือรับประทานได้
*ร้านแนะนำสำหรับรับประทานคาคุนิมันจู:
อิวาซากิฮนโปะ (岩崎本舗)
เมื่อพูดถึงต้นตำรับคาคุนิมันจูสไตล์นางาซากิ ก็ต้องนึกถึงร้าน "อิวาซากิฮนโปะ" ที่มักจะนำคาคุนิมันจูนึ่งเสร็จใหม่ๆ มาวางขายอยู่หน้าร้าน ราคาตกชิ้นละ 400 เยน ร้านนี้มีสาขาอยู่ 7 แห่งทั่วนางาซากิ ทั้งสาขานิชิฮามะโนะมาจิ (西浜町店) ที่อยู่บริเวณหน้านางาซากิไชน่าทาวน์ สาขาภายในสถานี JR นางาซากิ สาขาสนามบินนางาซากิ และสาขาหน้า Glover Garden เป็นต้น
"คัสเตลลา (カステラ)" ของฝากอันดับ 1 ของนางาซากิ
คัสเตลลา ขนมที่นำไข่ไก่ นมวัว น้ำตาล และส่วนผสมอื่นๆ ไปผสมกับแป้งสาลี แล้วนำไปอบในกระทะ มีจุดเด่นเป็นรสหวานอ่อนๆ และเนื้อสัมผัสที่นุ่มฟู คัสเตลลาเป็นขนมที่ชาวญี่ปุ่นชื่นชอบกันมากๆ ว่ากันว่าสูตรการทำคัสเตลลาได้รับการถ่ายทอดมาจากชาวโปรตุเกสที่เดินทางมานางาซากิในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15 - 16 ก่อนหน้านั้น ญี่ปุ่นยังไม่ค่อยมีอาหารที่ใช้น้ำตาลเป็นส่วนผสม แต่จากการติดต่อค้าขายกับชาวโปรตุเกสทำให้ญี่ปุ่นมีการนำเข้าน้ำตาลในปริมาณที่มากขึ้น จนในที่สุด ก็ได้มีการทำขนมอย่างคัสเตลลาไว้รับประทานกันทั่วไปจนเป็นเรื่องปกติ
ที่นางาซากิมีร้านคัสเตลลาเก่าแก่อยู่มากมาย ทุกร้านต่างก็เริ่มกิจการมาตั้งแต่ยุคนั้นและทำหน้าที่ผลิตคัสเตลลาที่มีรสชาติถูกปากชาวญี่ปุ่นมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ในปัจจุบัน ร้านเหล่านี้ต่างก็มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศญี่ปุ่น ถึงขนาดที่กล่าวกันว่า "หากพูดถึงของฝากจากนางาซากิแล้วล่ะก็ ต้องเป็นคัสเตลลาเท่านั้น"
*ร้านแนะนำสำหรับรับประทานคัสเตลลา:
โชโอเค็น (松翁軒)
"โชโอเค็น" เปิดกิจการขึ้นครั้งแรกในปี 1681 เป็นร้านคัสเตลลาเก่าแก่ชั้นแนวหน้าของนางาซากิ ผลิตคัสเตลลาด้วยความเอาใจใส่ทั้งในเรื่องของอัตราส่วนและคุณภาพของส่วนผสม ซึ่งประกอบไปด้วยแป้งสาลี ไข่ ซาราเมะ (ザラメ น้ำตาลเม็ดใหญ่) และมิสึอาเมะ (水飴 ไซรัปญี่ปุ่น) เป็นหลัก
นอกจากคัสเตลลาทั่วไปแล้ว ที่นี่ยังมีเมนูยอดนิยมเป็น "ช็อคโกลาเต้ (チョコラーテ)" ที่ผสมช็อคโกแลตลงไป และ "มัทฉะคัสเตลลา (抹茶カステラ)" ที่อัดแน่นไปด้วยรสชาติของชาเขียวมัทฉะอยู่ด้วย นอกจากสาขาหลักที่อยู่ข้างหอประชุมเมืองนางาซากิแล้ว โชโอเค็นยังมีสาขาอยู่ในนางาซากิทั้งสิ้น 5 แห่ง เช่น สาขา Amusement Plaza Nagasaki สาขาโออุระ และสาขาคันโคโดริ เป็นต้น
บนชั้น 2 ของสาขาหลักนี้มีคาเฟ่อยู่ด้านใน ซึ่งคุณสามารถเพลิดเพลินไปกับรสชาติของคัสเตลลาพร้อมจิบกาแฟหรือชาหอมๆ ได้อย่างไม่ต้องรีบร้อน
[ที่ตั้งของจังหวัดนางาซากิ และวิธีการเดินทาง]
<ที่ตั้งของจังหวัดนางาซากิ>
นางาซากิตั้งอยู่ในภูมิภาคคิวชูซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะญี่ปุ่น จังหวัดนางาซากิตั้งอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของภูมิภาค โดยมีส่วนหนึ่งเป็นเกาะเล็กๆ ที่กระจายตัวอยู่ในทะเลบริเวณใกล้เคียง พื้นที่ของจังหวัดนางาซากิถูกล้อมด้วยภูเขาและทะเล ทำให้สภาพอากาศตลอดทั้งปีมีอุณหภูมิเฉลี่ยที่ไม่แตกต่างกันเท่าไร เรียกได้ว่า มีสภาพภูมิอากาศที่อยู่ง่ายและเหมาะแก่การพักอาศัย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของญี่ปุ่น
ในส่วนของตัวเมือง นางาซากิไม่ค่อยมีวันที่ร้อนจัดจนอุณหภูมิสูงถึง 35 องศาเซลเซียส และในฤดูหนาวก็จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4 องศาเซลเซียสเท่านั้น จึงเป็นพื้นที่ที่ไม่ค่อยมีหิมะตกด้วยเช่นกัน
<วิธีการเดินทาง>
คุณสามารถนั่งเครื่องบินตรงจากโตเกียวหรือโอซาก้ามาลงที่สนามบินนางาซากิได้เลย (ประเทศแถบเอเชียบางส่วนอาจมีเที่ยวบินตรงมาลงที่นี่ด้วย) หรืออีกวิธีหนึ่ง คือ นั่งรถไฟหรือรถบัสผ่านจังหวัดฟุกุโอกะมายังนางาซากิ ในระยะหลังนี้ มีนักท่องเที่ยวจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเที่ยวนางาซากิไปพร้อมๆ กับฟุกุโอกะและบริเวณตอนเหนือของภูมิภาคคิวชู (เช่น เมืองคิตะคิวชูและจังหวัดชิกะ)
● กรณีที่เดินทางด้วยเครื่องบิน
・ จากโตเกียว
จากสนามบินฮาเนดะประมาณ 2 ชั่วโมง (สายการบิน JAL / ANA / Solaseed Air)
จากสนามบินนาริตะประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที (สายการบิน Jetstar)
・ จากโอซาก้า
จากสนามบินนานาชาติคันไซประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที (สายการบิน peach)
จากสนามบินอิตามิประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที (สายการบิน JAL / ANA)
・ จากต่างประเทศ
จีน (เซี่ยงไฮ้), เกาหลี (โซล), และฮ่องกง มีบริการสายการบินนานาชาติเที่ยวบินตรงมายังนางาซากิ
● กรณีที่ใช้บริการการเดินทางรูปแบบอื่น
・ จากฟุกุโอกะ
รถไฟ: JR "Limited Express Kamome" จากสถานี Hakata - Nagasaki ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เที่ยวละ 4,270 เยน
รถบัสความเร็วสูง: "Kyushu-go" จาก Hakata Terminal (Hakata Ekimae) - Nagasaki (Nagasaki Ekimae) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง 30 นาที ราคาเที่ยวละ 2,620 เยน
และทั้งหมดนี้ก็คือ สถานที่และเรื่องราวน่าสนใจต่างๆ ของนางาซากิที่เราได้คัดเลือกมานำเสนอ ตั้งแต่พิพิธภัณฑ์และสิ่งก่อสร้างที่มีคุณค่าและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ ไปจนถึงเมนูอาหารชื่อดังประจำจังหวัด เป็นอย่างไรคะ มีอะไรถูกใจคุณบ้างไหม?
แค่ในตัวเมืองนางาซากิเพียงอย่างเดียว ก็อาจต้องใช้เวลาเที่ยวถึง 2 - 3 วันเพื่อจะได้เพลิดเพลินไปกับสิ่งต่างๆ อย่างเต็มที่แล้ว นอกจากนี้ นอกตัวเมืองนางาซากิยังมีสิ่งน่าสนใจที่เรายังไม่ได้นำเสนออยู่อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น "Huis Ten Bosch (ハウステンボス)" ธีมปาร์คที่จำลองเมืองแบบฮอลแลนด์ขึ้นมา "ซาเซโบะ (佐世保)" เมืองอู่ต่อเรือที่เต็มไปด้วยรีสอร์ทริมทะเล และ "สึชิมะ (対馬)" เกาะโดดเดี่ยวที่สุดขอบชายแดน ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะขุมสมบัติแห่งทัศนียภาพอันงดงามด้วย
หากมีโอกาสได้มาเที่ยวนางาซากิแล้วล่ะก็ ลองนำบทความนี้ไปเป็นผู้ช่วยในการวางแพลนเที่ยวของคุณดูสิ!
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่