แนะนำที่เที่ยวย่านรัคคุไซ ธรรมชาติอันงดงามแห่งเกียวโตฝั่งตะวันตก
บทความนี้จะพาคุณไปชมขุมทรัพย์ธรรมชาติแห่งเกียวโตในฝั่งตะวันตกหรือที่เรียกกันว่าย่านรัคคุไซ (Rakusai) ซึ่งมีอาณาเขตยาวไปถึงพื้นที่เกษตรกรรมของเขตโอฮาราโนะ และยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ในบริเวณนี้ยังมีวัดและศาลเจ้าสวยงามซึ่งอยู่ห่างจากใจกลางเมืองเกียวโตไม่ไกลนักและยังไม่เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยว จึงยังคงความสงบและสวยงามตามธรรมชาติไว้ เช่น วัดโยชิมิเนะ หนึ่งในวัดที่ซ่อนตัวอยู่ในสายหมอก อุดมด้วยธรรมชาติอันสมบูรณ์พร้อมทั้งความสวยงามที่แตกต่างกันไปในแต่ละฤดูกาลต้อนรับผู้มาเยือนตลอดทั้งปี
ความอุดมสมบูรณ์รอบนอกตัวเมือง
สถานที่ท่องเที่ยวในพื้นที่ทางตะวันตกของเมืองเกียวโตหรือที่เรียกกันว่ารัคคุไซ (Rakusai) ที่เราจะพาไปเที่ยวในครั้งนี้คือภูเขาที่สามารถมองเห็นใจกลางเมืองเกียวโตได้
พื้นที่บริเวณนี้ถือเป็นเขตปกครองของเกียวโต ทางตะวันตกเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเฉพาะวัดวาอารามซึ่งจะงดงามมากเป็นพิเศษในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูใบไม้ผลิ และหากมาเยือนที่นี่ในช่วงเดือนกันยายน ก็จะได้พบกับดอกทานตะวันหลากหลายสายพันธุ์ที่แข่งกันเบ่งบานนอกฤดูกาลอีกด้วย
ขอแนะนำเทศกาลฟูจิบากามะ (Fuji-bakama Festival) ในช่วงปลายเดือนกันยายน คุณจะได้พบทุ่งดอกไม้ที่เหมือนถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดหิมะสีชมพู (Eupatorium fortunei หรือ ต้นสันพร้าหอม) ไม้ดอกที่มีกลิ่นหอม นิยมนำมาใช้ปรุงยาในยาแผนตะวันออก ค่อนข้างหาได้ยากในป่า
ที่โอฮาราโนะ กลิ่นหอมของเกล็ดหิมะสีชมพูที่ล่องลอยเป็นที่ดึงดูดเหล่าผีเสื้อลายเสือตาลแดง (chestnut tiger butterflies) อย่างมาก ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ในช่วงเดือนกันยายนเลยก็ว่าได้
ต่อไปจะขอเดินทางผ่านทุ่งดอกไม้เข้าไปสัมผัสความงดงามของย่านรัคคุไซที่วัดโยชิมิเนะ(Yoshimine-dera) ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในภูเขา
สำหรับการเดินทางไปยังวัดโยชิมิเนะ จะเดินทางด้วยรถไฟและต่อรถบัส โดยสามารถเลือกเดินทางได้จากทั้งรถไฟสาย JR จากสถานีเกียวโตถึงสถานี Mukomachi ใช้เวลาประมาณ 7 นาที หรือรถไฟสาย Hankyu จากใจกลางเมืองเกียวโตถึงสถานี Higashimuko โดยใช้เวลาประมาณ 20 นาที จากนั้นต่อรถบัส Hankyu Bus หมายเลข 66 ไปยังปลายทางโดยใช้เวลาประมาณ 30 นาที
สู่ความงามที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ
เมื่อออกเดินทางต่อด้วยรถบัสของ Hankyu Bus เส้นทางรถวิ่งจะผ่านเขตชานเมืองของเกียวโต เราจะเห็นบ้านเรือนและไร่นาเรียงรายเป็นระยะๆ ซึ่งในฤดูร้อนไร่นาเหล่านี้จะเป็นสีเขียวขจี และเปลี่ยนเป็นเป็นสีน้ำตาลฟางข้าวพร้อมกับต้นข้าวที่ปลิวลู่ไปตามลม เมื่อเข้าฤดูหนาวบริเวณนี้จะถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน เป็นทิวทัศน์ที่สวยงามแตกต่างกันไปตามฤดูกาลนั่นเอง
การไปเยือนในครั้งนี้เป็นช่วงผลัดเปลี่ยนเข้าสู่ฤดูร้อนหรือก็คือช่วงหน้าฝนของญี่ปุ่น เมื่อลงจากป้ายรถบัสแล้วจะมีทางเดินขึ้นเขา ตลอดทางเดินรายล้อมไปด้วยป่าและอากาศเย็นสดชื่น ระหว่างทางเดินจะมองเห็นน้ำตกเล็กๆ และเมื่อผ่านไปอีกระยะก็จะเจอกับสะพานแคบๆ ที่จะนำไปสู่ทางเข้าวัดโยชิมิเนะ
ก่อนถึงประตูวัดและจุดจำหน่ายบัตรเข้า ก็จะต้องเดินขึ้นเนินผ่านใบไม้ที่นอนเรียงรายบนทางเดินมากมาย และเราขอรับประกันเลยว่าสิ่งที่กำลังจะได้เห็นนั้นจะทำให้คุณประทับใจอย่างแน่นอน
ความงามที่ไม่อาจละสายตา
ตำแหน่งที่ตั้งของประตูทางเข้าวัดโยชิมิเนะที่รายล้อมไปด้วยต้นไม้ต่างฤดูสร้างบรรยากาศที่แตกต่างในแต่ละฤดูกาล คู่กับทางเข้าที่โครงสร้างทำจากไม้สีเข้มซึ่งถูกทาทับด้วยสีขาวเสริมให้ทัศนียภาพสวยงามยิ่งขึ้น และเมื่อก้าวเท้าผ่านประตูนี้เข้าไป ที่ปลายทางจะเป็นที่ตั้งของโถงหลักใหญ่ของวัด
บางคนอาจจะรู้จักอุโมงค์โทริอิของศาลเจ้าฟูชิมิอินาริที่อยู่ใจกลางของเกียวโตจากการปรากฏในภาพยนตร์เรื่อง Memories of Geisha ปี 2005 ในฉากที่ จิโยะ ตัวเอกของเรื่องได้วิ่งผ่านอุโมงค์โทริอิเพื่อขึ้นไปขอพรบนยอดเขา แต่ในความเป็นจริงแล้วฉากนี้ไม่ได้ถ่ายทำที่ศาลเจ้าฟูชิมิอินาริ หากแต่เป็นที่วัดโยชิมิเนะแห่งนี้ต่างหาก
บริเวณรอบวัดค่อนข้างกว้าง มีบรรยากาศเนินเขาที่คดเคี้ยว เและปกคลุมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจี ด้วยความที่มีลักษณะทางเดินที่คดเคี้ยวทำให้ทัศนียภาพที่มองเห็นจะแตกต่างไปในแต่ละมุมและมองเห็นทิวทัศน์ใหม่ๆ ตลอดเส้นทาง
หากอากาศแจ่มใส นอกจากจะสามารถมองเห็นทิวทัศน์รอบๆ ของเขตโอฮาระได้แล้ว ก็ยังสามารถมองเห็นภาพมุมกว้างของเมืองเกียวโตได้แบบไม่มีอะไรบดบัง และเพราะเกียวโตไม่ใช่เมืองที่มีตึกสูงมากมายดังนั้นคุณจะสามารถมองเห็นเกียวโตทาวเวอร์ที่ตั้งตระหง่านได้อย่างชัดเจนอีกด้วย
มรดกอันงดงามจากอดีต
วัดโยชิมิเนะแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อพันกว่าปีที่แล้ว ในช่วงปี ค.ศ. 1029 โดยพระนิกายเท็นไดนามว่าเก็นซัน หากแต่ตัวอาคารดั้งเดิมของวัดได้เสียหายไปเป็นจำนวนมากในเหตุการณ์ไฟไหม้ และถูกสร้างขึ้นใหม่ในช่วงปี ค.ศ 1600 โดยจะสามารถเห็นได้ถึงเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในศตวรรษที่ 15 จากกรอบหน้าต่างที่มีลักษณะเหมือนเปลวไฟหรือกลีบดอกไม้
ที่นี่ยังมีอนุสรณ์ทางธรรมชาติมากมาย เป็นความงามที่สะกดสายตาต่อผู้ที่ได้เห็น หนึ่งในนั้นคือ "ต้นสนมังกร" หรือ "Yoryu no Matsu" ที่มีอายุกว่า 600 ปี กิ่งก้านของสนต้นนี้ไม่ได้สูงใหญ่อย่างต้นไม้ต้นอื่น แต่กลับทอดกิ่งก้านในแนวระนาบยาวหลายสิบเมตร ลักษณะเหมือนตัวมังกรที่คดเคี้ยว โดยต้นสนขาวญี่ปุ่นสายพันธุ์นี้ ถือเป็นพันธุ์หายากที่เติบโตในแนวระนาบ มีลักษณะใบที่หนาและหนุ่มปกคลุมเป็นพุ่มๆ
ว่ากันว่า "ต้นสนมังกร" ต้นนี้แต่เดิมเคยมีความยาวกว่า 50 เมตร แต่มีการตัดแต่งออกไปจึงเหลือเพียง 37 เมตรนั่นเอง แต่ถึงกระนั้นก็ยังได้รับการยอมรับให้ถือเป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติของญี่ปุ่นเลยทีเดียว
เสน่ห์ของธรรมชาติผ่านฤดูกาล
วัดโยชิมิเนะ ถือเป็นความงามที่ซ่อนเร้นของเกียวโตเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นฤดูใบไม้ร่วง ด้วยมนต์เสน่ห์ของสีแดงเหลืองที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและฤดูใบไม้ผลิ ที่เต็มไปด้วยต้นซากุระสีชมพูขาวแสนสดใส ซึ่งจะทำให้คุณไม่อาจละสายตาจากทิวทัศน์เหล่านี้ไปเลยก็เป็นได้
นอกจากนี้ หนึ่งในต้นซากุระที่ตั้งสูงตระหง่านนั้นมีอายุเกือบ 300 ปีและยังคงแผ่กิ่งก้านอย่างแข็งแรงและสวยงามอยู่ ณ ที่แห่งนี้ด้วย
หากมาเที่ยวชมในช่วงฤดูร้อน ก็จะได้พบกับความงามของดอกไฮเดรนเยียกว่า 8,000 ดอกที่แข่งกันเบ่งบานต้อนรับผู้มาเยือน ฤดูที่ดอกไฮเดรนเยียจะบานเต็มที่จะเป็นช่วงเยื้องๆ เข้าหน้าฝน ซึ่งอาจจะเป็นอุปสรรคสำหรับนักท่องเที่ยวอยู่บ้าง แต่ความลงตัวของหมอกบางๆ บนภูเขาพร้อมกับละอองฝนบนกลีบดอกไฮเดรนเยียนั้นทำให้บรรยากาศโดยรอบงดงามและน่าหลงใหลเป็นที่สุด ถือเป็นอีกหนึ่งความงามในฤดูร้อนของวัดแห่งนี้ ที่คุ้มต่อการไปเยือนสุดๆ แม้จะมีฝนตกก็ตาม
เช่นเดียวกับพื้นที่ส่วนใหญ่ในย่านรัคคุไซ ภูเขาแห่งนี้ตั้งตระหง่าน อยู่คู่กับประวัติศาสตร์อันยาวนานของเกียวโต ทั้งยังเต็มไปด้วยธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เราจึงอยากให้คุณลองก้าวเท้าออกจากใจกลางเมือง และมาสัมผัสกับอากาศบริสุทธิ์ที่โอบล้อมไปด้วยธรรมชาติของเกียวโตที่นี่ดูสักครั้ง
ข้อมูลเพิ่มเติมสำหรับสถานที่ในบทความนี้
วัดโยชิมิเนะ (ภาษาญี่ปุ่น)
ทัวร์เที่ยวย่านรัคคุไซแห่งเกียวโต
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่