รีวิวจัดเต็ม! : Shibuya Sky @Shibuya Scramble Square แลนด์มาร์คใหม่ในชิบูย่า โตเกียว
แลนด์มาร์คใหม่ของโตเกียวได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นก็คือตึก Shibuya Scramble Square ที่ชิบูย่า เปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 พฤษจิกายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตึกใหม่ที่ทันสมัย แถมยังให้คุณขึ้นไปที่ดาดฟ้า Shibuya Sky ชั้น 47 ชมวิวสุดตระการตา สัมผัสบรรยากาศโตเกียวและชิบูย่าในรูปแบบใหม่ รับรองว่าจะทำให้คุณลืมบรรยากาศเก่าๆ ไปเลย
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
วันนี้ tsunagu Japan จะพาทุกท่านไปสัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ ของโตเกียว ซึ่งไม่ต้องเดินทางไกลไปที่ไหน อยู่ที่ "ชิบูย่า" นี่เอง แถมยังไม่ค่อยมีคนมาอีกด้วย (ตอนนี้นะ) นั่นก็คือ Shibuya Sky (ชิบูย่า สกาย) ทึ่ตึกเปิดใหม่ Shibuya Scramble Square (ชิบูย่า สแกมเบิ้ล สแควร์) ซึ่งถือว่าเป็นแลนด์มาร์คใหม่ของโตเกียวเลยก็ว่าได้ พึ่งเปิดให้บริการเมื่อวันที่ 1 พฤษจิกายน 2562 ที่ผ่านมา จะมีบรรยากาศเป็นอย่างไรก็ตามมาดูกันได้เลย
การเดินทางมา Shibuya Scramble Square นั้นง่ายมาก อยู่ติดกับสถานีชิบูย่าเลย เมื่อเดินออกมาด้านนอกสถานี JR ก็สามารถมองเห็นตึกได้ชัดเจน เพราะเป็นตึกที่สูงที่สุดในชิบูย่าด้วยความสูงกว่า 230 เมตร (47 ชั้น) ซึ่งทำให้ตึก Hikarie (ฮิคาริเอะ) ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามดูเล็กลงไปทันตา
ภายในตึกจะแบ่งออกเป็นโซนๆ ได้แก่ ชั้น B2 ถึง ชั้น 14 จะเป็นส่วนของ ร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ ต่างๆ มากมาย ส่วนชั้น 17 - 45 จะเป็นส่วนของออฟฟิศ และในส่วนไฮไลท์ของที่นี่ก็คือ ชั้น 45 ขึ้นไปจนถึงดาดฟ้า จะเรียกว่า Shibuya Sky ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของเราในวันนี้นี่เอง!
เมื่อเดินมาถึงตึกก็ถึงกับชะงักไปพักใหญ่เมื่อได้แหงนมองขึ้นไปด้านบนของตึก เป็นมุมที่ชวนให้มึนงงแต่ก็ตระการตา เหมือนกับว่าเรากำลังมองธรรมชาติอยู่ไม่มีผิด ด้านซ้ายของตึกเป็นชายฝั่งริมน้ำ และด้านขวาของตึกที่ทอดยาวขึ้นไปนั้นราวกับแม่น้ำที่มีการไหลวนอยู่ตลอดเวลา สวยจนอดใจไม่ไหว ต้องชักภาพกันสักหน่อย
จากนั้นเราไม่รอช้า มุ่งไปที่เป้าหมายหลักของเรา "Shibuya Sky" ในทันที ทางขึ้นก็หาไม่ยากเลย มีลิฟต์เฉพาะแยกออกมาสำหรับขึ้นไปข้างบนโดยเฉพาะ โดยทางขึ้นจะอยู่ที่ชั้น 2 (ขึ้นบันไดเลื่อนจากด้านซ้ายของหน้าห้าง) เมื่อขึ้นบันไดเลื่อนไปแล้วลิฟต์จะอยู่ด้านหน้าเห็นได้ชัดเจน และจะมีพนักงานยืนให้บริการต้อนรับอยู่ โดยลิฟต์นี้จะตรงขึ้นไปสู่ชั้นที่ 14 ซึ่งเป็นชั้นล็อบบี้ของ Shibuya Sky นั่นเอง
เมื่อออกจากลิฟต์ที่มาล็อบบี้ ก็จะเจอพนักงานที่คอยบริการเราตั้งแต่เราออกจากลิฟต์ ถ้าเราไม่ได้จองซื้อตั๋วมาก่อนก็ต้องไปซื้อหน้างาน ผู้ใหญ่ 1800 เยน, เด็กโต 1400 เยน, เด็กประถม 900 เยน และ ทารก 500 เยน ซึ่งจะมีเคาท์เตอร์ให้บริการอยู่ แต่หากเราจองตั๋ว Shibuya Sky ผ่าน Klook ออนไลน์มาล่วงหน้าแล้ว (จองง่ายมากกดที่ลิ้งก์ได้เลย) ก็สามารถเข้าไปต่อคิวที่แถวที่เป็นแถวในช่วงเวลาที่เราทำการจองมาได้เลย (เวลาในการขึ้นจะแบ่งเป็นช่วงๆ เช่น 11:00-11:20 น., 11:20-11:40 น. แต่สามารถอยู่ข้างบนได้ไม่จำกัดเวลานะ)
ปล. ตอนนี้มีตั๋ว Shibuya Sky รายปี จำหน่ายแล้ว ราคา 5400 เยน (สามารถขึ้นด้านบนกี่ครั้งก็ได้ตลอดปี) พร้อมกับส่วนลดและสิทธิต่างๆ มากมาย
กรณีที่เราจองผ่านทางเว็บไซต์ เราจะได้รับอีเมลที่มี QR Code เป็นเหมือนบัตรเข้าชมนั่นเอง เมื่อถึงคิวของเราก็เปิดอีเมลแล้วนำโค้ดไปแสกนตรงทางเข้าได้เลย จากนั้นก็ถึงเวลาที่เรารอคอย!! ขึ้นไปที่ Shibuya Sky กันเลยดีกว่า ลิฟต์ที่ขึ้นมาด้านบนเป็นลิฟต์ความเร็วสูง และมีสกรีนหน้าจอบนผนังลิฟต์ด้านบนที่จะแสดงวิดีโอให้เหมือนกับว่าเรากำลังเดินทางข้ามมิติกันเลยทีเดียว
เมื่อขึ้นมาถึงด้านบน พนักงานจะให้เรานำของไปฝากที่ล็อกเกอร์ก่อน (ล็อกเกอร์ต้องหยอดเหรียญ 100 เยน เพื่อทำการล็อกและจะได้คืนตอนนำของออก) เนื่องจากสิ่งที่เราจะสามารถนำออกไปด้านนอกได้นั้นมีแค่สิ่งของที่สามารถเก็บในกระเป๋ากางเกงหรือเสื้อได้เท่านั้น หมวกหรือกล้องต้องมีสายคล้อง (ใครตั้งใจจะเอาขาตั้งกล้องหรือไม้เซลฟี่ไป ต้องเสียใจด้วยนะ กระเป๋ากล้องก็ห้ามนะ) ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อความปลอดภัยของเราและคนรอบข้างนั่นเอง ซึ่งล็อกเกอร์ที่นี่มีให้บริการมากถึง 484 ตู้ รับรองว่าไม่มีเต็มแน่นอน
เมื่อเก็บของเตรียมตัวเรียบร้อยก็ได้เวลาไปลุยกันแล้ว!
เมื่อออกมาจากประตูเราจะอยู่ที่ชั้นก่อนดาดฟ้า ซึ่งชั้นนี้จะเป็นโอเพ่นแอร์แต่จะมีกระจกอยู่รอบด้าน จะเดินชมบรรยากาศ ถ่ายรูปเล่นในชั้นนี้ก่อนก็ได้ แต่หากใครต้องการขึ้นไปที่ด้านบนเลยก็สามารถขึ้นบันไดเลื่อนทางด้านขวาของประตูไปได้เลย
เมื่อขึ้นมาที่ดาดฟ้าชั้นบนสุดของ Shibuya Sky ก็จะพบกับพื้นที่โล่งอันกว้างขวาง ชมวิวเมืองโตเกียวสุดตระการตาได้แบบ 360 องศา ซึ่งจะแบ่งโซนเป็นส่วนๆ ได้อย่างดี และยิ่งไปกว่านั้นยังมีจุดน่าสนใจที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด! ซึ่งจะมีอะไรบ้างนั้นมาชมกันต่อเลยดีกว่า
ฝั่งโซฟา โดยในส่วนนี้จะมีโซฟาเรียงรายเป็นแถวยาวให้เราได้นั่งเพลิดเพลินไปกับบรรยากาศเมืองโตเกียว มองออกไปเห็นตึกรามบ้านช่องไกลจนสุดลูกหูลูกตา โดยด้านนี้จะเห็น Tokyo Tower (โตเกียวทาวเวอร์) และ Tokyo Sky Tree (โตเกียวสกายทรี) ด้วยนะ ที่สำคัญโซฟานิ่มมากถึงกับอยากจะเอนตัวลงนอนกันเลยทีเดียว หรือจะถ่ายภาพเก๋ๆ แบบนี้ก็ได้ (ลอกได้ไม่ว่ากัน)
เมื่อเดินเลยโซนโซฟามาก็จะเจอกับโซนที่มีโต๊ะให้จับกลุ่มพูดคุยกันได้ หรือจะถ่ายรูปก็ได้มุมที่ดีไม่แพ้กัน (มุมสะท้อนในกระจกทำให้ดูเหมือนอยู่ในโลก upside down เลยทีเดียว)
ยิ่งไปกว่านั้น นี่แหละทีเด็ด! เพียงเดินเลยโซนโต๊ะมาเพียงนิดเดียวเราจะเจอกับกระจกเงาบานใหญ่ 2 บาน ที่เมื่อได้ถ่ายรูปตรงนี้แล้วล่ะก็ใครเห็นก็ต้องงงกันเป็นแน่ว่าถ่ายได้ยังไง (ถ่ายสะท้อนกับกระจก) เรียกได้ว่าสามารถถ่ายรูปตัวเองได้โดยไม่ต้องเซลฟี่นั่นเอง
ต่อไปคือโซนตรงกลาง ซึ่งมีที่นั่งเป็นขั้นบันไดให้นั่งพักผ่อนกันได้ และนอกจากนั้นยังมีตาข่ายแผงใหญ่ให้นั่งๆ นอนๆ ถ่ายรูปเก๋ๆ กันได้อีกด้วย แต่ถ้าคนเยอะก็อาจจะต้องรอกันนิดนึงนะ (บางคนนอนจริงจังก็มี)
ชั้นดาดฟ้านี้จะมีบางส่วนที่เราสามารถถ่ายรูปวิวรอบๆ ได้โดยที่ไม่มีกระจกบังอยู่เลย! แต่ในส่วนนี้ต้องใช้ความระวังกันหน่อยนะ ถ้ามีอะไรตกหล่นลงไปล่ะก็ไม่น่าจะได้คืน โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ แต่อย่างไรก็ตามทุกโซนของดาดฟ้าจะมีพนักงานคอยรักษาความปลอดภัยและคอยให้บริการอยู่ตลอดเวลา มีข้อสงสัยหรืออยากให้พนักงานถ่ายรูปให้ก็สามารถเข้าไปทักได้เลย
ต่อมาก็คือ มุมที่ถือว่าเป็นไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ใครมาก็ต้องมาแชะภาพกันอย่างแน่นอน ก็คือมุมสามเหลี่ยมแคบที่จะทำให้คุณซึมซับกับบรรกาศความสูง 229 เมตร ได้เต็มๆ (กระจกที่กั้น สูงประมาณ 150 เซนติเมตรเท่านั้น) แนะนำว่าถ้าคนกลัวความสูงห้ามมองลงไปด้านล่างเด็ดขาด เสียวเกินจะบรรยายเลยล่ะ
อย่ารอช้าชักภาพกันสักหน่อย ก็จะได้มุมชิกส์ๆ แบบภาพด้านบนนี้ (แนะนำให้ใช้เลนส์มุมกว้างจะได้เก็บภาพได้หมด)
แต่กว่าจะได้ภาพสวยๆ แบบนี้ ก็ต้องยืนต่อคิวกันสักหน่อย แต่ก็ใช้เวลาไม่นานอย่างที่คิด ส่วนถ้าใครไปคนเดียวก็สามารถให้พนักงานถ่ายรูปให้ได้เช่นกัน เตรียมท่าโพสกันไว้ให้ดีดีล่ะ
ต่อมาเป็นมุมที่ห้ามพลาดเช่นกัน นั่นก็คือ 5 แยกชิบูย่า จากมุมด้านบนความสูง 229 เมตร ส่วนมากเวลาจะไปถ่าย 5 แยกมักจะถ่ายจาก Tsutaya ลงมากันใช่ไหมล่ะ ซึ่งนี่แหละจะเปลี่ยนภาพชิบูย่าที่คุณรู้จัก แนะนำให้ใช้เลนส์ซูมกันสักหน่อย เพราะมองจากด้านบนจะเล็กมากๆ ทางเราก็ไม่ได้นำเลนส์ซูมเยอะๆ ไปด้วย จึงได้ภาพมาประมาณนี้
ถ้าเก็บมุมเด็ดๆ ได้ครบแล้วก็สามารถพักผ่อนกินบรรยากาศกันได้เรื่อยๆ จนกว่าจะพอใจ ในส่วนของตรงกลางซึ่งเป็นลานเฮลิคอปเตอร์ก็สวยงามไม่แพ้กัน (ในกรณีที่มีเฮลิคอปเตอร์ลงจอดต้องทำการอพยพลงด้านล่างชั่วคราว)
พนักงานบอกว่า ที่นี่จะมองเห็นภูเขาไฟฟูจิได้อย่างชัดเจนหากอากาศดี และหมอกไม่ลง (วันที่ทางเราไปอากาศดีมาก แต่ที่ฟูจิมีหมอกลง) โดยแนะนำให้มาวันที่อากาศดีและเป็นช่วงเช้าจะมีโอกาสเห็นภูเขาไฟฟูจิมากที่สุด
หลังจากดื่มด่ำกับบรรยากาศอย่างหนำใจแล้วก็ได้เวลาบอกลา บริเวณทางออกก็แน่นอนว่าต้องมีของฝากที่มีขายเฉพาะที่ Shibuya Sky เท่านั้น ซึ่งของฝากนั้นมีหลากหลายชนิดไม่ว่าจะเป็น เสื้อผ้า ถุงผ้า ตุ๊กตา และขนมต่างๆ โดยที่เราเห็นว่าน่าสนใจและสุดคาวาอี้ก็น่าจะเป็น ช็อกโกแลตรูปสุนัข "ฮาจิโกะ" หนึ่งในแลนด์มาร์คโด่งดังของชิบูย่านั่นเอง
เมื่อลงบันไดเลื่อนมา 1 ชั้นจะยังอยู่ที่ Shibuya Sky ซึ่งชั้นนี้ก็สามารถเดินวนถ่ายรูปได้ 360 องศาเช่นกัน และชั้นนี้จะมีบอกเป็นสัญลักษณ์อยู่ที่เสาด้วยว่าถ้ามองออกไปด้านนี้จะเจอสถานที่เด็ดๆ อะไรบ้าง
เนื่องจากรอบๆ ชั้นนี้จะเป็นกระจกบานใหญ่ทั้งหมด ก็อดใจไม่ได้ที่จะชักภาพกันอีกสักรูป (ช่วงบ่ายแสงกำลังเข้าสวยเลยทีเดียว)
นอกจากนี้ชั้นนี้ยังมี Paradise Lounge ให้บริการอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย หลังจากเหนื่อยจากการชมวิวด้านบนมาหลายชั่วโมง ก็อดไม่ได้จริงๆ ที่จะมานั่งพักจิบเครื่องดื่มเย็นๆ ให้ชื่นใจก่อนที่จะลงไปช็อปปิ้ง หรือตะลุยกินกันต่อที่ด้านล่างของ Shibuya Scramble Square
ที่ชั้น Sky Lounge นี้ก็สามารถถ่ายรูป มุม 5 แยกชิบูย่า ได้สวยงามไม่แพ้กันกับด้านบนนะ แนะนำต้องมาถ่ายสักรูป
สุดท้ายก่อนที่จะลา Shibuya Sky ขณะที่กำลังจะรอลิฟต์ลงไปด้านล่าง เมื่อหันหลังกลับมาก็อดใจไม่ไหว หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปส่งท้ายกันสักหน่อย มุมนี้ก็น่าจะเป็นอีกมุมหนึ่งที่จะได้ภาพซิลลูเอทสวยๆ อย่างแน่นอน หากมีเวลาก็อย่าลืมแวะมาถ่ายรูปกันด้วยนะ แล้วไปเจอกันต่อด้านล่าง (แอบบอกนิดนึงว่า ตอนกลางคืนของ Shibuya Sky ก็สวยไม่น้อยเลย มีการแสดงโชว์แสงไฟด้วย แถมมีบาร์บนดาดฟ้าอีก)
กลับสู่จุดเริ่มต้น ต่อไปจะขอแนะนำชั้นต่างๆ ในห้างสรรพสินค้าแห่งนี้ เตรียมตัวช็อปปิ้งและกินกันให้เต็มที่ ได้ข่าวว่ามีของกินให้เลือกกันจนตาลายเลยล่ะ มาเริ่มจากทางเข้าหน้าห้างที่ชั้น 1 กันเลย
เมื่อเดินเข้ามาจากทางหน้าห้างจะพบเจอกับร้านขายขนม ของฝากมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเค้กที่รูปร่างหน้าตาน่ากินไปซะหมด ขนมปังหอมกรุ่นอบสดใหม่มาวางขายกันทันที แถมยังมีของฝากชั้นเลิศอีกมากมายที่ให้เลือกชิมเลือกช็อปกัน (แค่เดินชิมทั้งชั้นก็อิ่มได้ 555)
สำหรับของฝากทีเด็ดของชั้นนี้ขอยกให้ร้าน FRANCAIS ที่เป็นขนมปังหลายเลเยอร์เคลือบช็อกโกแลต มีหลากหลายรชชาติไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี่ เลมอน ช็อกโกแลต และถั่วพิสตาชิโอ ซึ่งรสชาติจะไม่ออกหวานนำ กลมกล่อม เหมาะที่จะเป็นของฝากได้ดีเลยทีเดียว (มีให้ชิมก่อนเลือกซื้อด้วยล่ะ)
เสร็จแล้วก็ลงมาต่อกันที่ชั้นใต้ดิน B1 ซึ่งก็จะยังคงเป็นของกินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไอศกรีมเจลาโต้ หรือเค้กขนมหวานต่างๆ ที่ดูน่ากินไม่แพ้กับชั้น 1 แต่เนื่องจากชั้นใต้ดิน B1 จะเป็นทางเดินลงไปออกรถไฟใต้ดินที่ชั้น B2 ได้ จึงจะเน้นไปที่ของซื้อกลับไปทานที่บ้านมากกว่าจะซื้อเป็นของฝากนะ
มาในส่วนของชั้น B2 จะเน้นไปที่ของคาว ไม่ว่าจะเป็นข้าวกล่องหรือกับข้าวต่างๆ ก็สามารถซื้อกลับไปกินที่ที่พัก หรือถ้าหากท้องหิวก็สามารถซื้อทานได้ที่ร้านเช่นกัน (บางร้านมีที่นั่งให้รับประทาน) ซึ่งชั้น B2 นี้จะติดกับสถานีรถไฟใต้ดินอีกหลายสายด้วย เช่น สายสีม่วง Hanzomon Line, สายสีน้ำตาล Fukutoshin Line และอื่นๆ เรียกว่าซื้อแล้วสามารถเดินทางกลับบ้านได้เลย
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด Gongcha (กงฉะ) สุดยอดชาไข่มุขจากไต้หวันที่คนมาเที่ยวญี่ปุ่นต้องไปลิ้มลอง (ไม่งงใช่ไหม) เอาเป็นว่าเป็นชานมไข่มุกที่รสชาติดี ไม่หวานจนเกินไป (สามารถเลือกความหวาน น้ำแข็ง ท็อปปิ้งได้) แถมไข่มุกนั้นเป็นรสสัมผัสที่ไม่เหนียวไม่นิ่มเละจนเกินไป ลงตัวมากที่สุดจนหลายๆ คนต้องมาลิ้มลอง ซึ่ง Gongcha นั้นอยู่ในห้าง Shibuya Scramble Square ด้วยที่ชั้น 1 แต่จะอยู่ทางด้านหลังของห้าง (ต้องอ้อมออกมาจากทางด้านนอก)
เมื่อเที่ยวกินจนอิ่มตาและอิ่มท้องกันแล้วต่อมาก็ถึงเวลาสนองกิเลสด้วยการช็อปปิ้ง ซึ่งจะว่าไปแล้ว Shibuya Scramble Square นั้นจัดมาให้ได้แบบครบครันจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่นสตรีท ผู้บ่าว ผู้สาว จนไปถึงแบรนด์ไฮเอนด์ และยังรวมไปถึงบิ้วตี้ของสวยๆ งามๆ อีกด้วย
เริ่มกันที่ชั้น 2 ที่น่าสนใจต้องแวะไปชมก็จะมี NIKE, CONVERSE TOKYO เป็นต้น ซึ่งแต่ละร้านก็จะมีสินค้าที่ผลิตออกมาเป็นลิมิเต็ดอิดิชั่นขายเฉพาะที่ตึกนี้เท่านั้นอีกด้วย
มาต่อกันที่ชั้น 3 ซึ่งชั้นนี้จะเรียกได้ว่าเป็นชั้นที่รวมแบรนด์ไฮเอนด์เลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็น Balenciaga, Givenchy, Sacai, Jimmy Choo, Saint Luarent, Kenzo, Valentino เป็นต้น รวมไปถึงแบรนด์เครื่องเพชรชั้นนำอย่าง Tiffany&Co และ BVLGARI อีกด้วย
ต่อมาที่ชั้น 4 จะเน้นไปที่กระเป๋าต่างๆ รวมไปถึงเสื้อผ้าชายหญิง เสื้อกันหนาวแบรนด์ดังๆ เช่น TATRAS เป็นต้น แต่ในชั้น 5 จะกลับมาคึกคักอีกครั้ง จาก COACH, kate spade, MICHAEL KORS, marimekko และ a-jolie ขวัญใจสาวๆ ทั้งนั้นเลย
ส่วนท่านชายก็ไม่น้อยหน้าเพราะที่ชั้น 5 นี้มี ABC MART Sports มาให้เข้าไปลองสวมลองใส่รอสาวๆ ช็อปกันได้ ไม่ว่าจะเป็นสนีกเกอร์และเสื้อผ้าคอลเลคชั่นใหม่ๆ ของ Nike, Adidas และอื่นๆ อีกมากมายรับรองว่าจะรอเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ แถมจะได้ของติดไม้ติดมือกลับไปด้วย
สวรรค์ไม่ต้องไปถึงชั้น 7 เพราะชั้น 6 นี่แหละคือสวรรค์ของสาวๆ ชั้นนี้เป็นชั้นของ "เครื่องสำอาง" ยังไงล่ะ ยิ้มเลยใช่ไหม มีแบรนด์เยอะแยะมากมายเรียงรายกันทุกสัญชาติ อย่ารอช้ามาลองดูกันเลยว่ามีอะไรกันบ้าง L’OCCITANE, LANCOME, Meltivaz, MAC, PUAL & JOE, BOBBI BROWN, FANCL, NARS, TOM FORD, Too Faced, JILL STUART, CHANEL, shu uemura, SHISEDO, KANEBO, ESTEE LAUDER, SK-II, ANNA SUI ก็ยังไม่หมดต้องบอกเลยว่าของเขาเยอะจริงๆ
ต่อมาในชั้น 7 ถึงชั้นที่11 ก็ยังเป็นลานช็อปปิ้งสินค้าชั้นนำอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าชั้นช็อปปิ้งนั้นมีมากกว่า 10 ชั้น ถ้าจะเดินวนให้ครบทุกชั้นน่าจะใช้เวลาหลายชั่วโมงเลยทีเดียว ส่วนชั้น 12 ถึงชั้นที่ 14 จะเป็นในส่วนของร้านอาหาร เรียกได้ว่ารวมอยู่ทุกเชื้อชาติอีกเช่นกันไม่ว่าจะเป็นอาหารญี่ปุ่น เอเชีย หรือจะเป็นทางยุโรปก็มีให้ลิ้มลอง (ร้านอาหารและคาเฟ่จะมีอยู่ในมุมของทุกชั้นลองเดินเลือกดูเลือกชิมกันได้)
สุดท้ายรู้ตัวอีกทีออกมาจาก Shibuya Scramble Square ฟ้าก็มืดแล้ว ขออนุญาติเก็บภาพตึกตอนกลางคืนแล้วลากันไปเลยก็แล้วกัน แล้วเจอกันใหม่บทความหน้า tsunagu Japan จะพาไปรีวิวจัดเต็มอะไรก็คอยติดตามกันได้เลย!!
ช้าก่อน! หากใครเหนื่อยล้าอยากหาโรงแรมที่พักในโตเกียว ทางเราก็มีแนะนำหลายที่ ลองเลือกดูกันได้นะคะ
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่