20 แหล่งท่องเที่ยว เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศแบบย้อนยุคและมนต์เสน่ห์แห่ง Yanesen!
Yanesen เป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกรวมเขต Yanaka, Nezu และ Sendagi ในโตเกียว เป็นที่ที่มีกลิ่นอายของวิถีชีวิตแบบชนชั้นแรงงานที่แฝงวัฒนธรรมญี่ปุ่นเอาไว้มากมาย มีศาลเจ้าและวัดตั้งเรียงรายอยู่ตามถนน ให้คุณไปตามเก็บตราประทับศาลเจ้าได้อย่างสนุกสนาน นอกจากทัวร์เดินที่มีบริการแล้ว คุณก็สามารถไปเดินเล่นคนเดียวได้เช่นกัน มาย้อนเวลาไปกับการชมแกลเลอรี่สวยๆ และคาเฟ่สไตล์เรโทรสุดน่ารักกันเถอะ!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
10 อันดับ วัดและศาลเจ้าที่คุณไม่ควรพลาด!
1. ศาลเจ้า Nezu
ศาลเจ้า Nezu ได้รับการจดทะเบียนทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่สำคัญของประเทศญี่ปุ่น (Important Cultural Properties of Japan) ซึ่งมีอายุยาวนานกว่า 1,900 ปี และในปี 1975 ก็ได้รับการคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 10 ศาลเจ้าที่ดีที่สุดในโตเกียวในปี ศาลเจ้าแห่งนี้ประกอบไปด้วยอาคารทั้งหมด 7 หลัง มีห้องสักการะด้านใน หอบูชา รวมไปถึงสิ่งปลูกสร้างอื่นๆ ของศาลเจ้าอีก 5 แห่ง ว่ากันว่าศาลเจ้าแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดย "ยามาโตะ ทาเครุ (Yamato Takeru)" เจ้าชายในตำนานของราชวงศ์ยามาโตะ
ภายในตัวศาลเจ้ามี "Azalea Garden" หรือ สวนกุหลาบพันปี ที่กินพื้นที่บริเวณกว้างกว่า 6,000 ตารางเมตร และในฤดูใบไม้ผลิก็จะมีเทศกาล "Bunkyo Azalea" ให้เราได้ชมดอกไม้สวยๆ และเพลิดเพลินไปกับบรรดาร้านค้าแผงลอยต่างๆ ที่มาตั้งในงาน
ศาลเจ้า Nezu เป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า "Nezu Gongen*" ซึ่งถูกพูดถึงในบทประพันธ์อยู่บ่อยๆ ยิ่งไปกว่านั้นที่นี่ยังเป็นที่ตั้งของศาลเจ้า "Otome Inari" มีไฮไลท์อยู่ที่ประตูสีแดงนับพันที่ตั้งเรียงรายอยู่บนทางเดินซึ่งยาวไปจนถึงอาคารหลัก นับเป็นหนึ่งในจุดถ่ายรูปยอดนิยมของศาลเจ้าแห่งนี้ และหากใครกำลังสะสมตราประทับศาลเจ้า ที่นี่ก็มีสมุดสะสมตราประทับศาลเจ้าที่ทำเป็นรูปอาคารหลักและดอกกุหลาบพันปีด้วย เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมในหมู่สาวๆ ผู้ชื่นชอบการสะสม "Goshuin (ตราประทับศาลเจ้า)"
*Gongen หมายถึง การอวตารของพระโพธิสัตว์ในร่างของเทพเจ้าศาสนาชินโต
2. ศาลเจ้า Komagome Tenso
ศาลเจ้า Komagome Tenso ถูกสร้างขึ้นในปี 1189 โดย "มินาโมโตะ โนะ โยริโทเมะ (Minamoto no Yoritome)" เขาได้รับแรงบันดาลใจในการออกแบบศาลเจ้าแห่งนี้มาจากความฝัน ในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1945 ศาลเจ้าแห่งนี้ถูกเผาทำลายไปครั้งหนึ่งซึ่งเป็นผลจากการโจมตีทางอากาศ แต่ผู้คนในชุมชนก็ร่วมแรงร่วมใจกันสร้างศาลเจ้าแห่งนี้ขึ้นมาใหม่จนสำเร็จในปี 1954 บรรยากาศในบริเวณศาลเจ้าเงียบสงบและมีต้นไม้รายล้อมอยู่มากมาย เป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การพาเด็กๆ ไปเที่ยวเล่น
ผู้คนเริ่มเดินทางมาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้กันในสมัยเอโดะ (ปี 1603 - 1868) โดยในยุคนั้นเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "Komagome Jinmeigu" ที่นี่นับว่าเป็นสาขาย่อยของศาลเจ้า "Ise Grand Shrine" ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดมิเอะที่มีเทพ "Amaterasu" สถิตอยู่ ตัวอาคารหลักเองถูกสร้างขึ้นในรูปแบบเดียวกับศาลเจ้าอิเซะ ดูสง่างามน่าเกรงขาม และที่นี่ก็มีตราประทับให้สะสมเช่นกัน
3. วัด Chomyoji
วัด Chomyoji สร้างขึ้นในปี 1609 ในฤดูใบไม้ผลิ ต้นซากุระโบราณขนาดใหญ่ในลานวัดแห่งนี้จะบานและห้อยเป็นระย้าเต็มต้น เกิดเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามจับตา นอกจากที่นี่จะเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติให้แวะเวียนมาได้ไม่ขาดสายแล้ว ยังเป็นจุดถ่ายรูปลงอินสตาแกรมยอดฮิตในหมู่สาวๆ อีกด้วย บรรยากาศในวัดแห่งนี้จึงมักจะดูสดใสเบิกบาน นอกจากนี้ ที่นี่ยังเป็นสถานที่ชมหิ่งห้อยชื่อดังที่ "โทคุงาวะ มิทสึคุนิ (Tokugawa Mitsukuni) ไดเมียวในสมัยเอโดะตอนต้นเคยเดินทางมาชมอีกด้วย
ระฆังทองแดงของวัดแห่งนี้เป็นทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของเขตไทโต (Taito) มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 75.1 เซนติเมตร และสูง 122.9 เซนติเมตร ว่ากันว่าระฆังนี้ถูกสร้างขึ้นโดยช่างฝีมือผู้สร้างสุสานของ โทคุงาวะ อิเอสึนะ (Tokugawa Ietsuna) โชกุนรุ่นที่ 4 ของตระกูลโทคุงาวะ
การเดินทางไปยังวัด Chomyoji ก็ไม่ยากเลย ใช้เวลาเดินเท้าเพียงแค่ 5 นาที จากสถานีรถไฟที่ใกล้ที่สุดเท่านั้น หรือหากใครมาด้วยรถยนต์ส่วนตัว ที่นี่ก็มีที่จอดรถไว้ให้บริการฟรีด้วย
4. ศาลเจ้า Hakusan
ศาลเจ้าที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,000 ปี ถูกสร้างขึ้นในปี 948 ภายใต้ข้อเสนอของศาลเจ้า Shirayama Hime ศาลเจ้าแห่งนี้เคยถูกย้ายตำแหน่งถึง 2 ครั้งและชื่อ Hakusan ของมันก็มาจากสถานที่ตั้งในปัจจุบันนั่นเอง
ที่นี่มีชื่อเสียงขึ้นมาเพราะเป็นศาลเจ้าที่โชกุนคนที่ 5 แห่งตระกูลโทคุงาวะชื่อ โทคุงาวะ สึนะโยชิ (Tokugawa Tsunayoshi) และมารดา เค โชอิน (Kei Shoin) เคยมาสักการะบูชา นอกจากนี้ ยังมีคำกล่าวว่าเทพเจ้าที่สถิตอยู่ที่นี่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดฟันให้อีกด้วย
ในลานของศาลเจ้าและสวนสาธารณะ Hakusan มีต้นไฮเดรนเยียใบใหญ่อยู่ถึง 3,000 ต้นด้วยกัน และทุกๆ ปีก็จะมีการจัดงาน "เทศกาล Bunkyo Bigleaf Hydrangea" โดยภายในงานจะมีการประกวดภาพถ่ายของเด็กๆ และมีคอนเสิร์ตที่เรียกว่า "Hydrangea Concert" ด้วย นับเป็นช่วงที่ศาลเจ้าจะคึกคักที่สุดในรอบปีเลยทีเดียว
เนื่องจากศาลเจ้าแห่งนี้มีเรื่องเล่าที่ความเกี่ยวข้องกับสุขภาพฟัน ที่นี่จึงมีพื้นที่สำหรับจัดพิธีไว้อาลัยให้กับแปรงสีฟันใช้แล้วอีกด้วย! ใครที่สนใจก็สามารถแวะไปเยี่ยมชมกันได้
5. วัด Hongyo - ji
วัด Hongyo - ji มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Tsukimi - ji หรือ วัดชมจันทร์ ได้มาจากที่ตั้งของวัดที่อยู่บนยอดเขาทำให้สามารถมองเห็นดวงจันทร์ได้อย่างชัดเจน วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1526 ในบริเวณลานของปราสาทเอโดะ เคยถูกย้ายมาหลายครั้งจนกระทั่งมาปักหลักอยู่ในที่ตั้งปัจจุบันในปี 1709 จุดเด่นอย่างหนึ่งของวัด คือ มีประตูทางเข้าที่เป็นประตูไม้ขนาดใหญ่ นอกจากนี้ ในบริเวณวัดยังมีป้ายนำทางและคำอธิบายเป็นภาษาอังกฤษอยู่ด้วย แม้ว่าคุณจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นก็สามารถเที่ยวชมได้อย่างสบายใจ
นอกจากนี้ในเขตวัด Hongyo-ji ยังมีแผ่นหินสลักกลอนไฮกุของกวีชื่อดังอย่าง โคบายาชิ อิสสะ (Kobayashi Issa) และ ซันโทกะ ทาเนดะ (Santoka Taneda) ตั้งอยู่ตามจุดต่างๆ อีกด้วย โดยเฉพาะแผ่นหินของซันโทกะนั้นนับว่ามีคุณค่าสูงมากเพราะเป็นเพียงแผ่นเดียวที่มีอยู่ในโตเกียว
ทางวัดไม่มีที่จอดรถสำหรับผู้เข้าชม แต่หากใครมาด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถมานำไปจอดที่ลานจอดรถใกล้ๆ ได้
6. วัด Enjo - ji
วัด Enjo - ji เป็นวัดนิกายเทนได (เทียนไถ) ที่สร้างขึ้นในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 16 และเป็นที่ตั้งของสุสานของ "ยาโอยะ โอชิจิ (Yaoya Oshichi)" หญิงสาวในประวัติศาสตร์ผู้จุดไฟเผาบ้านตัวเองเพื่อหาโอกาสไปพบกับชายผู้เป็นที่รัก เรื่องราวของโอชิจิถูกนำไปสร้างเป็นบทละครในการแสดงต่างๆ ของญี่ปุ่นมากมายไม่ว่าจะเป็นคาบุกิหรือละครหุ่นเชิด นับเป็นคนๆ หนึ่งที่มีความเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง
สุสานของโอชิจิประกอบไปด้วยป้ายหลุมศพทั้งหมด 3 ป้ายด้วยกัน ป้ายแรกตั้งโดยหัวหน้านักบวชผู้ทำหน้าที่ประกอบพิธีศพ ป้ายที่ 2 เป็นของเหล่านักแสดงคาบุกิ และป้ายสุดท้ายถูกสร้างขึ้นโดยชาวบ้านในละแวกนั้น เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธครั้งที่ 270 มีชื่อเสียงในด้านการคุ้มครองจากอัคคีภัย
นอกจากนี้ ว่ากันว่าห้องโถงของวัด Oshichi ยังเป็นสถานที่ที่ช่วยเสริมดวงด้านความรักด้วย ที่นี่จึงเป็นจุดนัดเดทยอดนิยมอีกหนึ่งแห่ง
7. Komegome Fuji Shrine
ศาลเจ้า Komegome Fuji เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่เป็นศูนย์กลางของคณะผู้บูชาภูเขาไฟฟูจิซึ่งเป็นความเชื่อในศาสนาชินโตที่ได้รับความนิยมในสมัยเอโดะ ที่ลานของศาลเจ้าเราจะได้เห็น"ฟูจิซากะ (Fujizaka)" ซึ่งเป็นเนินเล็กๆ ที่ก่อขึ้นเพื่อเลียนแบบภูเขาไฟฟูจิ บนเนินมีห้องสวดมนต์ตั้งอยู่ คนท้องถิ่นจะเรียกฟูจิซากะว่า "โอฟูจิซัง (O-Fuji San)" ตามชื่อของภูเขาไฟต้นแบบ
นอกจากนี้ ที่นี่ก็ยังมีลาวาที่เก็บมาจากภูเขาไฟฟูจิให้ได้เข้าชมกันด้วย เป็นสิ่งหนึ่งที่ได้รับความนิยมในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ตราประทับของศาลเจ้าแห่งนี้ก็เป็นลายภูเขาไฟฟูจิ
ว่ากันว่าหากมีภูเขาไฟฟูจิ เหยี่ยว หรือมะเขือยาวปรากฏขึ้นในความฝันแรกของปีจะถือว่าเป็นลางที่ดี และเราก็สามารถพบของทั้ง 3 สิ่งได้ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ นอกจากภูเขาฟูจิที่เราได้กล่าวถึงไปแล้ว ใกล้ๆ กับตัวศาลเจ้าก็เป็นที่ตั้งของชุมชนผู้เลี้ยงเหยี่ยว และมะเขือยาวก็เป็นผลิตผลประจำภูมิภาคนั่นเอง
ในช่วงต้นฤดูร้อนของทุกปีจะมีการจัด "เทศกาลเปิดเขา (Open Mountain Festival)" ที่เด็กๆ ต่างตั้งตารอ เพราะมันเป็นช่วงเวลาเดียวที่จะมีการนำขนมท้องถื่นอย่าง ลูกกวาด Barley Rakugan มาวางขาย หากคุณได้แวะไปเที่ยวในช่วงนั้นแล้วล่ะก็ ถือว่าพลาดไม่ได้เลยทีเดียว
8. วัด Joshin - ji
วัด Joshin - ji เป็นวัดในนิกายสุขาวดีของศาสนาพุทธ วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในปี 1612 และมีรูปปั้นพระจีน Budai ขนาดใหญ่เป็นสัญลักษณ์ วัดนี้เคยตั้งอยู่ที่ Koizaka ใน Yushima แต่ถูกนำมาสร้างใหม่ตรงที่ตั้งปัจจุบันในสมัยเอโดะ หลังถูกเผาทำลายไปในช่วง "มหาอัคคีภัยแห่งเทนมะ (The Great Fire of Tenma หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า การวางเพลิงของยาโอยะ โอชิจิ)" วัดแห่งนี้เป็นที่อยู่ของปลาไม้ที่มีขนาดใหญ่สุดในญี่ปุ่นและยังเป็นจุดชมซากุระยอดนิยมอีกด้วย
ตัววัดสร้างขึ้นเพื่อสักการะบูชาพระอมิตาภพุทธะ หรือพระพุทธเจ้าในนิกายสุขาวดี ภายในเขตวัดมี "รูปปั้นจิโซ (Jizo)" ซึ่งเป็นเทพผู้พิทักษ์ของเด็กๆ อยู่ถึง 1,000 องค์ ทำให้มีผู้คนเดินทางมาขอพรให้กับลูกหลานกันอยู่มากมาย ตราประทับของวัดนี้ประกอบไปด้วยสัญลักษณ์ 子育桜観音 (หมายถึง การเลี้ยงดูบุตร ดอกซากุระและเจ้าแม่กวนอิมผู้เป็นเทพแห่งความเมตตา)
ทางวัดไม่มีที่จอดรถให้ ดังนั้น หากคุณเดินทางมาโดยรถยนต์ส่วนตัวก็สามารถใช้บริการลานจอดรถราคาถูกที่อยู่ใกล้ๆ แทนได้
9. วัด Tenno - ji
วัด Tenno - ji เป็นที่ตั้งของเจดีย์ 5 ชั้นซึ่งเป็นต้นแบบของเจดีย์ในนิยายเรื่อง "Five Tiered Pagoda" ที่เขียนโดย โคดะ โรฮัน (Koda Rohan) ตัวเจดีย์ถูกเผาทำลายไปในปี 1957 จนเหลือเพียงซากปรักหักพังที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นศิลปวัตถุเชิงประวัติศาสตร์ของโตเกียว
ภายในวัดมีป้ายบอกทางและคำอธิบายต่างๆ เขียนเป็นภาษาอังกฤษ ทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
ประตูทางเข้าวัดถูกสร้างขึ้นโดยใช้ปูนเปลือย ทำให้รู้สึกได้ถึงความทันสมัย และเมื่อเดินผ่านธรณีประตูไปก็จะได้พบกับพระโคตมพุทธเจ้าก่อนเป็นอันดับแรก โดยพระพุทธรูปองค์นี้ได้รับความเคารพนับถือในฐานะสัญลักษณ์ของเมืองเอโดะโบราณ นอกจากนี้ พื้นที่ตรงลานวัดยังถูกใช้เป็นสนามเด็กเล่นสำหรับเด็กๆ เพราะมีต้นไม้ปลูกอยู่มากมายและยังได้ชื่อว่าเป็นโอเอซิสในเมืองหลวงอีกด้วย
10. วัด Zuirin - ji
วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงในด้านการอวยพรให้คลอดลูกได้อย่างปลอดภัยและขับไล่วิญญาณร้าย จึงมีนักท่องเที่ยวมากมายที่เดินทางมาเพื่ออธิษฐานขอพรเรื่องการคลอดบุตรและขอให้ลูกหลานของตนมีสุขภาพที่แข็งแรง ว่ากันว่า "พระโพธิสัตว์นิจิเร็ง (Nichiren)" เคยให้พรไว้กับทัพพีตักข้าวของผู้หญิงที่กำลังทุกข์ทรมานจากการคลอดบุตร ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา พระองค์จึงได้รับการสักการะในฐานะ 1 ใน 10 ผู้นำลัทธิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยเอโดะภายใต้ชื่อ "The Safe Birth and Rice Paddle Founder"
วัด Zuirin - ji ถูกสร้างขึ้นในปี 1591 โดยโทคุงาวะ อิเอยาสึ (Tokugawa Ieyasu) มีตำนานเล่าขานว่าอิเอยาสึได้รับการอบรมสั่งสอนจากนักบวชนิชชิน (Nisshin) ในช่วงวัยเด็ก และเมื่อเขาประสบความสำเร็จในการรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่นได้จึงกลับมาสร้างวัดตามที่ได้ให้สัญญาเอาไว้กับนักบวชผู้นั้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าว่า โทคุงาวะ อิเอมิทสึ ผู้เป็นโชกุนรุ่นที่ 3 ของตระกูล เป็นผู้บริจาคเงินสร้างหอระฆังของวัดนี้อีกด้วย
ย้อนวันวานไปกับ 5 คาเฟ่สุดน่ารัก!
1. Kayaba Coffee
Kayaba Coffee เปิดทำการครั้งแรกในปี 1938 ร้านนี้เคยปิดตัวไปชั่วคราวก่อนจะเปิดให้บริการอีกครั้งในปี 2009 คำว่า Kayaba เป็นอีกคำหนึ่งที่ใช้เรียกย่าน Yanaka อันเป็นที่ตั้งของร้าน ตัวอาคารทั้งภายในและภายนอกจะเป็นแนวย้อนยุค ให้ความรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในยุคโชวะ (ปี 1926 - 1989) วัตถุดิบของร้านนี้ล้วนผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดี และทางร้านก็เน้นใช้ผลิตภัณฑ์ท้องถื่นเป็นหลักอีกด้วย
ใครที่พาลูกพาหลานมาเที่ยวด้วยก็สามารถสบายใจได้ เพราะร้านนี้อนุญาตให้พาเด็กๆ เข้ามาได้
ชั้นล่างของร้านจะจัดเป็นโต๊ะและเก้าอี้ตามสไตล์ตะวันตก ส่วนบนชั้น 2 จะมีเบาะนั่งพื้นอยู่ในห้องที่ปูด้วยเสื่อทาทามิ เป็นที่ๆ จะทำให้คนญี่ปุ่นรู้สึกเหมือนได้ไปเยี่ยมบ้านคุณยาย และสำหรับชาวต่างชาติที่มาเที่ยวก็นับว่าได้บรรยากาศแบบญี่ปุ่นๆ ดี เมนูแนะนำของร้านนี้ คือ กาแฟและแซนด์วิชไข่ที่นุ่มฟู
2. Hachorui Kenkyujo 8 Bunshitsu
คาเฟ่นี้มีชื่อร้านสุดชิคที่แปลได้ว่า "ห้องวิจัยสัตว์เลื้อยคลานหมายเลข 8" ร้านตั้งอยู่บนถนน Hebi (Hebi-dori หรือถนนงู) ออกแบบให้คล้ายเหมือนกับเป็นห้องวิจัยสัตว์เลื้อยคลาน ร้านนี้เปิดให้บริกาารแค่ในวันเสาร์และอาทิตย์ และายร้านเองก็เล็กเสียจนคุณอาจจะไม่ทันได้สังเกต ถึงแม้ว่าจะทำให้ดูเหมือนมีสัตว์เลื้อยคลานอยู่ข้างใน แต่ที่จริงแล้วก็ไม่ได้มีงูเงี้ยวเขี้ยวขออะไรอยู่ข้างในหรอก ออกจะเหมือนคาเฟ่ที่ถูกออกแบบให้อยู่ติดกับห้องวิจัยเฉยๆ เสียมากกว่า
เมนูของร้านจะเน้นที่เครื่องดื่มเป็นส่วนใหญ่ ด้านนอกจะดูเหมือนกับบ้านญี่ปุ่นเก่าๆ แต่ภายในนั้นตกแต่งด้วยอุปกรณ์ต่างๆ จนดูเหมือนห้องวิจัย ผนังเองก็เป็นสีเดียวกับกระดานดำที่ใช้กันในสมัยก่อน และเมื่อมองออกไปนอกร้านก็จะเห็นบรรดาคู่รักเดินจับมือกันไปมา
3. Okaeri
ร้าน Okaeri หรือ ยินดีต้อนรับกลับบ้าน นี้เป็นร้านอาหารญี่ปุ่นที่เราสามารถสั่งกลับบ้านได้ เมนู "Okaeri Teishoku" ที่วางขายตอนกลางวันจะประกอบด้วยเครื่องเคียง 4 อย่าง, ซุป 1 ถ้วย, ข้าวและน้ำชาที่มาด้วยกัน คุณสามารถขอเติมได้ไม่อั้นโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
นอกจากนี้ ทางร้านก็ยังมีเมนูกาแฟยามบ่าย หรือ Afternoon Coffee Menu ที่เน้นเสิร์ฟเมนูเครื่องดื่มและขนมหวานแบบต่างๆ ด้วย ทำให้ร้านนี้เป็นที่ชื่นชอบของสาวๆ อยู่ไม่น้อย
เมนูอาหารเย็นจะเป็นอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงและซุปอีกเช่นกัน แล้วยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เลือกกันได้ด้วย ร้านนี้จึงเป็นที่ออกเดทที่ได้รับความนิยมมากทีเดียว
ตัวร้านเป็นบ้านสไตล์ญี่ปุ่นที่ทำการรีโนเวทขึ้นมาใหม่ อยู่ในตรอกที่มุ่งหน้าไปสู่ประตูด้านหลังของศาลเจ้า Nezu และให้ความรู้สึกเหมือนได้ก้าวเข้าไปในอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว
4. Sanpota Cafe Nonbiriya
Sanpota Cafe Nonbiriya เป็นร้านที่อยู่ในบ้านญี่ปุ่นอายุกว่า 100 ปี ที่ถูกนำมารีโนเวทใหม่ เมื่อก่อนเคยเป็นร้านขายเครื่องเขียน แต่ปัจจุบันได้กลายเป็นร้านกาแฟที่มีบรรยากาศสบายๆ และมักจะมีสาวๆ มานั่งจับกลุ่มคุยกันไปแล้ว หน้าร้านมีประตูที่เปิดกว้างเชิญชวนให้ผู้คนแวะเข้ามา ส่วนภายในเป็นห้องเสื่อทาทามิและมีโต๊ะเตี้ยๆ ที่จัดไว้สำหรับนั่งพักผ่อนหย่อนใจ
นอกจากเครื่องดื่มทั่วไปแล้ว คาเฟ่นี้ยังจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วย การตกแต่งภายในร้านก็ให้ความรู้สึกเหมือนกับร้านเหล้าแบบญี่ปุ่นอยู่ไม่น้อย แถมยังมีโคมไฟสีแดงแขวนประดับอยู่ภายนอกอีกด้วย เมนูที่ได้รับความนิยมเป็นพิเศษก็จะเป็นพวกกับแกล้มที่มีราคาเพียง 300 เยนเท่านั้น เป็นกันเองสุดๆ
ด้วยบรรยากาศโดยรวมของร้านที่ออกจะสบายๆ ต่อให้เป็นลูกค้าชาวต่างชาติก็สามารถเข้ามานั่งได้โดยไม่รู้สึกกดดันมากนัก แต่ถ้าใครอยากจะดื่มไปเดินเล่นไปมากกว่าก็สามารถสั่งแบบ Take-out ได้เช่นกัน
5. Amane Saryo
Amane Saryo แห่งนี้มีจัดพื้นที่เอาไว้ให้เหล่าผู้มาเยือนได้นั่งพักผ่อนหย่อนใจ ภายในตกแต่งโดยใช้ไม้เป็นหลักและประดับด้วยแก้ว ด้านในมีบรรยากาศสบายๆ ดูสดชื่น ของใช้ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เฟอร์นิเจอร์ หรือแม้กระทั่งเครื่องสุขภัณฑ์ในห้องน้ำก็ทำเป็นขอบมนทั้งหมด ถึงคุณจะพาเด็กๆ ไปด้วยก็ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย
เมนูของที่นี่ออกจะแปลกตาอยู่สักหน่อย แต่ทางร้านก็มีการทำภาพประกอบเมนูอาหารทั้งหมดไว้บนกระดาษสีขาวซึ่งช่วยให้ลูกค้าชาวต่างชาติสามารถเข้าใจได้แม้จะไม่รู้ภาษาญี่ปุ่น โลโก้ของร้านทำเป็นรูปหยาดน้ำฝนตามชื่อของร้าน โดยภาพรวมแล้วก็ถือว่าเป็นร้านอาหารที่ดูดีมีสไตล์มากๆ แห่งหนึ่งเลยทีเดียว
เปิดตาเปิดใจไปกับ 5 แกลเลอรีสุดแปลกแห่งยาเนะเซ็น!
1. Gallery Neko Machi
2. Teramachi Art Museum
พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดแสดงงานพิมพ์บนแผ่นไม้ที่เรียกว่า "Ukiyoe Woodblock Prints" และมีงานศิลปะของ Hokusai และ Sharaku ให้ได้เข้าชมกันใกล้ๆ ด้วย ตัวพิพิธภัณฑ์จะตั้งอยู่บนถนน Hatsune no Michi ซึ่งเป็นถนนสายหลักของย่าน Yanaka และเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นที่จัดวางคอลเล็กชันของ "คุณหมอโทมิซาวะ ยูโซ (Tomizawa Yuzo)" โดยจะมีการสับเปลี่ยนชิ้นงานที่จัดแสดงอยู่ทุกๆ 3 เดือน จึงมีผู้เข้าชมไม่น้อยที่เป็นแขกหน้าเก่าๆ ที่มาเพื่อชมภาพให้ครบทั้งคอลเล็กชัน ตัวอาคารเคยเป็นโรงฝึกเคนโด (ศิลปะการฟันดาบแบบญี่ปุ่น) มาก่อน ผนังด้านในจึงให้ความรู้สึกที่ดูสง่างามและภูมิฐาน หากคุณอยากสัมผัสกับวัฒนธรรมเก่าของโตเกียวอย่างใกล้ชิดก็ต้องลองมาให้ได้สักครั้ง และที่นี่ยังเปิดให้พาเด็กๆ เข้ามาชมได้อีกด้วย
3. SCAI THE BATHHOUSE
SCAI THE BATHHOUSE ได้ชื่อนี้มาเพราะที่นี่เคยเปิดเป็นโรงอาบน้ำเมื่อ 200 ปีก่อน ภายหลังได้มีการปรับปรุงใหม่จนกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (Modern Art Gallery) ซึ่งได้รับการประเมิน 2 ดาวจาก Michellin Green Guide ทำให้มีชื่อเสียงในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งคนญี่ปุ่นและชาวต่างชาติ
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ถูกตั้งขึ้นในปี 1993 มีจุดเด่นอยู่ที่เคยเป็นพื้นที่ใช้สอยของชนชั้นแรงงานมาก่อน และเป็นที่ที่จะพาเราไปสัมผัสกับงานศิลปะทั้งของศิลปินชื่อดังและศิลปินหน้าใหม่ที่มีฝีมือ อีกทั้งยังสนับสนุนงานศิลปะจากต่างประเทศด้วย เป็นอีกหนึ่งแกลเลอรีที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและยังเปิดทำการมาก่อนที่ย่านนี้จะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเสียอีก
4. Asakura Museum of Sculpture
Asakura Museum of Sculpture ตั้งอยู่ที่ใจกลางย่าน Yanaka มีชื่อเสียงในฐานะพิพิธภัณฑ์ที่ได้รับการออกแบบโดย "อาซาคุระ ฟุมิโอะ (Asakura Fumio)" ประติมากรชื่อดังในยุคเมจิ (ปี 1868 - 1912) และยุคโชวะ เมื่อก่อนที่นี่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านสำหรับอยู่อาศัยและสตูดิโอทำงานของอาซาคุระและครอบครัว ในปัจจุบัน ที่นี่มีดีกรีเป็นถึงหนึ่งในทรัพย์สินทางวัฒนธรรมที่จับต้องได้ของประเทศญี่ปุ่น มีนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศมาเยี่ยมเยียนกันอย่างไม่ขาดสายเลยทีเดียว
ภายในห้องจัดแสดงก็ไม่ได้มีเพียงงานของอาซาคุระ แต่ก็ยังมีงานเขียนและของสะสมอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นห้อง "Sunroom" ซึ่งเคยใช้เป็นที่สำหรับปลูกกล้วยไม้มาก่อน ปัจจุบันก็ได้กลายเป็น "Cat Room" ที่เอาไว้จัดแสดงงานศิลปะที่เกี่ยวกับแมวแทน ยิ่งไปกว่านั้น ทางแกลเลอรียังมีการจัดกิจกรรมที่เรียกว่า "Kids Supporter" ให้เด็กประถมมาช่วยทำงานเล็กๆ น้อยๆ ที่แปลงผักบนหลังคาเพื่อให้เด็กๆ ได้เห็นความสำคัญของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้อีกด้วย
5. Yanaka Red House Button Gallery
มีเอกลักษณ์อยู่ที่การออกแบบภายนอกซึ่งเป็นอาคารอิฐแดงที่ดูสวยงาม เป็นสถานที่ที่จัดแสดงและจำหน่ายกระดุมแบบยุโรปยุคโบราณ เพียงคุณก้าวเข้าไปในเขตพิพิธภัณฑ์ก็จะรู้สึกเหมือนได้ไปเที่ยวยุโรปแล้ว เป็นที่ที่เหมาะจะไปเที่ยวกับกลุ่มเพื่อนสาวหรือใช้เป็นสถานที่นัดเดทกับคนพิเศษของคุณ
Yanaka Red House ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก "บ้านสีแดงของวิลเลียม มอร์ริส (The Red House of William Morris)" นักออกแบบผู้ริเริ่มแนวทางความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่เรียกว่า Art and Craft Movement* ในยุโรป ซึ่งที่นี่ก็มีงานวอลเปเปอร์กับกระจกสีซึ่งออกแบบโดยมอร์ริสจัดแสดงอยู่เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีการจัดแสดงกระดุมหายากราคาสูงไว้ให้เราได้ชมด้วย ไม่ว่าจะชิ้นไหนก็งดงามจนลืมไม่ลงเลยทีเดียว
* Art and Craft Movement แนวทางความเคลื่อนไหวทางศิลปะที่ก่อตั้งขึ้นในช่วงยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมยุโรป มีจุดประสงค์เพื่อผลักดันให้เห็นความสำคัญของงานศิลปะแนวมัณฑนศิลป์และวิจิตรศิลป์ที่ออกแบบตามงานหัตถกรรมของยุโรปยุคกลางที่กำลังจะเลือนหายไปในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม
ลองมาสักครั้งแล้วคุณจะติดใจ!
Yanesan เป็นย่านที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของชนชั้นแรงงานในโตเกียว มีสถานที่ท่องเที่ยวอันแสนน่ารักและคลาสสิกมากมายให้เราได้ไปเยี่ยมชมและสัมผัสกับบรรยากาศที่ราวกับได้ย้อนเวลากับไปในอดีต คุณสามารถสนุกไปกับการสะสมตราประทับของศาลเจ้าและวัดต่างๆ หาอะไรทานไปเรื่อยๆ ระหว่างที่เดินเล่นในเมือง หรือจะแวะไปชมแกลเลอรีเพื่อเก็บเป็นประสบการณ์ใหม่ๆ ก็ได้ทั้งนั้น
นอกจากนี้ ที่นี่ยังมีร่องรอยของวัฒนธรรมที่สืบทอดมาจากสมัยเอโดะหลงเหลืออยู่มาก จึงนับเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คุณจะได้มีโอกาสสัมผัสกับความเป็นญี่ปุ่นในรูปแบบใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติ คนที่ชอบเที่ยวคนเดียว หรือเหล่าทาสแมวก็คงจะหลงเสน่ห์ของ Yanesen กันได้ไม่ยากเลย
แต่ก็มีข้อควรระวังในการวางแผนท่องเที่ยวอยู่อย่างหนึ่ง คือ Yanesan เป็นย่านที่มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้น หากคุณคิดจะแวะมาก็อย่าลืมอัพเดทข้อมูลสถานที่ก่อนออกเดินทางกันด้วยล่ะ!
ภาพประกอบบทความ: Sanga Park / Shutterstock
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่