ราคาปัจจุบัน JR Pass คุ้มหรือไม่คุ้ม? มาดูกัน อัพเดทปี 2024
JR Pass เป็นตัวเลือกในการประหยัดค่าเดินทางระหว่างการท่องเที่ยวญี่ปุ่น แต่หลังจากที่ JR Pass ได้ปรับราคาขึ้นจากเดิมคุณอาจจะต้องลองคำนวณใหม่อีกครั้ง เพราะหากคุณไม่ได้เดินทางไกล เดินทางข้ามจังหวัดหรือข้ามภูมิภาคหลายๆ รอบแล้วล่ะก็การจองตั๋วแยกอาจจะถูกกว่าและเป็นตัวเลือกที่ประหยัดในการเดินทางมากกว่าก็เป็นได้ แล้วแบบนี้เราจะเลือกซื้อแบบไหนถึงจะคุ้มค่า มาดูกันได้ในบทความนี้เลย!
บทความนี้อาจมีลิงก์พาร์ทเนอร์ หากคุณทำการซื้อผ่านลิงก์พาร์ทเนอร์ เราอาจได้รับค่าคอมมิชชั่นโดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมสำหรับคุณ
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างสูงไม่ว่าจะเดินทางโดยรถไฟ JR, ใต้ดิน หรือ ชินคันเซ็น ซึ่งปัจจุบันมีตัวเลือกมากมายเพื่อช่วยให้ประหยัดค่าเดินทางลงไปได้ เช่น การซื้อตั๋วเหมาวัน หรือ 3-7 วัน ตามต้องการ เพื่อไม่ต้องกังวลว่าจะต้องเดินทางหลายรอบจนเสียค่าโดยสารมากเกินความจำเป็น รวมถึงการใช้ Japan Rail Pass (JR Pass) ก็เช่นกัน JR Pass เป็นบัตรโดยสารสำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่นที่จะทำให้ทุกท่านประหยัดค่าเดินทางลงไปได้ แต่เนื่องจาก JR Pass ได้มีการปรับราคาขึ้นไปค่อนข้างมากเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2023 ที่ผ่านมา จนหลายคนต้องมานั่งคิดคำนวณกันอีกครั้งว่าจะยังคุ้มค่ากับการใช้งานอยู่หรือไม่? ในบทความนี้เราได้ลองเปรียบเทียบการเดินทางมาให้ดูแล้วว่าเดินทางแบบไหนถึงจะคุ้มค่ากับการซื้อ JR Pass
**แน่นอนว่า JR Pass นี้อาจจะไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเดินทางแค่เมืองสองเมือง แต่จะคุ้มกว่าสำหรับการเดินทางข้ามภูมิภาค ไปหลายๆ ที่ เช่น เดินทางท่องเที่ยวไปกลับจากคันโตไปคันไซ เป็นต้น
เลือก JR Pass ตามจำนวนวันการเดินทาง
JR Pass สามารถเลือกซื้อได้ 3 แบบ คือแบบ 7 วัน, 14 วัน และ 21 วัน ซึ่งเมื่อคุณเริ่มใช้พาสแล้ว จะสามารถใช้ได้ติดต่อกันไปได้ตามจำนวนวันที่กำหนดเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากคุณซื้อแบบ 7 วัน และเริ่มใช้พาสแล้วในระหว่าง 7 วันนี้หากมีวันไหนไม่ได้ใช้เดินทางก็จะนับรวมไปด้วย เพราะฉะนั้นควรวางแผนการเดินทางให้ดีก่อนเริ่มใช้พาส
ราคา JR Pass ในปัจจุบัน (2024)
ด้านบนคือราคา JR pass บนเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของทาง JR ญี่ปุ่น แต่หากซื้อผ่านตัวแทนหรือจองล่วงหน้าผ่าน Klook อาจจะได้รับส่วนลดเพิ่มเติมจากราคาเต็มก็เป็นได้ เพราะฉะนั้นถ้ามีเวลาวางแผนก่อนเดินทางนาน ก็สามารถตรวจสอบโปรโมชั่นที่เว็บไซต์ต่างๆ ก่อนจองได้
**เด็กต้องมีอายุ 6-12 ปีในขณะที่ใช้งาน (เด็กที่มีอายุมากกว่า 12 ปีขึ้นไปถือเป็น "ผู้ใหญ่") อย่างไรก็ตามในกรณีซื้อผ่านเว็บจำหน่ายตั๋วหรือแลกตั๋วผ่านการซื้อในต่างประเทศ ตอนอายุ 11 ปี แม้ว่าจะมีอายุ 12 ปีในขณะที่ใช้งานจะถือว่าเป็นเด็ก
ข้อควรรู้ก่อนซื้อ JR Pass
JR Pass ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถใช้ได้นะ พาสนี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีสถานภาพการเข้าประเทศญี่ปุ่นแบบ "การพำนักระยะสั้น" (15 หรือ 90 วัน) เท่านั้น ถ้าคุณคือนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ถือวีซ่านักเรียน หรือ ถือวีซ่า working holiday คุณจะไม่สามารถใช้ JR pass ได้ (นักเรียนแลกเปลี่ยนบางคน เช่น นักเรียนแลกเปลี่ยนช่วงปิดเทอมฤดูร้อน ก็ถือวีซ่าพำนักระยะสั้นนะ เพราะฉะนั้นลองเช็คดูก่อนว่าวีซ่าของคุณเป็นแบบไหน)
อีกอย่างหนึ่งคือ JR Pass เป็นพาสสำหรับนักท่องเที่ยว ดังนั้น คนญี่ปุ่นจะไม่สามารถใช้พาสนี้ได้ ยกเว้นคนญี่ปุ่นที่มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนที่พำนักอยู่ต่างประเทศอย่างถาวร ก็จะสามารถใช้พาสนี้ได้เช่นกัน
ข้อควรระวังตอนเข้าประเทศญี่ปุ่น เมื่อคุณซื้อ JR Pass
ตอนตรวจคนเข้าเมือง การใช้ประตูอัตโนมัติจะไม่มีการประทับตราแสตมป์หรือติดสติ๊กเกอร์ลงบนพาสปอร์ต ท่านที่ซื้อ JR Pass ต้องใช้ประตูอัตโนมัติที่มีเจ้าหน้าที่หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ประทับตรา "การพำนักระยะสั้น" ลงบนพาสปอร์ต ถ้าหากท่านไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศแบบ “การพำนักระยะสั้น” ท่านจะไม่สามารถแลกหรือรับ JR Pass ได้
ซื้อ JR Pass ก่อนบินเข้าประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น
ถึงแม้ว่า JR Pass จะดูคุ้มค่ามากก็ตาม นักท่องเที่ยวหลายๆคนก็ไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วนก่อนไปญี่ปุ่น ดังนั้น อาจจะมีบางคนที่อยากจะซื้อพาสเมื่อเดินทางถึงแล้ว แต่พาสนี้จะไม่สามารถซื้อได้ที่ประเทศญี่ปุ่น เพราะมันถูกออกแบบเพื่อให้นักท่องเทียวชาวต่างชาติใช้ พาสนี้จึงถูกขายให้ผู้จัดจำหน่ายในแต่ละประเทศเท่านั้น เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากจะประหยัดเงินล่ะก็ วางแผนการเที่ยวให้ดีๆ ก่อนมาญี่ปุ่นดีกว่านะ
สามารถรับ JR Pass ใบจริงได้ก็ต่อเมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้วเท่านั้น
ถึงแม้ว่าคุณจะต้องซื้อ JR Pass นอกญี่ปุ่น แต่คุณจะได้รับพาสจริงก็ต่อเมื่อมาถึงญี่ปุ่นแล้วเท่านั้น เมื่อคุณชำระเงินกับผู้จัดจำหน่าย JR Pass ในประเทศของคุณ คุณจะได้รับ “Exchange Order” หรือใบยืนยันการซื้อ ซึ่งจะยังใช้โดยสารรถไฟไม่ได้ เมื่อคุณเดินทางถึงประเทศญี่ปุ่นแล้ว คุณสามารถรับพาสจริงได้ที่สถานีรถไฟใหญ่ๆ โดยนำใบ Exchange Order และพาสปอร์ตตัวจริง (ไม่รับฉบับถ่ายเอกสาร) ไปยื่นให้เจ้าหน้าที่เพื่อรับ JR Pass
ขอบเขตการใช้งาน JR Pass
Hisagi (氷鷺)/Wikimediaคุณสามารถใช้ JR Pass เพื่อท่องเที่ยวแทบจะเรียกได้ว่าได้ทั่วญี่ปุ่นเลยทีเดียว คุณสามารถใช้พาสนี้ในการโดยสารรถไฟทั้งแบบปกติและแบบรถด่วน บัส และเรือเฟอร์รี่ของกลุ่ม JR แต่ก็มีข้อยกเว้นดังนี้
รถไฟ
ชินคันเซ็นทุกสายและรถไฟของบริษัท JR (ยกเว้น รถไฟ "โนโซมิ" กับ "มิซูโฮะ" (รวมถึงแบบไม่จองที่นั่ง) รถไฟด่วนพิเศษ, รถไฟด่วน, รถไฟเร็ว, รถไฟธรรมดา และ BRT (มีรถไฟบางขบวนที่ใช้ไม่ได้) และสามารถใช้กับโตเกียวโมโนเรลล์ได้ด้วย
รถบัส
รถบัสสายท้องถิ่นของบริษัท JR Bus (ยกเว้นสายท้องถิ่นบางส่วน อาจมีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางที่สามารถโดยสารได้)
(บริษัท JR Bus = JR Hokkaido Bus, JR Bus Tohoku, JR Bus Kanto, JR Tokai Bus, West Japan JR Bus, Chugoku JR Bus, JR Shikoku Bus, JR Kyushu Bus)
**ไม่สามารถโดยสารช่วงเส้นทางรถบัสด่วนของ บริษัท JR Bus แต่ละแห่งได้
เรือเฟอร์รี่
ฟังไม่ผิด! JR Pass สามารถใช้ขึ้นเรือเฟอร์รี่สาย JR-West Miyajima ได้ด้วย แต่เรือเฟอร์รี่สายอื่น รวมถึงเรือเฟอร์รี่แบบ hydrofoil ระหว่างฮากาตะและปูซาน (เกาหลี) จะไม่สามารถใช้พาสได้
**ท่านต้องชำระภาษีเยี่ยมชมมิยาจิมะ (100 เยน) แยกต่างหาก ณ สถานที่จริง
การจองใช้งาน, แลกตั๋ว "ชินคันเซ็น"
ในปัจจุบัน Midori no Madoguchi ที่ปกติเราไปทำการจอง แลกตั๋วชินคันเซ็นได้ปิดการให้บริการไปแล้ว การจองตั๋วชินคันเซ็นจะสามารถทำการจองทางออนไลน์ได้ผ่านทางเว็บไซต์ออฟิเชียล โดยสามารถจองและเลือกที่นั่งได้เลยในเว็บไซต์ ส่วนขั้นตอนในการรับตั๋วชินคันเซ็นสามารถมารับตั๋วก่อนเดินทางจริงได้สถานีที่จะเดินทางที่เคาเตอร์อัตโนมัติ ซึ่งจะอยู่ใกล้กับทางเข้าเกตของชินคันเซ็น หรือมองหาง่ายๆ จะมีป้าย "Shinkansen Tickets" เห็นได้เด่นชัด และข้อสำคัญในตอนรับตั๋วต้องใช้บัตรเครดิตที่ทำการจองมาทำการยืนยันตอนรับตั๋วด้วย (บางสายอาจจะใช้เป็น QR code ในการยืนยันรับตั๋ว) หรือถ้าไม่ได้จองออนไลน์ก็สามารถมาทำการซื้อตั๋วชินคันเซ็นได้ที่เคาเตอร์อัตโนมัติเช่นกัน แต่แนะนำให้มาซื้อล่วงหน้าก่อนออกเดินทางสัก 1-2 วัน เพราะถ้ามาซื้อวันที่เดินทางที่นั่งอาจจะเต็มได้ (หากเป็นเทศกาลแนะนำให้จองออนไลน์จะสะดวกกว่า แต่ถ้าจำเป็นต้องจองที่เคาเตอร์แนะนำให้จองล่วงหน้า 1 อาทิตย์ขึ้นไป)
หากไม่ได้ใช้ JR Pass สามารถเอาไปแลกคืนได้!
ถ้าคุณเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมากระทันหันว่าจะไม่ใช้ JR Pass คุณสามารถนำพาสที่คุณแลกแล้ว ไปขอแลกรับเงินคืนได้ แต่ข้อควรระวังคือ คุณสามารถขอแลกเงินคืนได้ในช่วงก่อนที่จะถึงวันเริ่มเปิดใช้พาสเท่านั้น และจะเสียค่าบริการ 10%
สำหรับท่านที่เดินทางมาถึงญี่ปุ่นแล้ว แต่ไม่สามารถแลกพาสได้เพราะไม่ผ่านคุณสมบัติในการใช้ JR Pass ก็สามารถขอรับเงินคืนได้เช่นกัน โดยส่งใบ Exchange Order กลับไปยังผู้จัดจำหน่ายของคุณภายใน 1 ปี นับจากวันที่ซื้อ และจะมีค่าบริการประมาณ 10-15%
หากทำ JR Pass หาย จะไม่สามารถขอรับ ใหม่ได้
ดูแลพาสของคุณให้ดีๆล่ะ เพราะว่าทางบริษัท JR จะไม่ออก JR Pass ใหม่ให้หากพาสของคุณสูญหาย เสียหาย หรือโดนขโมย ดังนั้นคุณควรดูแลพาสของคุณให้เหมือนกับที่คุณดูแลพาสปอร์ต เพราะถ้าคุณทำมันหาย คุณจะต้องจ่ายค่าเดินทางเพิ่มอีกมากทีเดียว
เปรียบเทียบราคา JR Pass กับ Pass แบบอื่นๆ
นอกจากนี้ยังมีพาสต่างๆ ที่ไว้เที่ยวตามเมืองอีก เช่น บัตร Kansai Pass , บัตร Seibu Kawagoe Pass , บัตร Hakone Free Pass , บัตร Nikko Pass แบบดิจิทัล , บัตร Kyushu Pass , บัตร Kansai Wide Area Pass , เป็นต้น
เพราะฉะนั้นหากใครที่ต้องการเดินทางไปหลายๆ จังหวัดในทริปเดียวก็แนะนำให้ใช้ JR Pass จะทำให้ประหยัดค่าเดินทางได้มากกว่า แต่หากต้องการเดินทางอยู่เพียงในเขตพื้นที่เดียวจะแนะนำให้ซื้อเป็นพาสของพื้นที่นั้นๆ ซึ่งจะมีราคาที่ถูกกว่า หรือมีแพลนเดินทางไปหลายพื้นที่แต่ไม่ได้ไกลกันมากก็แนะนำให้ลองคำนวณค่าใช่จ่ายในการเดินทางดูจากราคาพาสคร่าวๆ ว่าคุ้มที่จะใช้ JR Pass หรือไม่
แล้ว JR Pass ปรับราคาขึ้นแล้ว ยังคุ้มค่าอยู่หรือไม่?
ถึง JR Pass จะปรับราคาขึ้นไปค่อนข้างมาก แต่เมื่อดูราคาเปรียบเทียบกับพาสอื่นๆ หากคุณต้องเดินทางไปหลายๆ เมือง หลายสถานที่ นั่งรถไฟ JR วันละหลายหน ก็ต้องบอกเลยว่ายังคุ้มค่าอยู่ ยกตัวอย่าง หากคุณเดินทางเข้าเมืองไปกลับ Narita-Tokyo คุณก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายแล้ว 5,000 เยน และหากไปเที่ยวเมืองอื่นๆ เช่น ไปกลับจากโตเกียวไปโอซาก้าโดยชินคันเซ็น ก็จะเสียค่ารถไฟรวมๆ เกือบ 20,000 เยนแล้ว ยังไม่รวมค่ารถไฟ JR ที่ใช้ระหว่างวันทั่วไป หรือเดินทางชินคันเซ็นไปเมืองต่างๆ อีก JR Pass ก็คุ้มค่าแน่นอน
แต่หากคุณเดินทางไกลแค่ขาเดียว หรือเดินทางระหว่างเมืองใกล้ๆ ไม่มีแพลนต้องเดินทางไกลหลายๆ รอบ JR Pass อาจจะไม่เหมาะกับการใช้งานของคุณ ยังไงก็ตามความคุ้มค่านั้นก็จะอยู่กับแผนการเดินทางของคุณ ต้องลองคำนวณกันดูว่าใช้ JR Pass หรือซื้อเป็นตั๋วแยกจะคุ้มค่ากว่ากัน
หากมีคำถาม คำแนะนำ หรือข้อเสนอแนะใดๆ เกี่ยวกับบทความของเรา สามารถติดต่อและติดตามเราผ่านทางเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม ได้เลย !
เนื้อหาในบทความนี้ อัพเดทล่าสุด ณ วันที่เผยแพร่